[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 35 เผชิญหน้า
ตอนที่ 35
เผชิญหน้า
วันถัดมา หลังจากงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนสุดท้ายกับเหล่าเอลฟ์ ในที่สุด ก็ได้เวลาที่เซเลนและบัตเลอร์จะต้องออกเดินทางไปพร้อมกับกลุ่มคนคุ้มกันที่นำโดยกี และซานาเองก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ในบริเวณทางเข้าหมู่บ้านนี้ มีเอลฟ์ทุกเพศทุกวัยมารวมตัวกันเพื่อที่จะได้เห็นหน้านักบวชมังกร เซเลน เป็นครั้งสุดท้าย ทำให้มีบรรยากาศคึกคักเหมือนเป็นงานเทศการ ถือว่าเป็นเรื่องผิดวิสัยสำหรับเอลฟ์ซึ่งปรกติจะชอบความเงียบสงบ
“เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว”
“ไม่เอา”
ในตอนนี้ เซเลนแสดงความอิดออดอยู่เต็มที่ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเธออยากอยู่ที่นี่ต่อ ไม่ต้องการออกจากสวรรค์บนดินแห่งนี้ แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก เพราะถ้าไม่กลับไป ก็จะพาอาลัวสุดที่รักมาอยู่ที่นี่ด้วยกันไม่ได้
“เห็นเธอชื่นชอบเอลฟ์อย่างพวกเราแล้วผมก็ดีใจนะ แต่มังกรสั่งไว้ให้ส่งเธอกลับไปหามนุษย์ เอาเถอะ หากชะตาต้องกัน สักวันต้องได้พบกันอีก”
กีวางมือลงบนหัวของเซเลนและลูบเบาๆไม่ให้ผมสีขาวที่นุ่มสลวยต้องเสียทรง หวังให้เธอร่าเริงขึ้นมาบ้าง ถึงเซเลนจะเป็นนักบวชมังกร แต่ภายนอกก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่กำลังงอแงไม่อยากลาจากแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเผ่าพันธุ์อื่น แล้วยังทำเสียงดุเหมือนคนแก่ ทำให้ดูน่าตลกเข้าไปอีก แต่ถ้ารู้ความจริงก็คงจะเรียกว่า สมเป็นคนแก่ แทน
ความคิดในการ ‘สร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์’ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของกี โดยที่ยังหาข้อสรุปและแนวทางไม่ได้ เขายังไม่ได้วางแผนถึงสิ่งที่ต้องทำหลังจากส่งเซเลนกลับไปแล้ว เพราะไม่ว่ายังไง การส่งตัวเซเลนให้ถึงเมืองมนุษย์อย่างปลอดภัยเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญลำดับสูงสุด
“โชคชะตา ทำเอง”
สำหรับเซเลน ความเชื่อที่ว่า ‘หากชะตาต้องกัน สักวันต้องได้พบกันอีก’ ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้วางใจได้ ในเมื่อมันเป็นโชคชะตาที่สามารถกำหนดขึ้นมาเองได้ก็ควรกำหนดให้ชัดเจนตั้งแต่แรกจะดีกว่า เซเลนต้องการช่องทางที่จะพาเธอกลับมาทีนี่ให้ได้ทันทีที่กลับถึงเฮลิฟาเต้
“…ถ้าอย่างงั้น ผมก็หวังพึ่งเธอได้สินะ? ท่านนักบวชมังกร”
เซเลนพูดย้ำเสียงดัง ส่วนกีก็ตอบอย่างจริงจัง เขาเองก็เข้าใจดีว่า จะหวังพึ่งโชคชะตาอย่างเดียวไม่ได้ หนทางที่เหมาะสมที่สุดต้องสร้างขึ้นมาเอง ตั้งแต่กีถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า เขาก็ได้รับสืบทอดเจตนารมณ์ของคนรุ่นเก่ามาด้วย แต่เด็กสาวคนนี้ทำให้กีคิดได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดใจออกมาดูโลกภายนอก
“ขอโทษที่ให้รอ! ทางนี้พร้อมแล้ว!”
และในตอนนั้นเอง ซานาก็ฝ่าฝูงชนเข้ามาสมทบ ด้านหลังเธอมีเอลฟ์ตามมาอีกสามคน ซึ้งทั้งสามคนนี้เป็นเอลฟ์ที่ฝีมือดีที่สุดที่จะหาได้จากหมู่บ้านนี้
ซานาและคนอื่นๆอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาว ไม่เพียงแค่กันแดด กันลม กันฝน เสื้อคลุมพวกนี้มีสามารถใช้พรางตัวในป่าสีขาวได้เป็นอย่างดี และสิ่งที่สะดุดตาเซเลนมากกว่าชุดกับอุปกรณ์ของพวกเขา ก็คือสัตว์หน้าตาแปลกๆที่ซานาและคนอื่นๆกำลังขี่อยู่
[“เป็นสัตว์ขี่ที่ประหลาดดีนะครับ”]
“กิ้งก่า?”
บัตเลอร์สะดุดตากับสัตว์พวกนั้นเช่นเดียวกับเซเลน เขาจ้องมองอย่างสนใจอยู่บนไหล่ของเซเลนจนกระทั้งซานาเห็นเซเลนกับบัตเลอร์ให้ความสนใจ เธอลงมาจากหลังของสัตว์ตัวนั้นและยิ้มให้กับเซเลน
“เพิ่งเคยเห็นสกิงค์กันสินะ? สัตว์ท้องถิ่นของป่าสีขาว”
ซานาลูบคอของกิ้งก่าที่เรียกว่าสกิงค์ ขนาดของมันใหญ่พอๆกับม้า ทั่วร่างเป็นเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์ ติดตั้งอานไว้บนหลังและบังเหียนไว้ที่ปากเช่นเดียวกับม้า และห้อยสัมภาระที่จำเป็นในการเดินทางไว้ตามลำตัว
“ถึงจะดูน่ากลัวแต่ก็เป็นสัตว์กินพืช มีนิสัยรักสงบ และตรงส่วนหางนี้ก็น่ารักดีด้วย เห็นไหมล่ะ?”
เซเลนมองไปที่หางของกิ้งก่ายักษ์ รูปร่างของมันเรียกได้ว่าแปลก จากปรกติที่หางของสัตว์เลื้อยคลานจะยาวแหลม แต่หางของสกิงค์กลับอ้วนป้อมเหมือนรากมันเทศ
เซเลนเข้าไปใกล้และเอื้อมมือจับหางของมัน หางอ้วนๆของกิ้งก่านั้นให้สัมผัสนุ่มนิ่มเหมือนอุ้งเท้าแมว
“ปุนิปุนิ”
“เอาไว้เก็บสารอาหารและน้ำที่พวกมันกินเข้าไป ต่อให้อยู่ในที่ที่ไม่มีอาหารและน้ำเป็นเดือน พวกมันก็ไม่อดตาย มีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่พวกมันต้องจำศีลในฤดูหนาว”
“อือ”
ขณะที่เซเลนให้ความสนใจกับกิ้งก่า กีก็เข้ามาพูดอวดในความสุดยอดของม้าตัวนี้ หรือต้องพูดว่า กิ้งก่าตัวนี้ ทำให้เข้าใจได้ว่ากิ้งก่าเหล่านี้คือ ‘ม้า’ สำหรับเอลฟ์ เนื่องจากภายในป่าที่พื้นดินขรุขระเต็มไปด้วยรากไม้รวมถึงกิ่งไม้และใบไม้ที่ทับถมเป็นอุปสรรคต่อการเดิน ความยืดหยุ่นและคล่องตัวของพวกมันจึงมีประโยชน์อย่างมากในการเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่เหล่านั้น
กรงเล็บอันแข็งแรงของมันสามารถปีนป่ายโขดหินและต้นไม้ได้เป็นอย่างดี ทำให้มันขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ไปพร้อมกับเอลฟ์บนหลังได้เมื่อต้องการพรางตัวจากศัตรู
“ถ้าคุยกันพอแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางกันเลยดีว่า”
นอกจากเอลฟ์ที่ซานาพามาด้วยแล้ว ยังมีสกิงค์อีกตัวถูกจูงมาด้วยกัน เมื่อเทียบกันแล้ว จะเห็นว่าตัวใหญ่กว่าตัวอื่นๆ ซึ่งเป็นสัตว์ขี่ประจำตัวของกีที่เป็นหัวหน้า เขาปีนขึ้นไปบนหลังของมันและหันกลับพูดกับทุกคนอีกครั้ง
“ถ้าอย่างงั้นก็มาทำให้มั่นใจว่านักบวชมังกรจะกลับไปยังเมืองของมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยกันเลย”
กีเริ่มอธิบายแผนการให้กับกลุ่มเอลฟ์ที่เป็นผู้คุ้มกันฟังอย่าง จริงๆแล้ว ความสำคัญระดับนี้ควรจัดให้มีคนคุ้มกันเซเลนมากกว่านี้ แต่สกิงค์เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์หลายอย่าง เอลฟ์คนอื่นๆในหมู่บ้านก็จำเป็นต้องใช้งานมันด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงจะใช้พวกมันทั้งหมดเพื่อการนี้ไม่ได้
หรือถ้าจัดให้มีกลุ่มเดินเท้าตามไปด้วย ความเร็วในการเดินทางจะลดลงไปอย่างมาก ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงในการถูกสัตว์ป่าจู่โจม และตามแผนดั้งเดิมนั้นมีแค่การนำเซเลนไปปล่อยไว้ใกล้ๆชายป่าในขณะเดินทางไปยังพื้นที่เก็บเกี่ยว แต่มาตอนนี้ ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเซเลนเป็นอันดับแรก จนกว่าเธอจะถึงเมืองของมนุษย์อย่างปลอดภัย การเก็บรวบรวมวัตถุดิบจะถือเป็นเรื่องรองที่เป็นแค่ผลพลอยได้จากการเดินทางในครั้งนี้
“อืม แต่ฉันไม่ชอบการต่อสู้เลยน้า”
ถึงซานาจะเป็นนักรบแต่เธอก็ไม่ถนัดการเข้าปะทะซึ่งๆหน้า เธอมีความสามารถในการมองเห็นและได้ยินเสียงสูงเป็นพิเศษในหมู่เอลฟ์ อีกทั้งความสามารถในการควบคุมพลังเวทย์ที่ละเอียดอ่าน ทำให้เธอมีประโยชน์อย่างยิ่งในการค้นหาและตรวจจับศัตรูได้ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรง
“พร้อมแล้วก็ออกเดินทางได้ รักษารูปขบวนเอาไว้ให้ดี อย่าลืมว่าครั้งนี้มีเด็กชาวมนุษย์ร่วมเดินทางไปด้วย”
“พูดกับตัวเองเถอะ คนที่จะเผลอล่วงหน้าไปก่อนใครก็มีแต่นายคนเดียว”
“ที่ให้เธอตามมาด้วยก็เพราะเรื่องนี้แหละ ถ้าเป็นเธอต้องตามทันแน่นอนใช่ไหมล่ะ?”
“เข้าใจแล้วน่า”
ในที่สุดก็ออกจากหมู่บ้านเอลฟ์ กลุ่มคนคุ้มกันของกีที่มาพร้อมกับสกิงค์มีทั้งหมดห้าคน กีอยู่ด้านหน้าสุด เซเลนกับซานาอยู่ตรงกลาง และเอลฟ์อีกสามคนอยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง และข้างหลัง มองจากด้านบนก็จะเห็นเป็นรูปกากบาท
หากมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น ซานาที่อยู่ตรงกลางจะสามารถเตือนภัยให้กับคนอื่นที่อยู่รอบๆได้อย่างรวดเร็ว และซานาที่เป็นผู้หญิงร่างเล็กกับเซเลนที่เป็นเด็ก จึงไม่เป็นภาระให้กับกิ้งก่าที่ทั้งสองคนขี่อยู่
“อุหวา”
แต่กลยุทธ์หรือรูปขบวนพวกนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เซเลนถูกซานากอดไว้จากด้านหลังอยู่ตอนนี้ เธอคิดแค่ว่าโชคดีจริงๆที่ได้เดินทางในลักษณะนี้ ส่วนทางด้วนของคนคุ้มกันคนอื่นๆ พวกเขากำลังสงสัยกันว่าจะส่งเซเลนให้ถึงมือมนุษย์อย่างไร
“แล้ว การส่งคืนท่านเซเลนให้กับมนุษย์ ต้องทำยังไงบ้าง”
“นั่นสินะ…”
“จะบอกว่านายยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นงั้นเหรอ!?”
“จู่ๆก็ได้รับคำสั่งให้ทำทั้งๆที่ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับดินแดงของมนุษย์ด้วยซ้ำ มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา”
“อย่าตอบแค่ ช่วยไม่ได้ สิ!”
“สำหรับตอนนี้ พวกเราจะเดินทางไปใกล้กับสุดขอบป่าให้มากที่สุด และในเส้นทางผ่านของมังกร พวกเราจะรอจนกว่ามังกรจะปรากฏตัว จากนั้นก็อธิบายให้มังกรเข้าใจว่าพวกเราที่ไม่รู้จักความอันตรายของโลกภายนอกป่าสีขาว จะทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เซเลนได้ไม่เต็มที่”
“แล้วอีกฝ่ายจะยอมฟังเหรอ…”
ซานารู้สึกลังเลกับวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเช่นนี้ ถึงสิ่งที่พูดจะเป็นความจริง แต่มังกรจะยอมรับเหตุผลของพวกเขาได้หรือไม่และจะตอบสนองอย่างไร ก็ได้แค่เดาเท่านั้น ซึ่งกีก็เข้าใจความเสี่ยงนี้ดี
“ถ้าไม่ได้ผล พวกเราก็ต้องเดินทางต่อไปในดินแดนของมนุษย์กันเอง”
“ก็แปลว่าต้องออกจากป่าสีขาวน่ะสิ?”
“อือ ตามนั้น”
“ยังจะพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอยู่อีก…”
“กลัวเหรอ ไม่ไหวเลยน้า ถ้าขี้ขลาดจะกลับไปก่อนก็ได้นะ”
“จะบ้าเหรอ เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวจะทำให้ดู!”
ซานานึกถึงสิ่งที่ตัวเองพูดไปแล้วก็เงียบลงทันที แต่ก็สายไปแล้ว เท่ากับว่าเธอยอมรับการออกไปยังโลกภายนอกตามแผนการสิ้นคิดของกี
“ตั้งแต่เกิดมา ฉันยังไม่เคยออกจากป่าเลยสักครั้ง”
“ผมก็ไม่เคยเหมือนกันแหละน่า ถึงจะเข้าอาณาเขตทุ่งราบแล้วพวกเราก็คงไม่ถึงกับตายในทันทีหรอก”
“น่าเป็นห่วงชะมัด… ถ้าไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นก็คงดี”
“เอาน่า อย่างคิดมากสิ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้”
…แม้จะมีเรื่องที่กังขามากมาย แต่จนถึงตอนนี้ คณะเดินทางที่นำโดยกีก็เดินทางผ่านป่าสีขาวมากได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้ยังเป็นเส้นทางที่พวกเขาเคยใช้อยู่เป็นประจำ และยังมีความสามารถในการรับรู้อันตรายของซานา ความคืบหน้าของระยะทางในส่วนนี้มีถึงเจ็ดส่วนด้วยเวลาเพียงสองวัน หากทุกๆอย่างราบรื่นเหมือนที่ผ่านๆมา พวกเขาก็จะไปถึงสุดขอบป่าสีขาวได้ภายในวันพรุ่งนี้
“พักได้”
ในเวลาที่พระอาทิตย์ยังอยู่สูงบนท้องฟ้า กีสั่งให้หยุดพักทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงพลบค่ำ เนื่องจากพวกเขาเดินทางได้เร็วกว่าที่คาดไว้ และบริเวณนี้ก็มีแอ่งน้ำสะอาด จึงเหมาะแก่การตั้งค่ายพักแรม
“เอ้า ฮืบ”
ซานาลงจากหลังของสกิงค์พร้อมกับกอดเซเลนเอาไว้ และวางเธอลงเมื่อถึงพื้น สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสกิงค์นั้นขี่สบายกว่าที่คิด ประกอบกับความนุ่มนิ่มของซานาที่กระกบติดอยู่ข้างหลัง ทำให้เซเลนอยากจะอยู่ในสภาพนั้นต่อไปอีกให้นานกว่านี้ แต่เวลาพักผ่อนก็คือเวลาพักผ่อน
“เดี๋ยวทางนี้จะเตรียมสถานที่พักแรมกันก่อน ท่านเซเลนก็อย่าไปไหนไกลนักล่ะ”
“อือ”
ซานาพูดเอาไว้เช่นนั้นและไปรวมกลุ่มกับเอลฟ์คนอื่นๆรวมถึงกี พวกเขากำลังยกสัมภาระลงจากสกิงค์เพื่อนำมาตั้งกระโจมแบบง่ายๆ ถึงเซเลนอยากจะช่วยแต่ก็ไม่มีอะไรที่เธอทำได้ และพวกเอลฟ์ก็เกรงใจเกินกว่าที่จะเรียกใช้เธอ
แรกๆเธอก็เฝ้ามองดูพวกเขาทำงานอยู่ห่างๆ แต่เมื่อสบโอกาส เซเลนก็หลบสายตาของพวกเอลฟ์เข้าไปหลังพุ่มไม้
[“องค์หญิงไม่ควรออกห่างจากเอลฟ์นะครับ”]
“ต้องหา พืช และเมล็ด”
[“ต้องการวัตถุดิบหรือครับ?”]
เซเลนตอบกลับบัตเลอร์ด้วยคำพูดที่ไม่ประติดประต่อ เธอพยายามปลูกพืชแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในอาร์คุยล่าแล้ว การกระทำนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และเธอก็คิดว่าในป่าสีขาวแห่งนี้ก็อาจมีลูกไม้เวทมนตร์ร่วงหล่นอยู่แถวนี้ด้วยก็ได้
เพราะแทบจะไม่มีมนุษย์คนไหนเคยได้เข้ามาภายในป่าสีขาว เพราะฉะนั้นจะต้องมีพืชพรรณหายากอันล้ำค่าอยู่แน่ จะต้องรวบรวมพวกมันมาในขณะที่ทำได้ เพื่อนำกลับไปปลูกที่หมู่บ้านเอลฟ์และเฝ้าดูพวกมันเติบโต เธอคิดไว้เช่นนั้น
[“จะว่าไป พวกเราก็รับสิ่งของต่างๆจากพวกเขามามาก จึงอยากจะใช้คืนเป็นวัตถุดิบสินนะครับ”]
“ประมาณนั้น”
[“เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้น บัตเลอร์ผู้นี้จะช่วยท่านอีกแรง หากต้องการสิ่งใดโปรดเป่านกหวีดที่ได้รับมาจากท่านกีอันนั้นด้วยนะครับ กระผมสามารถได้ยินเสียงของมันจากระยะไกลได้”]
“ขอบคุณ”
เพราะรับอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอดจึงอยากตอบแทน บัตเลอร์เข้าใจถึงความอ่อนโยนของเซเลนดี เขาวิ่งออกไปหาพืชและสมุนไพรที่มีประโยชน์ในการเป็นยาและอาหาร ถึงการที่ปล่อยให้เซเลนอยู่คนเดียวจะไม่ปลอดภัย แต่ก็มีเอลฟ์ที่คอยคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ และยังมีวิธีที่จะเรียกพวกเขาได้ในทันที จึงไม่น่ามีปัญหาใดๆ บัตเลอร์คิดไว้เช่นนั้น
ในความคิดของเซเลน ไม่ได้มีเจตนาหาให้ใครทั้งนั้น แต่ทำไปเพื่องานอดิเรกส่วนตัวต่างหาก และก็เริ่มที่จะเบื่อแล้ว จากนั้นเธอก็ปัดกองใบไม้ที่อยู่บนพื้นให้กระจายและลุกขึ้นเดินออกห่างจากกลุ่มเอลฟ์ที่กำลังทำงาน เพื่อหาอะไรบางอย่างที่แปลกใหม่
“อืม… ไม่อยาก กลับ”
เซเลนเดินบ่นอยู่คนเดียว เตะกองใบไม้แห้งไปตามตาม ที่สำคัญที่สุดคืออาลัว และยังมีมารีกับไอบิสอีก แต่ปัญหาหนึ่งเดียวก็คือเจ้าชายที่อยู่ที่นั่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเฮลิฟาเต้แล้ว จะต้องเรียกมังกรแดงมาเจรจาให้ได้
อย่างน้อยก็คิดว่ามังกรแดงต้องมาตรวจสอบสักครั้ง ว่าเซเลนถูกส่งกลับไปยังดินแดนของมนุษย์โดยสวัสดิภาพจริงหรือไม่ ที่เหลือก็แค่วางแผนจัดการให้ตนเองกับอาลัวถูกพาไปยังสรวงสวรรค์ที่อยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับมนุษย์ ดินแดนของเอลฟ์
“ต้อง พยายาม”
เซเลนกำหมัดแน่น สร้างแรงใจสำหรับขั้นตอนต่อไป ถึงจะต้องกลับไปเฮลิฟาเต้ก็ไม่เป็นไร จะอาศัยอยู่ที่นั่นเพียงชั่วครู่เท่านั้น แทนที่จะคิดว่า ‘เหลือเวลาอิสระไม่กี่วันก่อนจะไปเจอเจ้าชาย’ ถ้ามองในอีกมุมก็จะเป็น ‘ไปเจอเจ้าชายแค่ไม่กี่วันก็จะได้เป็นอิสระ’ จะให้ความรู้สึกที่ต่างกัน
“…เซเลน!?”
“เอ๋?”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเรียกชื่อของเธอดังมาจากข้างทาง เซเลนหันไปเห็นสิ่งที่ทำให้เธอแทบช็อกหมดสติ เจ้าขายในชุดหนาๆสำหรับเดินป่า สกปรกมอมแมม ที่รู้เพราะเจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลาจนน่าหมั่นไส้แบบนี้ก็มีแต่มิลานเท่านั้น แต่ก็เป็นเป็นสภาพที่ไม่น่าจะเห็นได้ตามปรกติ
“ค่อยยังชั่ว ภาพหลอน นี่เอง…”
“ตอบมาสิ…! เซเลน! เธอคือเซเลนจริงๆใช่ไหม ไม่ใช่ภาพลวงตาใช่ไหม!”
อาจเป็นเพราะความเกลียดชังต่อเจ้าชายมีมากเกินไปจนเกิดเป็นภาพหลอน เซเลนหลับตา ส่ายหน้า และลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง โชคร้ายที่มิลานที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ยังไม่หายไปไหน ซ้ำยังเริ่มพูดกับเธออีก ทำให้เชื่อได้ว่ากำลังเผชิญกับความเป็นจริง
ทางด้านของมิลาน เขาจดจ่อกับการค้นหาเซเลนอย่างหนัก จนเผลอคิดไปว่าตนเองอาจจะมีอาการประสาทหลอน และตรงกันข้ามกับเซเลน เขาตัวสั่นด้วยความยินดีเมื่อได้รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือตัวจริง
ภาพในความทรงจำหวนคืนมาอีกครั้ง ตอนที่ได้พบกับเซเลนเป็นครั้งแรก เด็กสาวสีขาวยืนอยู่คนเดียว ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้มากมาย เธอดูเข้ากับทัศนียภาพจนน่าอัศจรรย์ งดงามจนทำให้มิลานรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
“ทำไม เจ้าชาย!?”
เป็นสถานการณ์ที่ทำให้มิลานโล่งใจอย่างที่สุด แต่เซเลนยังคงตกใจไม่หาย รู้สึกอยากตะโกนแต่เสียงก็ไม่ออกมา ทำไมไอ้เจ้านี่ถึงมาโผล่แถวนี้ได้ มันแปลกเกินไปแล้ว ทั้งๆที่ไม่มีวี่แววแม้แต่เงา แกเป็นนินจาหรือไง นี่มันยังไงกันแน่ จะเอายังไงต่อดีล่ะ
“ทำให้ตกใจสินะครับ ว่าทำไมผมถึงมาที่นี่”
มิลลานยิ้มให้และพูดต่อไปด้วยเสียงที่อ่อนโยน เซเลนยังพะงาบๆเหมือนปลาทอง ในขณะที่พังเรื่องราวที่นำพาเขามาถึงตรงนี้
การที่เดินเข้าไปในป่าที่ไม่รู้จัก แม้เป็นป่าธรรมดาก็มีความยากลำบากอยู่แล้ว และป่าสีขาวที่ทุกอย่างเป็นสีขาวบริสุทธิ์จนประสาทการรับรู้ผิดเพี้ยน ทำให้รู้สึกกดดันมากว่าปรกติ แต่ก็ยังประคองสติเอาไว้ได้ ระหว่างทางยังไม่พบกับสัตว์อันตรายใดๆ และได้เจอกับกิ้งก่ายักษ์สีขาวที่ดูแข็งแกร่งเกาะกลุ่มกันอยู่ใกล้ๆ
“มีแอ่งน้ำสะอาดอยู่ไม่ไกล พวกผมจึงตัดสินใจพักแรมกันแถวนี้ ในขณะที่พวกผมแยกย้ายกันเก็บฝืนและหาอาหาร …ก็ได้มาพบกับเธอตรงนี้แหละครับ…”
มิลานเข้าใกล้และเอื้อมมือไปจับเซเลน ทันใดนั้นก็มีบางอย่างพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ เล็งไปที่กลางศีรษะของมิลานอย่างแม่นยำ เขาหันหน้าหลบได้ทันฉิวเฉียด แต่ก็ถูกบาดเล็กน้อยที่ใบหน้าจนมีเลือดไหลซึมออกมา สิ่งที่พลาดเป้าไปนั้นปักแน่นอยู่กับต้นไม้สีขาว
“เมื่อกี้มัน!? อะไรน่ะ!? แท่งไม้เหรอ!?”
มิลานหันไปยังทิศทางที่สิ่งนั้นพุ่งมาและเห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น กี ผู้นำของเหล่าเอลฟ์ แม้เอลฟ์หนุ่มคนนั้นจะดูอายุยังน้อยแต่มิลานก็ดูออกว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูง
“คุณคือ เอลฟ์สินะครับ?”
“ถอยออกไปซะ! เจ้าพวกโบรคเค่นชาร์”
กีไม่คิดจะสนทนากับมิลาน เขากระโดดโหนตัวขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆอย่างชำนาญ ด้วยความว่องไวดุจวานร กระโดดข้ามมิลานมายืนคั่นกลางระหว่างเซเลนกับมิลาน และชักไม้ศักดิ์สิทธิ์ออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม