[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 46 รุ่งอรุณ [(SS1) END]
ตอนที่ 46
รุ่งอรุณ [(SS1) END]
“เจ้าชาย ฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ คงต้องลากันแค่นี้ครับ”
ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่พ้นขอบฟ้าแต่มิลานได้มาอยู่ที่ท่าเรือแล้ว และไม่ได้มีเพียงมิลานเท่านั้น ยังมีคุมะฮาจิกับทหารอีกหลายคนล้อมรอบเอนเต้ซึ่งเป็นนักโทษเอาไว้ และไกลออกไปก็ยังมีอาลัวซึ่งเป็นครอบครัวของผู้ตายคอยดูอยู่ห่างๆ
ผ่านมาได้ครึ่งปีจากวันที่เซเลนเสียชีวิต ในที่สุดก็ถึงฤดูใบไม้ผลิ เมื่อคดีความสิ้นสุด เอนเต้ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เฮลิฟาเต้มาตลอดก็ถึงเวลาที่ต้องได้รับโทษ คำตัดสินคือ เนรเทศไปยังดินแดนอันห่างไกลนอกทวีป
สถานที่ที่เป็นตัวเลือกมีอยู่มากมาย และเอนแต้ก็ได้ถูกเลือกให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะเล็กๆด้อยพัฒนาแห่งหนึ่งในประเทศบ้านเกิดของคุมะฮาจิเป็นเวลาหลายปีจนกว่าจะพ้นโทษ คุมะฮาจิจะมีหน้าที่ความคุมความประพฤติอย่างใกล้ชิด และวันนี้คือวันแรกที่เอนเต้จะได้ชดใช้ความผิด
“เอาล่ะ เจ้าหญิงเอนเต้ ได้เวลาออกเดินทางแล้วขอรับ”
“ค่ะ…”
เอนเต้ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี ไม่แสดงอาการต่อต้านเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อน ดูสงบเสงี่ยมมากขึ้น สิ่งเดียวที่รู้สึกคือความผิดบาปในใจที่ต้องการชดใช้เท่านั้น
เมื่อเทียบกันแล้ว คำตัดสินโทษของเธอนั้นดูเบาบางเกินไปสำหรับการลอบสังหารบุคคลสำคัญของทวีป นักบุญเซเลน อาร์คุยล่า ผู้เสียสละเพื่อประชาชน มีคนจำนวนมากออกมาเรียกร้องโทษประหารให้กับจำเลย แต่ผู้ที่คัดค้านก็คือเจ้าชายมิลานซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหายโดยตรง
ถึงจะไม่มีข้อโต้แย้งเรื่องที่เจ้าหญิงเอนเต้เจตนาสังหารเซเลน แต่เธอก็ถูกหลอกใช้เป็นแค่เครื่องมือของผู้สาปแช่งที่มีเป้าหมายเลวร้ายกว่านี้ โดยจะทำให้ทั้งทวีปจมดิ่งสู่ความสิ้นหวัง และคนร้ายผู้นั้นก็ได้ถูกมังกรตัดสินโทษไปก่อนที่มนุษย์จะทำการสอบสวนแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น มิลานยังบอกอีกว่า การที่เจ้าหญิงเอนเต้หึงหวงถึงขั้นต้องการสังหารเซเลน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเขาเอง ทีปล่อยให้เรื่องระหว่างตัวเขากับเจ้าหญิงเอนเต้ค้างคา ไม่ปฏิเสธให้ชัดเจน เพราะมัวแต่เป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนกลายมาเป็นเรื่องยุ่งยากเช่นนี้
“เจ้าชายมิลาน ขอบคุณในความเมตตา ระหว่างที่รับโทษฉันจะศึกษาเกี่ยวกับคำสาปให้มากกว่านี้เพื่อที่จะไม่ให้มีใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก ถึงจะเล็กน้อยแต่ฉันก็ตั้งใจจะชดใช้เจ้าหญิงเซเลนด้วยวิธีนี้… จะไม่หลงผิดอีกแน่นอนค่ะ”
“ดีแล้วครับ…”
“ตราบใดที่อยู่ในสายตาของข้าน้อย จะไม่ปล่อยเจ้าหญิงเอนเต้ก่อเรื่องอีกแน่ขอรับ”
“ต้องขอโทษที่ต้องให้นายเป็นคนรับหน้าที่นี้ แต่ก็ฝากด้วยล่ะ คุมะฮาจิ”
“วางใจได้ขอรับ”
ทั้งมิลานและคุมะฮาจิปฏิบัติกับเอนเต้เหมือนอาชญากรคนหนึ่ง นั่นก็เพราะพวกเขายังมีบรรดาลูกน้องและคนนอกมองดูพวกเขาอยู่ ซึ่งอันที่จริง พวกเขาไม่ได้ระแวงเธอมากนัก เพราะหลังจากเหตุการณ์แมลงดับแสงสุริยาในครั้งนั้น จิตใจของเอนเต้ก็เป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสาธรรมดา และเอนเต้ตามปรกติไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะแสดงละครตบตาได้นานขนาดนี้
“อันที่จริง ข้าน้อยก็คิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้งอยู่แล้ว นี่ก็ถือเป็นโอกาสเหมาะพอดี องค์ชาย ระหว่างที่ข้าน้อยไม่อยู่ ท่านก็อย่าละเลยการฝึกล่ะะขอรับ”
“ไม่มีทางหรอก นอกจากนายแล้วก็ยังมีคุณกีที่เป็นคู่ซ้อมเหมาะๆให้อีก”
“เห็นด้วยขอรับ หากได้ประลองกับยอดฝีมืออย่างท่านกี ฝีมือท่านต้องไม่ตกแน่”
หลังจากนี้ก็พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกนานหลายปี แต่ระยะห่างไม่ใช้ปัญหาสำหรับพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่าทั้งสองไม่ได้เบาบางขนาดนั้น หลังจากมิลานและคุมะฮาจิคุยกันจนจบ เอนเต้ที่กำลังก้าวขึ้นเรื่อก็ได้หันกลับมาหามิลานอีกครั้ง
“เจ้าชายมิลานคะ!”
เอนเต้ตะโกนเรียกเสียงดังจนทหารที่คุมตัวบางคนตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่มิลานก็ไม่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ เขาแค่หันไปมองเธอเท่านั้น ในดวงตาของเอนเต้มีน้ำตาคลอราวกับร้องไห้
“สักวัน… เมื่อบาปขอฉันได้รับการชดใช้ กรุณาให้ฉันได้ไปเคารพศพที่สุสานของเจ้าหญิงเซเลนด้วยได้ไหมคะ?”
เอนเต้พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเทา มิลานเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ
“แน่นอนครับ ผมเชื่อว่าเธอต้องดีใจแน่ เอาไว้ไปด้วยกันนะครับ”
มิลานตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เอนเต้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ขอบคุณค่ะ และก็ลาก่อน จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง ชายผู้เป็นที่รักของฉัน…”
เอนเต้พูดด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อยๆและหันหลังให้มิลาน ก้าวเดินขึ้นไปบนเรื่ออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งที่จะต้องเผชิญ แม้ว่าจะมองจากข้างหลังก็เห็นได้ว่าเอนเต้ยอมรับการลงโทษในครั้งนี้อย่างเต็มใจและเดินหน้าต่อไป
เมื่อสมอเรือถูกถอนขึ้น เรื่อลำใหญ่ที่มีเอนเต้และคุมะฮาจิโดยสารอยู่ก็เคลื่อนตัวออกจากท่า ทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ในยามเช้า เรือแล่นออกสู่ทะเลกระทบคลื่นสาดกระเซ็นเป็นประกายระยิบระยับ มิลานและอาลัวมองดูภาพที่เห็นอยู่ที่ท่าเรื่ออันเงียบเหงา
“องค์ชายยกโทษให้เจ้าหญิงเอนเต้ได้ง่ายๆเลยนะคะ”
“ที่จริง ผมไม่คิดให้อภัยหรอกครับ”
มิลานตอบออกมาเบาๆ สายตาอันเศร้าสร้อยของเขายังคงมองไปที่เรื่อที่แล่นไกลออกไปจนเห็นเป็นขนาดเล็กเท่าเม็ดถัว
ในใจของมิลาและอาลัวนั้น ไม่สามารถยกโทษให้กับเอนเต้ที่ฆ่าเซเลนผู้เป็นที่รักของพวกเขาได้โดยเด็ดขาด ต่อให้พยายามทำใจสักแค่ไหน ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก ก็ยังมีความโกรธแค้นอยู่ลึกๆ
เพราะเป็นราชวงศ์ที่ต้องชี้นำประชาชน จะต้องไม่ยอมให้อารมณ์ชั่ววูบมากำหนดการกระทำ หากปล่อยให้ความโกรธแค้นชักนำไปสู้ความรุนแรง ก็จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อเนื่องไม่จบสิ้น
“ต่อให้ประหารเจ้าหญิงเอนเต้ไปก็ไม่ทำให้เซเลนฟื้น อีกทั้งความตายจะทำให้ครอบครัวและคนที่ใกล้ชิดกับเธอรู้สึกแบบเดียวกับพวกเรา วันวงแห่งความแค้นนั้น ผมอยากจะหยุดมันเอาไว้ตรงนี้ครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ… เด็กคนนั้นก็คงปรารถนาเช่นนี้เหมือนกัน”
“ครับ เซเลนต้องให้อภัยจากใจจริงได้แน่”
มิลานคิดถึงวันที่เซเลนกับเอนเต้แสดงความสนิทสนมกันเมื่อครั้งที่ไปวัลเบิร์ต หากเธอรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงและเห็นถึงความคิดอันดำมืดของเอนเต้ในตอนนั้น เด็กสาวที่อ่อนโยนก็คงให้อภัยได้ง่ายๆและไม่ติดใจใดๆอีก
“เจ้าหญิงอาลัวครับ ผมอยากจะกล่าวคำสาบานเรื่องหนึ่ง ช่วยเป็นพยานให้หน่อยได้ไหมครับ?”
“เรื่องแค่นี้ ไม่มีปัญหาค่ะ”
“…เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ผมจะเป็นราชาที่จะเป็นดั่งดวงตะวัน”
“ดวงตะวัน… เหรอคะ?”
อาลัวไม่เข้าในความหมายในคำพูดอันคลุมเครือของมิลาน แน่นอนว่ามิลานจริงจังอย่างที่สุด ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
“ตามหลักดาราศาสตร์ แสงของดวงจันทร์ที่ส่องสว่างเป็นผลจากแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ เพื่อที่ชื่อเสียงและความสำเร็จของเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลนจะได้ส่องสว่างให้ถึงทุกมุมเมืองทั่วทวีปที่เธอรัก เมื่อผมเป็นราชา ผมจะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ครับ”
มิลานคิดเช่นนั้น ไม่เพียงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่ต้องทำให้ผู้คนรําลึกและรักษาทุกสิ่งที่เซเลนได้สร้างไว้ให้คงอยู่ตอดไป เพื่อที่เธอจะได้เฝ้ามองจากดวงจันทร์ได้อย่างหมดห่วง แสงที่ส่องอยู่ในเฮลิฟาเต้จะแผ่ขยายไปให้ถึงผู้คนทั้งหมด นำทางไปสู่อนาคตที่สว่างไสว
“อาจฟังดูเพ้อเจ้อเหมือนจินตนาการของเด็กน้อย จะหัวเราะก็ได้นะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ! เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่น่าชื่นชมต่างหาก ฉันยังต้องเรียนรู้อีกมากและยังไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่เมื่อถึงเวลานั้นได้โปรดให้ฉันได้ช่วยสนับสนุนด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ เจ้าหญิงอาลัว ได้คนที่มีความสามารถเช่นท่านมาช่วยเหลือก็วางใจได้หลายอย่าง”
“จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ค่ะ ถึงยังไงก็เป็นสิ่งที่เด็กคนนั้นฝากฝังไว้”
“ด้วยกัน กับท่านพี่… สินะครับ”
ด้วยกัน กับท่านพี่ คำพูดสุดท้ายของเซเลนในคืนนั้น แม้ตัวเธอจะจากไปแล้ว แต่ก็ขอให้ร่วมมือกับเจ้าหญิงอาลัว พี่สาวร่วมสายเลือดของเธอ มุ่งมั่นสร้างโลกที่มีแต่ความสุขต่อไป นั่นคือความปรารถนาสุดท้ายของเซเลนตามที่ทุกคนเข้าใจ
จากนั้น มิลานและอาลัวมองไปยังผืนทะเลอันกว้างใหญ่ต่อไปอีกสักพัก และก็เห็นมังกรแดงบินอยู่บนท้องฟ้ามุ่งหน้ามาทางพวกเขาจากทิศทางหนึ่ง มังกรแดงหยุดอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองมิลานและอาลัวจากบนท้องฟ้าไม่ไกลนัก
“ท่านผู้ส่งสารของเซเลน โปรดเฝ้าดูอนาคตของพวกเราให้ดีครับ”
มิลานประกาศเป้าหมายของตนต่อมังกรแดงบนท้องฟ้าที่กำลังมองพวกเขาเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่าง และก็มีเศษผ้าร่วงหล่นออกมาจากตัวของมังกรแดงเหมือนเป็นการตอบกลับ ผ้าผืนนั้นปลิวลงมาต่อหน้ามิลาน และมิลานก็คว้าเอาไว้โดยสัญชาตญาณ
“อะไรน่ะ? มีภาพบางอย่างวาดไว้…?”
มีเส้นตรงและเส้นโค้งขีดเขียนอย่างมีรูปแบบอยู่บนผ้า อาลัวที่ดูอยู่ด้วยกันข้างๆเห็นแล้วก็แสดงความตกใจออกมา
“นี่มัน…!? ตัวอักษรของเซเลน!”
“ตัวอักษรของเซเลน?”
มิลานเอียงคอสงสัยกับคำที่ไม่คุ้นเคย และอาลัวก็พูดถึงเรื่องที่เธอจำได้ว่าเคยเห็นภาพแปลกๆแบบนี้มาก่อน และยังอธิบายต่ออีกว่า ก่อนที่เซเลนจะถูกขัง เธอได้เคยเขียนหนังสือด้วยตัวอักษรที่ไม่ใช่ภาษาใดๆที่รู้จักเลย คาดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เธอคิดขึ้นมาเองคล้ายกับรหัสลับ และตัวอักษรนั้น ดูคล้ายกับสิ่งที่อยู่ในผ้าผืนนี้มาก ซึ่งหมายความว่าสิ่งนี้ก็น่าจะถูกเขียนโดยคนๆเดียวกัน…
“เซเลน…งั้นเหรอ!?”
เมื่อคิดได้แบบนั้น มิลานและอาลัวก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าทันที แต่มังกรแดงก็บินสูงขึ้นไปแล้ว จากนั้นมันก็หันกลับและออกบินไกลออกไปยังทิศเหนือ
[“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าอยากไปที่ยอดเขามังกร? ทั้งที่ข้ามาส่งเจ้าถึงที่นี่แล้วเนี่ยนะ”]
“อือ”
บนหลังของมังกร มีเด็กสาวผมสีขาวยาวประบ่า ผิวสีขาวราวไข่มุก ดวงตาสีแดงสะท้อนแสงเป็นประกายดั่งทัพทิม รูปโฉมงดงามดุจเทพธิดา
――รูปลักษณ์เช่นนี้ไม่มีใครอื่นนอกจาก เซเลน อาร์คุยล่า
ในตอนนั้นเซเลนถูกแมลงดับแสงสุริยาทำร้ายสาหัสจนเหมือนหมดลมหายใจ แต่แมลงก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถสังหารเซเลนได้เช่นกัน สาเหตุหนึ่งเพราะการบาดเจ็บอ่อนแอของตัวแมลงเอง และอีกสาเหตุหนึ่งคือบัตเลอร์
หลังจากที่เซเลนถูกยืนยันว่าเสียชีวิตและนำร่างไปไว้ในโลงศพซึ่งปัจจุบันบรรจุอยู่ในสุสาน บัตเลอร์ก็ยังอยู่ข้างกายเซเลนตลอดเวลา พลังเวทย์ของเขาที่ได้รับมาจากเจ้านายและเก็บสะสมเรื่อยมา ได้ถูกส่งคืนไปที่เจ้าของเดิมเพื่อชดเชยส่วนที่ถูกกัดกิน
และเพราะอะไรก็ไม่อาจทราบได้ พลังเวทย์ของแมลงดับแสงสุริยาให้ความรู้สึกคล้ายกับตะขาบที่กินเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว จึงทำความคุ้นเคยได้ไม่ยากและสร้างสิ่งที่เหมือนภูมิคุ้มกันสำหรับใช้ถ่วงเวลา พลังเวทย์ที่ส่งคืนมาจากบัตเลอร์จึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้แมลงดับแสงสุริยากัดกินถึงชีวิตเซเลน
ถึงอย่างนั้น ก็เป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหา หากไม่ได้พลังของซาซาคุเระเข้าช่วย เมื่อใดที่พลังเวทย์หมดลงทั้งเซเลนและบัตเลอร์ก็จะจบชีวิตลงไปพร้อมๆกัน แต่การที่จะทำให้สำเร็จก็ไม่ใช้เรื่องง่าย ซาซาคุเระมีพลังเวทย์มหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาได้อย่างรุนแรงแต่ก็ปราศจากความละเอียดอ่อน
หากพลังเวทย์ระดับมังกรถูกใช้กับเซเลนที่เป็นมนุษย์ซ้ำยังเป็นเด็ก ร่างกายของเซเลนก็จะแหลกสลายไปพร้อมกับแมลง ดังนั้น ซาซาคุเระจึงต้องมาหาเซเลนที่สุสานทุกๆวันเพื่อฝึกฝน และใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการกำจัดแมลงดับแสงสุริยาที่ฝังตัวอยู่ในร่างของเซเลน เหมือนการเอาเศษแก้วที่แตกละเอียดออกจากบาดแผล
หลังจากพยายามอยู่หลายเดือนจนถึงเมื่อวาน แมลงก็ถูกกำจัดออกจากเซเลนโดยสมบูรณ์ ในคืนของวันนั้นเซเลนได้แง้มฝาโลงและคลานออกมากลางดึกเหมือนฉากในหนังสยองขวัญ
สุสานของเซเลนถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนมาเคารพและไว้อาลัย โลงศพที่อยู่ใจกลางสุสานคือส่วนที่สำคัญที่สุด แต่ก็เป็นแค่เพียงกล่องเปล่า ดังนั้น จงอย่าเศร้าเมื่อเห็นโลงศพของเซเลน เซเลนไม่ได้อยู่ที่นั่น เธอบินสูงอยู่บนท้องฟ้ากับมังกรของเธอ
[“ทำไมถึงไม่อยากกลับบ้านล่ะ? เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้ซ่อนมนุษย์ในเมืองของมนุษย์”]
[“สังคมมนุษย์ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นครับ ท่านมังกรแดง”]
บนไหล่ของเซเลนมีบัตเลอร์อยู่ สหายที่ไว้ใจได้ และพ่อบ้านผู้ซื้อสัตย์ เขาดูซูบผอมลงไปเล็กน้อยเพราะทำงานหนักมาตลอดในระยะนี้ แต่ในดวงตาของบัตเลอร์นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยกำลังอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันให้กับกับซาซาคุเระผู้ที่ไม่เข้าใจในเรื่องของมนุษย์
[“ในตอนนี้ มนุษย์ทั้งหลายยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยให้กับการเสียชีวิตขององค์หญิง หากองค์หญิงกลับไปแสดงตัวในทันทีก็อาจนำปัญหามาสู่เฮลิฟาเต้ได้”]
[“แล้ว… มันยังไงล่ะ?”]
ถึงจะทำให้ผู้คนของเฮลิฟาเต้ยินดีที่เซเลนพื้นคืนจากความตาย แต่สำหรับประเทศอื่นที่ไม่รู้จักเธอดีพอก็จะคิดต่างออกไป บางประเทศอาจจะเห็นว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์หลอกลวงสร้างภาพให้กับเจ้าหญิงแสงจันทร์เซเลน เพื่อใช้เรื่องโกหกนี้รวบรวมศรัทธามาไว้ที่เฮลิฟาเต้
[“องค์หญิงต้องอยากกลับไปให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว แต่องค์หญิงผู้ที่อ่อนโยนย่อมเป็นห่วงประเทศชาติมากกว่าความต้องการของตัวเอง จึงยอมถอยออกมาเพื่อรอเวลาที่เหมาะสม”]
[“หืม… ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่มนุษย์นี่ชอบทำอะไรยุ่งยากกันจัง”]
ถึงบัตเลอร์จะอธิบายจนละเอียด แต่ซาซาคุเระก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเซเลนคำนึงถึงผู้คนที่ใกล้ชิดกับเธอ จึงต้องจำใจออกห่างจากมนุษย์สักระยะเพื่อรักษาความสงบสุขของผู้คนเหล่านั้น
[“อืม… ทั้งที่อายุยังน้อย แต่ก็เป็นเด็กที่ใส่ใจดีนะ”]
ในสายตาของซาซาคุเระ เซเลนคือเครื่องมือชิ้นหนึ่ง เหตุผลที่บุกไปสังหารหญิงชราถึงวัลเบิร์ตก็เพราะโกรธที่ของของตนเองถูกคนอื่นทำลาย เป็นความโกรธเพื่อตัวเขาเองเท่านั้น แต่พอได้พูดคุย ได้รู้จักกันมากขึ้น ซาซาคุเระก็เริ่มมองเซเลนในฐานะบุคคลขึ้นมาบ้างแล้ว
“แพ้ราบคาบ(完敗*)”
[“คัมไป(乾杯*) เหรอ…”]
ซาซาคุเระนับถือเซเลนที่ร่วมยินดีให้กับอนาคตที่มั่งคงของเพื่อนร่วมชาติ เธอที่ยังเยาว์วัยแต่ก็ตัดสินใจยอมละทิ้งความสุขของตนเพื่อประโยชน์ของผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอ นั้นหมายความว่าเธอมีคุณสมบัติของผู้นำเช่นเดียวกับจ่าฝูงอยู่ในตัวแล้ว
แต่เซเลนก็ไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น เธอไม่ได้ฟังการสนทนาระหว่างบัตเลอร์กับซาซาคุเระเลยด้วยซ้ำ เซเลนแค่ตะโกนออกมาเพราะรู้สึกว่าคราวนี้เธอแพ้ยับเยินเท่านั้น
เป็นความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ในศึกชี้ชะตาระหว่าเซเลนกับมิลานในคืนนั้น ทันทีที่เธอคิดว่าเอาชนะได้แล้ว ก็ถูกสวนกลับด้วยกับดักจนสถานการณ์พลิกหมดทางแก้ไข
ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้แล้วว่าไอ้เจ้าชายนั่นมันเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบผิดมนุษย์อย่างกับสัตว์ประหลาด ใครจะไปคิดว่าข้างในตัวมันจะมีสัตว์ประหลาดดำมืดอยู่จริงๆ
จะว่าไป ทางนี้เองก็แอบเลี้ยงพ่อบ้านหนูพูดได้เอาไว้ ทางนั้นเป็นถึงเจ้าชายของประเทศมหาอำนาจ คนระดับนั้นจะแอบเลี้ยงสัตว์ประหลาดเอาไว้ใช้งานสักตัวสองตัวบ้างก็ไม่แปลก
ต้องขอบคุณบัตเลอร์กับซาซาคุเระ ถึงรอดชีวิตมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่ก็รอดมาได้อย่างฉิวเฉียดจริงๆ และพอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็สายเกินแก้ไปไกลแล้ว
หลังจากขอให้ซาซาคุเระไล่ตามเจ้าชายไป เซเลนก็เห็นเพื่อนสนิทของเธอ เจ้าหญิงเอนเต้ กับเพื่อนร่วมชะตา คุมะฮาจิ ถูกควบคุมตัวขึ้นเรือเพื่อส่งไปที่ไหนก็ไม่รู้
“สายเกินไป…”
เซเลนพึมพำออกมาเบาๆด้วนท่าทางผิดหวัง เจ้าชายเริ่มกำจัดคนที่หมดประโยชน์กับคนที่เขาเห็นว่าเป็นตัวเกะกะแล้ว
“แกนะแก…”
อันที่จริงก็อยากจะลงไปตรงนั้นเดี๋ยวนี้ อย่างน้อยก็เพื่อพาอาลัวมาด้วยกัน แต่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ใช้งานสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ยิ่งเจอเหตุการณ์อย่างคราวที่แล้วเข้าไปก็ยิ่งทำให้ระวังตัวมากขึ้น กับดักในคราวนี้ต้องร้ายแรงกว่าเดิมแน่นอน
ถึงอยากจะไปขอความช่วยเหลือจากเอลฟ์ แต่พวกนั้นก็ดูเหมือนจะเข้าร่วมกับเฮลิฟาเต้ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจถูกซื้อตัวไปหมดแล้วก็ได้ เรียกง่ายๆว่า ตอนนี้เหลือตัวคนเดียวไม่มีใครให้พึ่งพาได้เลย ประมาทเกินไปที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้ เซเลนยอมรับว่าต้องการพลังที่แข็งแกร่งในการช่วยอาลัวออกมา
―― พลังของมังกรนี่แหละ
เจ้าชายมิลานเหนือกว่าทุกด้าน ขนาดใช้เล่ห์เหลี่ยมก็ยังเอาชนะไม่ได้ แต่ก็จะกลับมาเอาคืนแน่นอน นั่นคือเหตุผลที่เซเลนเขียนข้อความลงบนผ้าผืนนั้นและส่งลงไปให้ เหมือนโยนถุงมือเพื่อท้าดวล
“เด็กคนนั้น ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย…”
น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมาจากดวงตาของอาลัวขณะที่เธอพูด โดยยังคงมองไปยังมังกรที่บินอยู่บนท้องฟ้าอันแจ่มใส
เป็นไปไม่ได้ที่คนตายจะฟื้นคืน สามัญสำนึกที่ไม่ว่าใครก็ทราบกันดี แต่เซเลนคนนี้ก็เคยทำเรื่องที่คนทั่วไปเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จมาแล้ว
มิลานและอาลัวมองดูท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีฟ้า ความหม่นหมองที่อยู่ในจิตใจก็จางหายไปเช่นเดียวกัน
“แล้ว สิ่งที่เขียนไว้บนผ้าคืออะไรหรือครับ? ถ้าเซเลนเป็นคนเขียน ผมเชื่อว่ามันจะต้องมีความหมายบางอย่าง”
“อันที่จริง… ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คงมีแต่เซเลนเท่านั้นที่เข้าใจ”
“งั้นเหรอครับ…”
เมื่อไม่สามารถอ่านข้อความนี้ได้ก็ทำให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานว่ามันถูกเขียนโดยเซเลนตั้งแต่แรก แต่มันก็ได้มอบความหวังไว้ให้พวกเขา
――บนผ้ามีตัวอักษรฮิรางานะเขียนไว้ว่า
“あいるびーばっく!” (I’ll Be Back!)
แล้วฉันจะกลับมา เซเลนพูดประโยคเด็ดจากหนังดังกับตัวเองขณะเกาะอยู่บนหลังของซาซาคุเระที่บินตัดสายลมมุ่งหน้าสู่ยอดเขามังกร
ตั้งแต่ถูกลักพาตัวมาจากอาร์คุยล่าจนมาอยู่ที่เฮลิฟาเต้ ก็ค่อยๆขยายอิทธิพล ได้รู้จักกับเอลฟ์ จนกระทั่งมีโอกาสแทงดาบใส่เจ้าชายได้
ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องไปขยายอิทธิพลต่อที่ยอดเขามังกร ผูกมิตรมังกรไปเรื่อยๆ และจะกลับไปพร้อมกับพลังอันเหนือชั้นเพื่อเอาชนะเจ้าชายและช่วยอาลัวออกมาให้ได้ จากนั้นก็จะสร้างสวนแห่งยูริของแท้ เพื่อเซเลนโดยเซเลน ให้ดู
[“องค์หญิง หนทางข้างหน้าจะยากลำบากกว่าที่เคย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บัตเลอร์คนนี้จะอยู่เคียงข้างรับใช้องค์หญิงไปชั่วชีวิต”]
“อือ! จะพยายาม!”
[“ใช่แล้วครับ! ไม่มีบททดสอบใดที่องค์หญิงไม่สามารถผ่านมันไปได้ ไม่มีอุปสรรค์ใดที่องค์หญิงไม่สามารถก้าวข้ามได้ ไม่ว่าจะหนักหนาสักแค่ไหน บัตเลอร์คนนี้จะทำให้มันเป็นเรื่องง่ายเอง ฝากให้กระผมจัดการได้เลยครับ!”]
เซเลนใช้นิ้วลูบหัวบัตเลอร์ที่อยู่บนไหล่เบาๆ บัตเลอร์หลับตา แสดงท่าทางพอใจอย่างมาก
เจ้าชายมิลานเอ๋ย เพลิดเพลินกับชัยชนะในครั้งนี้ให้ดีๆล่ะ อย่าดูถูกเซเลน อาร์คุยล่าคนนี้จะดีกว่า จะคลานขึ้นมาจากก้นบึ้งของนรก ฉุดขาให้ร่วงหล่นลงไปด้วยกันอีกครั้งให้ได้ ล้างคอรอไว้ได้เลย
“ท่านพี่ รอก่อนนะ!”
เซเลนหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็มาไกลเกินกว่าจะมองเห็นอาลัวกับมิลานแล้ว จากนั้นจึงหันกลับไปมองข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นเพื่อสลัดความกังวลทิ้งไป
และร่างของมังกรแดงก็หายลับไปพร้อมกับเซเลนในท้องฟ้ายามรุ่งสาง
เมื่อดวงตะวันทอแสง ดวงจันทร์จะจางหาย แต่เพียงแค่มนุษย์มองไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าดวงจันทร์จะหายไปจริงๆ ไม่มีราตรีที่ไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับไม่มีดวงตะวันที่ไม่เคยตกดิน เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดวงจันทร์จะกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง
ตำนานของราชาแห่งดวงตะวัน มิลาน เฮลิฟาเต้ เคียงคู่กับ เจ้าหญิงแสงจันทร์ เซเลน อาร์คุยล่า กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่มีใครรับรู้เท่านั้น
____________________
* ออกเสียงเหมือนกัน
完敗(Kanpai)=แพ้หลุดลุ่ย, แพ้ราบคาบ, แพ้ยับเยิน
乾杯(Kanpai)=ดื่ม, ชนแก้ว (ในงานเลี้ยงฉลอง)