[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 38 แลกเปลี่ยน
ตอนที่ 38
แลกเปลี่ยน
“อุว้าก…!!”
เซเลนโวยวายอยู่คนเดียวภายในห้องของเธอที่เฮลิฟาเต้ หากบัตเลอร์มาเห็นเข้าก็คงจะผิดหวังหรือพูดอะไรบางอย่าง แต่หนูรับใช้ผู้ซื่อสัตย์กำลังออกไปลาดตระเวนอย่างขันแข็งตามปรกติ
“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ”
เซเลนหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ ใช่แล้ว ต้องสงบสติอารมณ์ไว้ก่อน หายใจเข้าลึกๆ ทำหัวให้โล่งเข้าไว้
“อุว้าก…!!”
ไม่ได้ผลเลยสักนิด! ความสามารถในการอดกลั้นของเซเลนไม่ได้สูงขนาดนั้นหรืออาจจะไม่มีตั้งแต่แรก เพราะเธอยังหงุดหงิดไม่หาย และเซเลนก็เอาแด่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“ไอ้เจ้า ซาซาคุเระ นี่!”
เซเลนนอนกัดเล็บนิ้วโป้งของเธอเพราะอารมณ์เสีย นึกถึงตอนที่ได้คุยกับมังกรแดง และตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาในสี่วันนี้
เมื่อสี่วันก่อน เป็นช่วงที่เซเลนกลับมาถึงพระราชวังเฮลิฟาเต้อย่างปลอดภัย ท่ามกลางความยินดีของทุกคนในปราสาท ราชาและราชินีให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยรอยยิ้ม มารีเข้ามากอดเธอและเริ่มร้องไห้ออกมา อาลัวถูกเรียกมาที่พระราชวังในทันทีและเข้ามากอดเธอทั้งน้ำตาด้วยอีกคน
“…เซเลน! ดีจังเลย! พี่เชื่อมาตลอดว่าเธอจะต้องไม่เป็นอะไร!”
“ท่านพี่!”
แม้กระทั่งเซเลนก็ยังร้องไห้ออกมาเพราะบรรยากาศพาไป บวกกับการได้กอดอาลัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน เธอซุกไซ้หน้าอกของอาลัวให้หายคิดถึง ครอบครัวคนสำคัญที่สุด ส่วนกษัตริย์แห่งอาร์คุยล่าก็สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ก่อนเธอจะจำความได้ เซเลนจึงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าบิดา แต่ถึงจะไม่มีพ่อก็ไม่เป็นไร เพราะเธอต้องการแค่หน้าอกเท่านั้น และหน้าอกของพี่สาวนี่แหละ สุดยอดที่สุดแล้ว
…ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีจนถึงตอนนี้ แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เพราะตามแผนของเซเลน ตัวเธอกับพี่สาวจะต้องถูกมังกรแดงจับตัวไปอีกครั้งทันทีที่กลับมาถึงเฮลิฟาเต้ และไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่หมู่บ้านเอลฟ์ แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะรอนานสักแค่ไหน ผ่านไปกี่วัน มังกรแดงก็ไม่โผล่มาสักที
อย่างน้อยก็คิดว่าน่าจะมายืนยันความปลอดภัยของเธอสักครั้ง หรือว่ามังกรกับมนุษย์จะมีการรับรู้ช่วงเวลาแตกต่างกัน รอมาตั้งสามวันแล้วก็ยังไม่มาสักที เซเลนคิดและมองออกไปยังท้องฟ้าที่เฝ้ามองอยู่ทุกวันจนเริ่มรู้สึกหงุดหงิด หวังให้มังกรแดงที่เป็นชิ้นส่วนสำคัญปรากฏตัว
จนในที่สุด ก็มีมังกรสีแดงตัวมหึมาปรากฏตัวขึ้นเหนือเมืองหลวงเฮลิฟาเต้แต่เช้า ผู้คนทั้งเมืองแตกตื่นกับการมาเยือนของมังกรที่ไม่ค่อยปรากฏตัวที่เมืองของมนุษย์ มีเพียงเซเลนเท่านั้นที่ร่าเริงจนดวงตาเป็นประกายกับการมาถึงของมังกรที่รอคอย
“มาแล้ว! มังกร มาแล้ว!”
จุดประสงค์ของมังกรแดงคือเซเลนเท่านั้น ปีกขนาดใหญ่โบกสะบัดและร่อนลงในสวนใกล้ปราสาทของพระราชวัง แน่นอนว่านั่นทำให้พระราชวังแตกตื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทหารหลายคนล้อมมังกรแดงเอาไว้ ถึงพลังของมนุษย์จะไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าของมัน แต่ทหารของเฮลิฟาเต้ก็ถูกฝึกมาอย่างดี ไม่มีทางละทิ้งหน้าที่และวิ่งหนีไปคนเดียวแน่นอน
“เดียว!”
เสียงเล็กๆของเด็กผู้หญิงดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด เซเลนมาถึงที่เกิดเหตุและเบียดแทรกผ่านทหารที่อยู่รอบๆได้อย่างไม่ยากนัก จนผ่านวงล้อมมาได้สำเร็จ เซเลนเดินเข้าหามังกรแดงอย่างไม่เกรงกลัวและมายืนอยู่ต่อหน้ามังกรแดงผู้ยิ่งใหญ่
“ท่านเซเลน!? อันตราย!”
“ไม่เป็นไร”
เซเลนพูดปรามคุมะฮาจิที่ตั้งท่าจะจู่โจมกับมังกรแดงก่อนจะหันกลับไปพูดกับมังกรแดงเบื้องหน้า
“รออยู่เลย”
“อืม กลับมาถึงรังของมนุษย์ได้โดยไม่มีปัญหาอะไรสินะ ดีแล้วที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ”
ในตอนนี้ ทหารที่อยู่รอบๆต่างก็ตกใจที่สิ่งมีชีวิตผู้ครองโลกอย่างมังกรทำการพูดคุยกับเซเลนเหมือนเป็นเรื่องปรกติ แม้แต่คุมะฮาจิยังตะลึงในเรื่องนี้ เซเลนสื่อสารกับมังกรที่ก้มหมอบราวกับสุนัขที่ถูกฝึกจนเชื่อง นั่นคือภาพที่ทุกคนเห็น
[“ท่านมังกรแดงผู้ยิ่งใหญ่ องค์หญิงยังสมบูรณ์แข็งแรงดีตามที่เห็น”]
[“ถ้าอย่างนั้นก็ดี สมแล้วที่เป็นอาวุธลับของข้า”]
มังกรแดงพยักหน้าเบาๆให้กับบัตเลอร์ที่อยู่บนไหลของเซเลน ในเมื่อเซเลนเป็นอาวุธลับอันแสนสำคัญของมังกรแดง จึงต้องรักษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของเธอให้เป็นความลับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะคุยกับเซเลนผ่านกระแสจิตด้วยเวทมนตร์เหมือนที่พบกันครั้งแรกแทนที่จะส่งเสียงพูดออกมา
“ไม่จริงน่า มังกรเชื่อฟังท่านเซเลน…”
คุมะฮาจิจับด้ามดาบพร้อมชักออกมาฟาดฟันได้ทุกเมื่อ แต่ก็รับรู้ถึงความเงียบสงบของบรรยากาศระหว่างเซเลนและมังกรแดง แม้จะอยู่ในระยะไกลก็ยังสัมผัสได้ อันที่จริง คู่สนทนาของมันไม่ใช่เซเลนแต่เป็นบัตเลอร์ คุมะฮาจิและคนอื่นๆไม่สามารถรู้เรื่องนี้ได้อยู่แล้ว
“ท่าน มังกรแดง ช่วยหน่อย”
[“มีเรื่องอะไรรึ?”]
“หมู่บ้านเอลฟ์ กลับไป กับพี่สาว”
นี่แหละ สิ่งที่อยากจะบอกมาตั้งนาน เซเลนบอกถึงความตั้งใจที่จะกลับไปที่หมู่บ้านเอลฟ์ แต่มังกรแดงก็แค่หรี่ตามองและดูเหมือนจะหัวเราะอยู่ในใจ
[“พอกลับมาถึงก็อยากจะไปที่หมู่บ้านเอลฟ์อีกอย่างนั้นรึ? เข้าใจแล้ว เรื่องที่ข้าเคยเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นเอลฟ์ใช่ไหม? ก็เลยคิดจะล้อข้าเล่นสินะ”]
“ม-ไม่ใช่…!”
[“บัตเลอร์เคยบอกไว้ว่า ซ่อนใบไม้ต้องซ่อนในป่า ถ้าซ่อนมนุษย์ก็ต้องซ่อนที่เมืองมนุษย์ เจ้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์พร้อมต่อไปอีกร้อยปี ฉะนั้นการเติบโตตามวีถีของมนุษย์นี่แหละ เป็นการดีที่สุด”]
“ไม่ใช่! ไปหา เอลฟ์!”
[“อยากเจอเอลฟ์… ก็เลยอยากกลับไปที่ป่าสินะ? ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวล ข้ารู้มาว่าพวกนั้นเริ่มคิดที่จะติดต่อกับมนุษย์ อีกไม่นานก็คงออกจากป่ามาให้เจ้าได้พบเอง เจ้าก็รักษาตัวให้ดีๆอยู่ในรังของมนุษย์นี่ล่ะ เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ของข้า”]
“ไม่ได้ หมายความ อย่างนั้น”
[“ทำใจให้สบายเถอะ อะไรที่เป็นอันตรายต่อเจ้า ข้าจะเป่ามันให้กระเด็น เพียงเท่านี้แหละ ลาก่อน”]
“ร-รอเดี๋ยว…!”
หลังจากทึกทักเรื่องราวเอาเองอยู่ฝ่ายเดียว มังกรแดงก็ออกบินสู่ท้องฟ้าในทันที การมาที่เฮลิฟาเต้ในครั้งนี้ ทำให้มังกรแดง ต้องออกนอกเส้นทางบินตามปรกติ และที่น่าเป็นห่วงก็คือ มังกรที่มีอายุขัยยืนยาวก็ไม่รู้ว่าจะรับรู้ช่วงเวลาต่างกันแค่ไหน การมาเยี่ยมเยียนครั้งต่อไปอาจทิ้งช่วงไปเป็นเดือนหรือเป็นปีเลยก็ได้
และแล้ว แผนการย้ายบ้านของเซเลนก็ล่มลงโดยที่ยังไม่ทันได้เริ่มอีกครั้ง เมื่อชิ้นส่วนสำคัญใช้การไม่ได้ก็ต้องอยู่ในเฮลิฟาเต้ต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็อยากจะกระทืบไอ้มังกรตัวใหญ่สีแดงนั่นให้จมดิน
“ฟา คิว!” (ฟัค ยู)
เซเลนกำมือเล็กๆของเธอและทุบไปบนเตียงอย่างแรง ตามปรกติ เมื่อโกรธก็น่าจะทุบโต๊ะมากกว่า แต่เมื่อคิดดูแล้ว มันก็จะมีแต่ทำให้เจ็บมืออย่างไร้ประโยชน์ จึงเป็นการโกรธจัดแต่ก็ยังกลัวเจ็บ นับเป็นอีกความสามารถพิเศษอันน่าภูมิใจของเซเลน
หลังจากอาละวาดอยู่คนเดียวจนเหนื่อย เซเลนก็นอนบ่น ไอ้เจ้ากิ้งก่าบินได้ตัวนั้น คิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว ท่านมังกรแดงผู้ยิ่งใหญ่อะไรกัน อย่างแกก็ถูกเรียกว่าซาซาคุเระไปก็แล้วกัน
เนื่องจากเกล็ดที่นิ้วถูกคุมะฮาจิขูดจนถลอก ทำให้ดูเหมือนเล็บฉีก*ของมนุษย์ เซเลนจึงถือโอกาสยัดเยียดฉายา ‘ซาซาคุเระ(ไอ้เล็บฉีก*)’ ให้กับมังกรแดง แต่ที่เปราะบางยิ่งกว่าเล็บฉีกก็จิตใจของเซเลนนี่แหละ แต่เซเลนก็ไม่เคยรู้ตัว
“โธ่! นอนดีกว่า!”
เซเลนดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวและนอนทั้งอย่างนั้น ในช่วงเวลาเช่นนี้ การนอนคือทางออกที่ดี จริงๆแล้ว ถึงจะไม่ใช่ช่วงเวลาเช่นนี้ เธอก็คิดจะนอนอยู่ดี เพราะเป็นถึงนักนอนหลับมืออาชีพ และเซเลนก็หลับลงในทันทีเพื่อหลีกหนีจากความจริงอันโหดร้าย
“ได้ยินว่ามังกรแดงปรากฏตัว เกิดความเสียหายอะไรบ้างหรือเปล่า?”
“ทีแรกข้าน้อยก็กังวลอยู่เหมือนกันที่ท่านเซเลนเข้าไปหาด้วยตนเอง หลังจากเผชิญหน้ากันสักพัก มันก็บินกลับไป ที่ได้ยินว่าเอลฟ์บอกมาว่าท่านเซเลนทำให้มังกรเชื่อฟังได้ ข้าน้อยก็เพิ่งจะเชื่อนี่แหละขอรับ…”
“นั่นสิ ผมเองยังแปลกใจเลย แต่ถ้าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว ขอโทษด้วยที่ผมไปอยู่ตรงนั้นด้วยไม่ได้”
“ไม่มีปัญหาขอรับ ว่าแต่องค์ชายเถอะ เป็นยังไงบ้างล่ะขอรับ? ผิวพรรณดูผ่องใสขึ้นแล้วนะขอรับ”
“พอจะลุกขึ้นได้แล้วล่ะ ฟื้นตัวได้ขนาดนี้ก็เพราะเซเลนนั่นแหละ”
คุมะฮาจิพยักหน้าให้กับมิลานที่แม้แต่สภาพจิตใจก็ไม่มีปัญหาใดๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมา คุมะฮาจิเคยคิดจะคว้านท้องจบชีวิตตัวเองอย่างจริงจัง แต่เมื่อรู้ว่ามิลานและเซเลนกลับมาได้แล้ว เขาก็ใจเย็นลงมามาก
“วันที่องค์ชายกลับมาถึงเฮลิฟาเต้ ท่านมีสภาพเลวร้ายมากจริงๆนะขอรับ ข้าน้อยเห็นแล้วนึกว่าร่างไร้วิญญาณเสียอีก”
“…ตอนนั้นก็ร่อแร่จริงๆนั่นแหละ หมอหลวงยังบอกเลยว่าถ้ายังได้รับการรักษาช้ากว่านี้อีก ได้ตายจริงๆแน่”
แม้ว่าตอนนี้อาการจะอยู่ในขั้นปลอดภัยแล้ว แต่มิลานก็อยู่ในสภาพปางตายในวันที่กลับมาถึงเฮลิฟาเต้ ในตอนที่เขาต่อสู้กับกี เขาได้ใช้พลังเวทย์ไปจนหมด จึงได้รับผลกระทบจากป่าสีขาวเทียบเท่ากับผู้ที่ไม่มีพลังเวทย์
ตอนที่ออกจากป่ามาได้ก็คือขีดจำกัดพอดี และยังต้องอดทนต่ออาการบาดเจ็บและอ่อนล้ามาตลอดการเดินทาง ฝืนทำตัวปรกติเพื่อไม่ให้เซเลนต้องเป็นห่วง ทันทีที่กลับมาถึง หลังจากส่งตัวเซเลนให้เหล่าคนรับใช้พาไปดูแล เขาก็ล้มลงไปตรงนั้นทันทีจากอาการที่เข้าขั้นวิกฤตมานาน
“ที่องค์ชายกลับมาแข็งแรงได้ต้องของคุณท่านเซเลนสินะขอรับ”
“อือ เตรียมการไว้ล่วงหน้าราวกับมองเห็นอนาคต การที่มังกรยังเชื่อฟังเธอก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกก็ได้”
มิลานที่มีสภาพปางตายสามารถรอดชีวิตมาได้เพราะยาเสริมพลังที่ได้รับมาจากเซเลนที่วัลเบิร์ต ในขณะที่ยาหรือการรักษาตามปรกติไม่มีผลกับมิลานในตอนนั้นที่อ่อนแอจนใกล้หมดลมหายใจ และหมอหลวงของเฮลิฟาเต้ก็จำได้ว่ามียาตัวนี้อยู่ในคลัง
มันเป็นยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่ายาทั่วไปมากจนอาจเป็นอันตรายได้ แต่ถ้าไม่นำมาใช้ มิลานก็จะตายไปทั้งอย่างนั้นแน่นอน ในเมื่อองค์ราชาอนุญาตแล้ว หมอหลวงก็ใช้ยาตัวนี้กับมิลานโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ แต่มันก็ได้ผลดีกว่าที่คาด อาการของมิลานเริ่มทรงตัวและดีขึ้นจนพ้นขีดอันตรายอย่างรวดเร็ว
“สุดท้ายก็ได้เซเลนช่วยไว้เหมือนทุกครั้ง”
มิลานพูดออกมาเบาๆ คิดถึงเซเลน เด็กผู้หญิงที่พูดน้อยจนไม่เป็นประโยค กระทำหลายๆอย่างก็แปลกประหลาดจนไม่รู้วัตถุประสงค์ แต่ถ้ามองให้ลึกๆก็จะเห็น ทั้งการให้รับประทานอาหารให้ตรงเวลา กับสารอาหารที่เหมาะสม ให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แก้ไขความร้าวฉานกับน้องสาว มารี… เธอรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา และรู้ดีว่าจะลงมือทำอย่างไรให้เกิดผล
“ตรงตามหลักคู่ครองที่ดีเลยนะขอรับ ป่านนี้แล้ว องค์ชายยังไม่คิดถึงงานอภิเษกสมรสอีกหรือขอรับ?”
“…ลืมแล้วหรือไงว่าเธออายุแค่แปดขวบเองนะ”
“นาข้าวที่ออกรวงให้เห็นแล้วต้องรีบซื้อก่อนที่จะสายนะขอรับ สติปัญญา ความสามารถ และความงาม รวมถึงบุรุษที่หมายปองท่านเซเลน ก็ล้วนเพิ่มขึ้นทุกวัน”
“…ก็จริง”
“หรือองค์ชายอยากจะเป็นคนเลือกคู่หมั้นให้ล่ะขอรับ?”
“ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย!”
“ถ้าไม่อย่างนั้นก็เหลือแต่ต้องให้องค์ชายรับไปเป็นภรรยาเสียเองแล้วล่ะขอรับ”
“เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ขอเก็บเอาไปคิดก่อนก็แล้วกัน”
ข้อเสนออย่างไม่เป็นทางการก็ถูกตัดบทลงไปเพียงเท่านี้ วันๆของเฮลิฟาเต้ได้กลับมาสงบสุขตามปรกติอีกครั้ง ที่เหลือก็มีแค่ธุระสำคัญของมิลาน บรรณาการที่สัญญาไว้กับกีที่ป่าสีขาว
ไม่กี่วันผ่านไป มิลานที่พักฟื้นจนสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดีแล้ว ได้จัดขบวนลำเลียงบรรทุกสินค้าจำนวนมาก มุ่งหน้าไปยังป่าสีขาวพร้อมกับผู้ติดตามที่คัดเลือกมาเป็นพิเศษเมื่อวันก่อน จุดหมายในครั้งนี้คือค่ายพักแรมใกล้แอ่งน้ำบริเวณที่เคยต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากถึงที่หมายโดยไม่มีปัญหาใดๆ ก็พบกีกับซานา และเอลฟ์คนอื่นๆนั่งล้อมกองไฟ ทุกคนเป็นคนที่เขาเคยเห็นมาก่อน
“สบายดีสินะ?”
“อย่างที่เห็นครับ แล้วอาการบาดเจ็บของคุณล่ะครับ?”
“บาดเจ็บเหรอ? จำไม่เห็นได้เลย”
มิลานถามไถ่ถึงบาดแผลจากการต่อสู้ แต่กีแค่ยิ้มแหยๆกลับมา อาจเป็นเพราะว่าไม่อยากถูกตอกย้ำความพ่ายแพ้ รอยบวมช้ำบนใบหน้าของเขาก็หายไปจนเกือบหมดแล้ว และบาดแผลของมิลานก็ปิดสนิทดี ไม่หลงเหลือร่องรอยของความบาดหมางในอดีตบนร่างกายของทั้งคู่
“ผมไม่รู้ว่าเอลฟ์จะยินดีกับสิ่งของพวกนี้หรือเปล่า แต่ก็รับประกันว่าเป็นของที่มีคุณภาพสูงสำหรับพวกผม เชิญดูก่อนได้”
“ขอบคุณนะ ทางนี้ก็ก็ต้องให้อะไรบางอย่างเป็นการตอบแทนแล้วสิ”
“ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ นี่เป็นของเล็กๆน้อยๆเพื่อแสดงความจริงใจของพวกผมเท่านั้นเอง…”
“จะให้รับอยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไง ตอนนั้นผมก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนซะด้วยสิ ทางนี้ก็เป็นของเล็กๆน้อยๆเหมือนกัน รับไว้ก็ไม่เสียหายใช่ไหมล่ะ?”
กีโบกมือให้คนที่อยู่ข้างหลังยกลังไม้มาให้ ลังไม้ที่ใหญ่ขนาดใช้สองคนยกได้ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้ากลุ่มของมิลาน เมือเปิดฝาลังออกก็พบก้อนหิน ท่อนไม้ และใบไม้จำนวนมาก ทุกชิ้นล้วนเป็นสีขาว
“นี่มัน…!?”
“พวกเราไม่รู้ว่ามนุษย์ชอบอะไร เท่าที่รู้ มนุษย์ต้องการของที่มีพลังเวทย์สถิตใช่ไหม? ถึงมันจะเล็กน้อยจริงๆก็เถอะ”
กีตอบด้วยความรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อย สิ่งที่กีเตรียมมาคือก้อนหินที่ขุดได้จากเหมืองหิน กับวัตถุดิบจากต้นไม้ระดับรองลงมา ที่เก็บมาด้วยระหว่างหาไม้ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเก็บรวบรวมมาให้โดยที่ยังไม่มั่นใจนัก โดยอ้างอิงจากข้อมูลเท่าที่รู้ว่า มนุษย์ไม่มีพลังเวทย์ในตัว และนักผจญภัยจากวัลเบิร์ตที่บุกรุกเข้ามาก็เพื่อค้นหาของเหล่านี้
“สุดยอด! ผมไม่เคยเห็นหินเวทมนตร์คุณภาพสูงเท่านี้มาก่อนเลย!”
“…หา?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของมิลานกับผู้ติดตามที่เกินคาดก็ทำให้กีส่งเสียงแปลกๆออกมา สำหรับเอลฟ์แล้ว หินและไม้ที่ให้ไปในครั้งนี้คือของที่มีคุณภาพไม่ถึงขั้น หาได้ไม่ยากจนพูดได้ว่าสามารถทิ้งขว้างได้ แต่มิลานมองของในลังไม้นั่นราวกับได้พบขุมสมบัติ
“ถ้าแค่ระดับนี้ล่ะก็ ในป่าสีขาวมีอยู่เยอะแยะเลยนะ”
“แต่สิ่งที่ได้รับมาในครั้งนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว ของทั้งหมดที่ผมนำมา จะดูไร้ราคาขึ้นมาทันที”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ครับ ของที่มีพลังเวทย์ระดับนี้ ในดินแดนของพวกผมถือว่ามีค่ามหาศาลเลยครับ”
แม้ว่ากีจะจัดหาให้ได้แต่ของธรรมดาที่หาได้ทั่วไป แต่มันก็ทำให้ผู้รับมีความสุขจากใจจริงได้ เมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็พอใจจนรู้สึกเหมือนตนเองได้รับคำชมแล้ว เขาจึงพูดเสริมต่อไปอีก
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวครั้งหน้าจะหาของที่ดีกว่านี้มาให้ดู”
“แล้วของที่ว่านั่นจะถูกส่งมอบให้ผมด้วยหรือเปล่าครับ?”
“ได้สิ ทางนี้ก็มีเรื่องอยากจะขอด้วยเหมือนกัน”
เรื่องที่อยากจะให้ทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับของระดับนั้นคืออะไร มิลานเริ่มกังวล กียิ้มและพูดต่อ
“ของที่พวกนายนำมามอบให้ในครั้งนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขออีก”
การพบปะแลกเปลี่ยนเป็นการส่วนตัวของมิลานและกีในครั้งนี้ คือก้าวแรกของการค้าข้ามพรมแดนระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์ แม้ต่างฝ่ายจะมองว่าสินค้าของตนเป็นของธรรมดา แต่ความแตกต่างทางสภาพแวดล้อมจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก
พืชพรรณในป่าสีขาวจะเป็นสีขาวทั้งหมดเพราะผลกระทบจากพลังเวทย์ในพื้นที่ จากสภาพแวดล้อมนั้นก็ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่ามีร่างกายเป็นสีขาวด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้น ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นจึงมีแต่สีขาวเท่านั้น แม้แต่สีย้อมก็หาได้ยากยิ่ง และการใช้โลหะก็ไม่เป็นที่นิยมสำหรับเอลฟ์ เพราะมีวัสดุเสริมเวทมนตร์เข้ามาแทนที่ เช่นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ทนน้ำทนไฟได้ดีระดับหนึ่ง
จนกระทั่งได้รับสินค้าจากดินแดนของมนุษย์เข้ามา จึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ผลิตโดยมนุษย์จะมีความทนทานด้อยกว่าของเอลฟ์เนื่องจากไม่ได้ถูกเสริมด้วยเวทมนตร์ แต่ก็มีเนื้อผ้า รูปแบบและสีสันสวยงาม อีกทั้งยังใส่สบาย จึงได้รับความนิยมในทันที โดยเฉพาะเหล่าหญิงสาวชาวเอลฟ์ที่แทบจะตบตีกันเพื่อแย่งชิงทันทีที่พวกมันถูกนำกลับไปแจกจ่ายในหมู่บ้าน
อาวุธและเครื่องป้องกันที่เป็นโลหะก็เป็นที่นิยมสำหรับเอลฟ์ เนื่องจากไม้ศักดิ์สิทธิ์เป็นของที่ค่อนข้างหายากและมีจำนวนจำกัด บ่อยครั้งถูกมองเยี่ยงวัตถุโบราณ สิ่งเหล่านี้จึงสามารถนำมาทดแทนได้อย่างลงตัว
และมิลานก็ยังมอบมงกุฎของจริงที่ทำจากทองคำให้กับกีที่สวมแต่หม้อเหล็กอีกด้วย แต่กีก็บอกมาว่า ‘ของเดิมให้ความรู้สึกปลอดภัยและคุ้นเคยมากกว่า’
ส่วนทางฝั่งมนุษย์ได้รับประโยชน์จากวัตถุดิบสำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์ที่หายากและราคาแพง ซึ่งครั้งนี้ได้รับมาอย่างง่ายดายและมากมายทั้งจำนวนและคุณภาพ ถ้านำออกขายสู่ตลาดก็จะเกิดการปั่นป่วนกันยกใหญ่เป็นแน่ และหากการแลกเปลี่ยนดำเนินต่อไปได้ดีเช่นนี้ จะทำให้วัตถุดิบชั้นยอดเหล่านี้เกิดการแพร่หลายได้ในไม่ช้า
“นี่ พวกนายเพิ่มจำนวนต่อรอบไม่ได้เหรอ? แบบนี้ของมันก็ไม่พอต่อความต้องการสักทีน่ะสิ”
การแลกเปลี่ยนดำเนินต่อไปอีกครั้ง จนกระทั่งกีทักเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะมิลานพาผู้ติดตามมาด้วยแค่ไม่กี่คน ขนาดของขบวนลำเลียงสินค้าก็พิจารณาตามอัตราส่วนที่เหมาะสมกับจำนวนคน จึงไม่สามารถเพิ่มปริมาณได้ตามที่ต้องการ
“อย่างที่รู้กันว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ไม่มีพลังเวทย์แหละครับ ผู้ที่เดินทางมายังป่าสีขาวได้อย่างปลอดภัยก็มีเพียงน้อยนิด”
กีพยักหน้า เข้าใจเหตุผลของมิลานดี
“งั้นให้พวกเราไปที่ดินแดนของมนุษย์ไหมล่ะ? พลังเวทย์ของที่นี่เป็นอันตรายกับมนุษย์ แต่พวกเราสามารถออกจากป่าสีขาวไปยังที่ที่ไม่มีพลังเวทย์ได้”
“…คุณกีจะเดินทางไปเฮลิฟาเต้หรือครับ?”
“ใช่แล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านของผม ตั้งแต่ได้พบกับเซเลน พวกเขาก็ไม่มีอคติกับมนุษย์แล้วล่ะ แต่พวกเราที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับดินแดนของมนุษย์เลยก็จะขอพึ่งพาและให้ช่วยแนะนำอะไรให้หลายๆอย่าง ได้ไหม?”
ช่างเป็นเงื่อนไขที่เล็กน้อยเหลือเกิน มิลานยิ้มและตอบกลับ
“แน่นอนครับ ในฐานะที่เป็นตัวแทนของประเทศ พวกเรายินดีต้อนรับ ถึงจะเห็นเป็นแบบนี้ แต่ผมก็เป็นถึงเจ้าชายเชียวนะครับ”
“ฝากด้วยนะ แล้วก็ ยังเหลือปัญหาอีกอย่าง”
“ผมช่วยได้หรือเปล่าครับ?”
“เป็นเรื่องในอนาคตน่ะ สินค้าที่จะแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ ถ้าหมู่บ้านของผมรับภาระอยู่เพียงแห่งเดียว วัตถุดิบของทางนี้ก็จะหมดลงเข้าสักวัน”
มิลานฟังกีอธิบายถึงสภาพความเป็นอยู่ของเอลฟ์ในปัจจุบัน และได้รู้มาว่า กีเป็นหัวหน้าของหมู่บ้านเอลฟ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยที่เอลฟ์จะกระจายกันปักหลักอยู่ทั่วป่าสีขาวและก่อตั้งเป็นหมู่บ้านที่ปกครองตนเอง โดยหมู่บ้านที่เล็กที่สุดมีประชากรเพียงแค่หนึ่งครอบครัวเท่านั้น
“เคยชวนให้พวกนั้นมาติดต่อกับมนุษย์แล้วล่ะ แต่การตอบรับก็ไม่ค่อยดีนัก”
“การเชื่อใจเผ่าพันธุ์อื่นอย่างมนุษย์นี่ก็ไม่ได้ทำกันง่ายๆสินะครับ”
“นั่นสินะ มันก็ช่วยไม่ได้แหละ เอลฟ์ในป่าสีขาวรู้จักแต่พวกโบรคเค่นชาร์ที่น่ารังเกียจ มีแต่พวกเราที่เป็นข้อยกเว้น”
“อื่ม…”
มิลานเอามือจับคางครุ่นคิด แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ ถ้าเกลียดมนุษย์ ก็คงจะไม่ฟังคำพูดของมิลานที่เป็นมนุษย์แน่อยู่แล้ว
“คงต้องควบคุมปริมาณสินค้าต่อไปแบบนี้”
“ไม่หรอก ยังพอมีวิธีอยู่”
“มีแผนอะไรครับ?”
“ต้องให้เซเลนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดต่อซื้อขาย”
“เซเลน? เรื่องนี้เธอจะช่วยอะไรได้หรือครับ?”
มิลานสงสัยในแผนการที่ยังไม่กระจ่าง กีจึงยกนิ้วขึ้นมาและเริ่มอธิบาย
“อย่างแรก นอกจากหมู่บ้านของผมแล้วก็ไม่มีเอลฟ์คนไหนเคยได้รู้จักกับมนุษย์มาก่อน แต่เอลฟ์ทุกคนในป่าสีขาวรู้ถึงตัวตนที่ถูกเรียกว่า ‘นักบวชมังกร’ ดังนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้านักบวชมังกร ก็จะทำให้พวกเขาคลายความระแวงลงได้”
“หรือก็คือ เซเลนจะเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของสันติภาพระหว่างเอลฟ์และมนุษย์สินะครับ?”
“ตามนั้นแหละ”
สำหรับเอลฟ์ที่บูชามังกรเป็นเทพเจ้า และเซเลนคนนั้นคือตัวตนที่เทพเจ้าให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ด้วยเหตุผลนี้ ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปมากกว่าเซเลนอีกแล้ว
“เข้าใจภาพรวมแล้วครับ แต่ต้องไปคุยกับเซเลนดูก่อน”
“อือ ฝากด้วยล่ะ”
หลังจากการแลกเปลี่ยนจบลง มิลานก็เดินทางกลับไปเฮลิฟาเต้อย่างเร่งรีบ
◆◇ ◆ ◇ ◆
“…เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละครับ เซเลนคิดว่ายังไงบ้าง?”
“เอ๋…”
หลังจากอธิบายเรื่องราวอย่างคร่าวๆให้เซเลนได้ฟังแล้ว เธอก็แสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักอย่างที่คาดไว้ มิลานเข้าใจดีว่าเซเลนเป็นคนที่ไม่ถนัดการพูดคุย จึงเดาคำตอบได้ไม่ยาก
“ไม่ได้บังคับให้ทำหรอกนะครับ แต่เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเอลฟ์และประเทศของเราอย่างมาก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอความร่วมมือ”
“หืม!?”
เรื่องผลประโยชน์ที่มิลานพูดถึง ทำให้เซเลนเริ่มคิด หากเป็นผลประโยชน์ของมิลานก็จะตอบไปทันทีว่า ‘เรื่องของแก อย่ามายุ่ง’ แต่ถ้าเอลฟ์และเฮลิฟาเต้ได้ประโยชน์ด้วยก็น่าสนใจ
กับเอลฟ์ที่จะกลายมาเป็นเพื่อนบ้านในอนาคตก็ต้องสนิทกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆจะดีกว่า รวมถึงต้องตอบแทนราชากับราชินี ที่ช่วยดูแลอยู่ทุกวันนี้ และมารีที่เป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน ถือเป็นของขวัญก่อนจากลา ส่วนเจ้าชายน่ะช่างมัน
“เซเลนไม่ต้องทำอะไรมากหรอกครับ แต่ละรอบก็ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ในช่วงเวลาเย็นถึงหัวค่ำ เรื่องที่เธอแพ้แสงแดดจึงไม่เป็นปัญหา และยังมีค่าตอบแทนให้ด้วยครับ”
“อืม…”
ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องยุ่งยากแต่เซเลนก็คิดถึงคำตอบเอาไว้แล้ว
“แค่ นั่งเฉยๆ ได้”
“ทราบแล้วครับ! ผมมั่นใจว่าเซเลนต้องช่วยไดแน่!”
การจะให้เซเลนที่ยังเป็นแค่เด็กทำการเจรจาด้วยตนเองนั่น มีแต่จะสร้างความลำบากใจให้กับมิลานมากกว่า แต่เซเลนคนนี้ต้องเข้าใจถึงความสำคัญของการคบค้าระหว่างเอลฟ์และมนุษย์และอยากที่จะส่งเสริมอยู่แน่ มิลานจึงมาขอความร่วมมือด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ และคำตอบของเซเลนก็ทำให้เขาแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่
แต่ถึงอย่างนั้น เซเลนไม่ได้เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้เลย ที่คิดจะทำก็เพราะเป็นงานที่นั่งเฉยๆก็ได้เงินต่างหาก ไม่เหมือนการประชุมบริษัทในชีวิตก่อน เพราะไม่ต้องออกความเห็นไม่ต้องอ่านรายงานไม่ต้องตอบคำถาม นั่งอย่างเดียวไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินแล้ว สบายกว่ากันตั้งเยอะ
และแล้ว เซเลนก็มาอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางสำหรับอนาคตระหว่างเอลฟ์และมนุษย์อย่างไร้ความกระตือรือร้น ด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆที่คิดว่าได้งานดีๆมาง่ายๆจึงรับมาโดยที่ไม่ตระหนัก
____________________
*
ชื่อ ササクレ(ซาซาคุเระ)
ออกเสียงเหมือน ささくれ(ซาซาคุเระ) = เล็บฉีก, จมูกเล็บฉีก, หนังโคนเล็บลอก