[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 34 สายลมใหม่
ตอนที่ 34
สายลมใหม่
กีให้เซเลนกับซานานั่งลงบนขอนไม้ใกล้ๆ และอธิบายเกี่ยวกับไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทางราวกับเล่าเรื่องสนุก
“ไม้ศักดิ์สิทธิ์ อุปกรณ์อเนกประสงค์อันน่าภูมิใจของพวกเรา”
กีเหวี่ยงแท่งไม้สีขาวที่เรียกว่าไม้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเหวี่ยงดาบ แท่งไม้นั้นก็ตอบสนองโดยการเรื่องแสงสีฟ้าออก มามองเห็นเป็นแนวขณะเหวี่ยง
“เป็นไงล่ะ? เจ๋งล่ะสิ!”
“อะไรน่ะ?”
การตอบสนองของเซเลนทำให้กีดูหงอยลงไปทันที ถ้ามันเป็นดาบใหญ่ๆ หรืออาวุธเท่ๆ ก็คงจะสร้างความประทับใจได้อยู่หรอก แต่ภาพที่เซเลนเห็น เป็นแค่การโบกแท่งไฟอันใหญ่หน่อยก็แค่นั้น
“ง-งั้นเหรอ พวกมนุษย์ก็เป็นซะแบบนี้แหละน้า… ถ้างั้น! เดี๋ยวจะแสดงความสุดยอดของเจ้านี่ให้ดู”
กีปรับอารมณ์ใหม่ และไปที่ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าลำต้นจะดูเล็กเมื่อเทียบกับต้นไม้ยักษ์ที่อยู่รอบๆ แต่ก็ใหญ่เกินกว่าผู้ใหญ่คนหนึ่งจะโอบให้รอบได้
“เอาล่ะนะ!”
แท่งไม้ที่เรียกว่าไม้ศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงสว่างกว่าทุกครั้งราวกับตอบรับตามความตั้งใจของกี แสงสีอ่อนห่อหุ้มแท่งไม้จนดูเหมือนประกายสะท้อนจากใบดาบ
“บีมเซเบอร์ นี่นา!?”
“พูดอะไรของเธอน่ะ? คอยดูให้ดีๆก็แล้วกัน”
กีสูดหายใจ แกว่งไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งแสงเหมือนควงกระบอง จับให้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างและตั้งท่า
“โอ้วววววว!!”
ไม้ศักดิ์สิทธิ์ถูกเหวี่ยงในแนวราบอย่างรวดเร็วด้วยการปลดปล่อยพลังออกไปเพียงครั้งเดียวของกี และแล้ว ลำต้นที่ใหญ่หนาของต้นไม้นั้นก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ต้นไม้ส่งเสียงเสียดสีกันอยู่ไม่นานก่อนที่มันจะโค่นล้มลงเสียงดัง
“อืม ประมาณนี้แหละ”
[“น่าทึ่งจริงๆครับ!”]
“สุดยอด!”
เซเลนปรบมือให้กับการสาธิตที่น่าตื่นตาตื่นใจ บัตเลอร์ยังตะลึงกับพลังของไม้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะใช้พละกำลังมากขนาดไหน การที่จะโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวก็เป็นไปไม่ได้
“ไม่ใช่ มนุษย์!”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ดูยังไงก็เป็นเอลฟ์…”
เธอตั้งใจจะบอกว่า เป็นความแข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ แต่กีก็ไม่ใช่มนุษย์ตั้งแต่แรก เขาจึงไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เธอพูดนั่นคือคำชม แต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกผ่ายกำลังชื่นชม เขาจึงยิ้มกว้าง
“แท่งไม้ ไม่ใช่ ดาบ เปลี่ยน ยังไง?”
“ถามอะไรแปลกๆ ไม้ศักดิ์สิทธิ์คือดาบของพวกเราไงล่ะ”
“นายจะบ้าเหรอ มันต้องอธิบายทีละขั้นตอนสิ”
ซานาที่นั่งอยู่ข้างๆเซเลนพูดออกมาด้วยความเอือมระอา
“ท่านเซเลน เดี๋ยวฉันจะอธิบายแทนหัวหน้าที่ไม่ได้เรื่องเอง ต้นไม้ทุกต้นในป่าสีขาวล้วนมีพลังเวทย์ในตัวของมัน และจะมีอยู่สูงเป็นพิเศษในต้นไม้เก่าแก่ที่ดำรงอยู่มาเนิ่นนาน ไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็คือกิ่งก้านที่เหมาะสมจากต้นไม้เก่าแก่เหล่านั้น”
“อือ”
ถึงซานาจะช่วยอธิบายให้ แต่เซเลนก็ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น ไม่ว่าเอลฟ์จะคิดว่ามันคือไม้หรือมันคือดาบก็ไม่เกี่ยวกับเซเลน
“ในเมื่อไม้ศักดิ์สิทธิ์มีพลังเวทย์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้น หากผู้ที่ใช้งานมีความสามารถในการควบคุมพลังเวทย์ ก็จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังได้ เหมือนที่กีทำให้ดูเมื่อสักครู่นี้”
“นั่นแหละ แล้วก็ ถ้าพูดถึงการควบคุม ผมเองก็ไม่ค่อยถนัดนักหรอก ซานาทำได้ดีกว่าผมอีก”
“นั่นสินะ”
ซานายืดอกภูมิใจ กีคืออัจฉริยะในเรื่องของการปลดปล่อยพลังเวทย์ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพและความสามารถในการต่อสู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการควบคุมที่ละเอียดอ่อนที่ต้องการความแม่นยำ ซานาจะทำได้ดีกว่า
[“นี่ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กระผมถูกลูกธนูแปลกๆมัดเอาไว้ด้วยสินะครับ น่าจะเป็นของแบบเดียวกัน”]
บัตเลอร์นึกถึงเรื่องที่เขาประสบมากับตัว มันไม่ใช่ลูกธนูที่เปลี่ยนแปลงลักษณะได้ แต่เป็นเถาวัลย์ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทำให้อยู่ในรูปแบบของลูกธนู มันได้เปลี่ยนกลับไปเป็นเถาวัลย์ที่พลิ้วไหว ม้วนพันตัวเขาไว้ก่อนจะกลับมาแข็งอีกครั้งด้วยการควบคุมด้วยเวทย์มนต์จากระยะไกล
“ดาบของมนุษย์ทำมาจากโลหะใช้ไหมล่ะ? พวกเราไม่ต้องใช้ของแบบนั้นเพราะมีสิ่งนี้มาแทน”
กีพูดแล้วก็คลายคลายเวทย์มนต์ที่ควบคุมไม้ศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขา แสงสีฟ้าที่ห่อหุ้มมันอยู่ได้หายไป และกลับมาเป็นสิ่งที่ดูเหมือนแท่งไม้สีขาวตามเดิม และกียังบอกอีกว่า แม้มันจะอยู่ในสภาพนี้ก็ยังมีความแข็งแรงทนทานยิ่งกว่าเหล็กทั่วไปอีกด้วย
[“เข้าใจล่ะ เท่านี้ก็คลายความสงสัยของกระผมในเรื่องวิถีชีวิตของเอลฟ์ได้แล้ว”]
“ยังไง?”
[“ตอนที่กระผมสำรวจรอบๆหมู่บ้านของพวกเขา พบว่าข้าวของเครื่องใช้แทบทุกอย่าง ใช้ไม้เป็นวัสดุทั้งหมด นั่นก็เพราะ ไม้ของที่นี่แข็งแรงทนน้ำทนไฟได้ดีระดับหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องใช้โลหะเป็นส่วนประกอบครับ”]
“อือ”
บัตเลอร์ภูมิใจกับความรู้ใหม่ที่จะถูกสั่งสมไว้ในความทรงจำของเขา ส่วนเซเลนที่ฟังคำอธิบายของบัตเลอร์แล้วก็ลืมไปจนหมดแทบจะทันที เพราะเซเลนแสวงหาความสุขที่จับต้องได้เป็นหลัก ไม่บ่อยนักที่เธอคิดจะเพิ่มพูนความรู้เพื่อเสริมภูมิปัญญา และตอนนี้ การสร้างเส้นสายกับกีเพื่ออนาคตอันสุขสบายของเธอเป็นเรื่องที่ถูกให้ความสำคัญมากกว่า
“อยาก กระชับมิตร(親睦)”
“เห? เธออยากได้ ไม้ศักดิ์สิทธิ์(神木)สินะ?”
เธออยากทำความรู้จักกันให้มากขึ้น คิดว่าพูดออกไปได้ชัดเจนแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังสื่อไปไม่ถึงกีกับซานาอยู่ดี
“อืม… แต่ก็ไม่รู้ว่าไม้ ศักดิ์สิทธิ์จะเข้ากับพลังเวทย์ของมนุษย์ได้หรือเปล่า อาจใช้งานไม่ได้ เหมือนเป็นแค่ไม้ธรรมดา”
“ฉันว่าไม่เป็นไรหรอกน่า อย่างน้อยให้เธอพกเอาไว้เป็นเครื่องรางก็ได้”
“ช่วยไม่ได้น้า แค่นิดหน่อยคงไม่เป็นไร”
หลังจากที่พวกเขาคุยกัน กีก็หยิบของบางอย่างที่เขาพกติดตัวไว้ ยื่นให้กับเซเลน มันคือนกหวีดยาวทำจากไม้สีขาวบริสุทธิ์ ขนาดของมันเมื่อเทียบกับมือเล็กๆของเซเลนแล้วก็ยังถือว่าเล็กอยู่ดี
“นกหวีดของผมเอง มีสำรองไว้ก็เลยให้อันนี้ได้ และมันก็ทำมาจาก ไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ”
“อ่า ขอบคุณ”
เซเลนรับนกหวีดไม้ ศักดิ์สิทธิ์มาจากกี ถึงมันจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของเซเลน แต่ในเมื่อมันเป็นของฟรีที่อีกฝ่ายเสนอให้เอง ก็จะรับมาโดยไม่สนว่าตรงกับความต้องการหรือไม่
“จะลองใช้ดูเลยไหมล่ะ? ท่านเซเลนเป็นมนุษย์ที่มีพลังเวทย์ บางทีอาจจะสามารถใช้งานมันก็ได้ก็ได้?”
“ได้”
เซเลนถือนกหวีดสีขาวไว้ในมือและตั้งสมาธิ
“ราเมน โซเมน โคเปนเฮเกน…”
เซเลนเริ่มร่ายคาถาเวทย์มนต์ที่คิดขึ้นมาเอง หลังจากที่ไม่ได้ทำมานานแล้วเพราะไม่มีโอกาส
ช่วงนี้มีเหตุการณ์วุ่นวายหลายๆเรื่องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเซลล์สมองอันน้อยนิดของเซเลนประมวลผลไม่ทันทำให้ลืมไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้เซเลนจำได้แล้วว่าเธออยู่ในโลกที่มีเวทย์มนต์และเธอก็อาจจะเป็นผู้ที่ใช้เวทย์มนต์ได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่เธอเคยคาดหวังเป็นอย่างมาก
เธอเกือบจะยอมแพ้ไปแล้วเพราะไม่ว่าจะพยายามยังไง เวทย์มนต์ก็ไม่ออกมาสักที พอมาตอนนี้ เอลฟ์ตัวจริงให้อุปกรณ์เวทย์มนต์ที่ชื่อว่าไม้ ศักดิ์สิทธิ์กับเธอมาไว้ในมือ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้มันกลายเป็นดาบเท่ๆเหมือนของกีก็ได้
“ไม่มี…”
แต่ความจริงช่างโหดร้าย นกหวีดไม้ ศักดิ์สิทธิ์ในมือของเซเลน ไม่เปล่งแสง ไม่มีเสียง ไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น เป็นเพียงนกหวีดไม้สีขาวเหมือนเดิม
“ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกัน ว่าเอลฟ์กับมนุษย์มีรูปแบบพลังเวทย์ที่แตกต่าง…”
“อุว้าก!”
เสียงตะโกนของเซเลนขัดจังหวะคำพูดของซานา ไอ้นกหวีดเฮงซวย มาทำให้มีความหวังแล้วหักหลังกันได้ลงคอ เซเลนทะเลาะกับนกหวีดที่อยู่ในมือ เธอกำนกหวีดเอาไว้แน่นและเริ่มเขย่ามัน
[“องค์หญิง โปรดอย่าจริงจังมากเกินไป…”]
“ย้า!”
แม้ว่าเซเลนจะได้ยินคำแนะนำที่บอกให้ใจเย็น แต่เธอก็ใส่อารมณ์มากเกินไป เซเลนยังคงกำนกหวีดไม้เอาไว้ ตอนนี้มันเป็นแค่ไม้ ถ้าบีบให้แน่นและเหวี่ยงให้แรงพอ มันอาจจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นมาก็ได้ ถึงจะเป็นความคิดที่งี่เง่าแต่เซเลนก็จริงจังกับมัน
“สำเร็จ!”
หลังจากทุ่มเทให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนในที่สุดก็ก่อให้เกิดผลลัพธ์ เซเลนประสบความสำเร็จในการใช้เวทย์มนต์ได้เป็นครั้งแรก! คมดาบอันน้อยนิดเรืองแสงสีฟ้าออกมาจากส่วนปลายของนกหวีด มันดูเหมือนเปลวไฟจากเทียนไขมากกว่าคมดาบ
“…กระจอกจัง”
ช่างดูกระจ้อยร่อยเหลือเกิน เซเลนพูดสิ่งที่คิดอยู่ออก เทียบกับเวทย์มนต์ของกีที่ทำให้แท่งไม้ยาวหนึ่งเมตรเปล่งแสงและตัดผ่าต้นไม้ใหญ่ให้ขาดได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว สิ่งที่เธอถืออยู่นี้ไม่ใช่บีมเซเบอร์ แต่เป็นมีดตัดกระดาษ
“เอ่อ ก็ จะว่ายังไงดีล่ะ… ไม่ว่าใครก็มีสิ่งที่ถนัดและไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้นแหละน่า”
“อือ ใช่แล้วล่ะ และไม้ ศักดิ์สิทธิ์ก็มีความสามารถในการขับไล่สิ่งชั่วร้ายด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้มันอยู่ในรูปร่างของอาวุธก็ได้”
[“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องกวัดแกว่งของอันตรายอย่างอาวุธด้วยตนเองหรอกครับ บัตเลอร์ผู้นี้พร้อมจะเป็นดาบให้องค์หญิงอยู่แล้ว”]
“อุ…”
ทุกๆคนพร้อมใจกันพูดปลอบประโลมเซเลนที่ดูเหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มที แต่ความเวทนาจากผู้คนคือสิ่งที่น่าเจ็บปวดสำหรับเซเลน
“อ๊า! กี งี่เง่า! ไปตายซะ!”
เซเลนวิ่งออกไปทั้งน้ำตา จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของกี แต่เพราะความหงุดหงิดกับความอิจฉาที่อีกฝ่ายทำได้ดีกว่า ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น
“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน ท่านเซเลน! เพราะนายนั่นแหละ กี! ไปตัดต้นไม้อวดเธอ!”
“หา!? เพราะเธอให้เซเลนใช้ไม้ ศักดิ์สิทธิ์โดยที่ยังไม่ได้สอนต่างหาก!”
กีและซานาเริ่มโทษกันเอง เอลฟ์คนอื่นๆที่ได้เห็นและได้ยินทั้งสองทะเลาะกันก็มามุงดูอยู่รอบๆบริเวณนั้น สุดท้ายแล้ว การพบปะในครั้งนี้ก็จบลงพร้อมกับความวุ่นวาย โดยที่เป้าหมายหลักอันแสนสำคัญอย่างการกระชับมิตรยังไม่ได้ถูกเปิดประเด็นเลยด้วยซ้ำ
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เซเลนที่เริ่มใจเย็นลงแล้ว ไปขอเข้าพบกีอีกครั้งเพื่อขอโทษที่พูดไม่ดีออกไป และในที่สุดก็สื่อออกไปได้ว่า ‘ต้องการสานสัมพันธ์กับเอลฟ์’ กีกับซานามองหน้าและปรึกษากันสักพัก จากนั้นก็ตอบกลับมาเพียง ‘จะเก็บไปคิดดู’ เท่านั้น
ถึงเธอจะได้นกหวีดที่ทำจากไม้ ศักดิ์สิทธิ์อันนั้นมาเป็นของที่ระลึกแล้ว แต่เซเลนก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้จนกว่าจะมีอะไรที่รับประกันได้ว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีกได้อย่างแน่นอน เซเลนวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของเธอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยมีขั้นตอนดังนี้
1- ยอมกลับไปที่เฮลิฟาเต้เป็นการชั่วคราว หาทางติดต่อกับมังกรแดงด้วยวิธีการบางอย่าง
2- ให้อาลัวร่วมมือ เป็นส่วนหนึ่งในการจัดฉากการลักพาตัวโดยมังกรแดง โดยที่พวกเราทั้งคู่จะถูกส่งไปที่หมู่บ้านของเอลฟ์ ในขั้นตอนนี้ต้องหาเหตุผลบางอย่างไปเจรจากับมังกรแดง
3- ทำอะไรบางอย่างเพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของเอลฟ์ได้
แผนการทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ ในส่วนของ ‘บางอย่าง’ ที่กล่าวไว้คือส่วนที่ยังไม่ได้คิดถึง ถึง ‘บางอย่าง’ ที่ว่านั่นจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนก็ตาม แต่โชคดีที่เซเลนยอมรับช่องโหว่พวกนี้ในแผนการของเธอได้ เธอจึงคิดว่า ปล่อยมันเอาไว้แบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน โดยไม่สนใจ
สำหรับคนทั่วไปคงจะเรียกขั้นตอนพวกนี้ว่า ‘วัดดวง’ หรือ ‘ปล่อยไปตามยถากรรม’ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เซเลนเรียกว่าแผนการ
[“จากความสัมพันธ์ระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์ในปัจจุบัน กระผมคิดว่าการตอบสนองของพวกเขาก็สมเหตุสมผลอยู่ครับ จะให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างราบรื่นในทันที คงเป็นเรื่องยาก”]
บัตเลอร์พูดปลอบใจเมื่อเห็นเซเลนดูเศร้าหมองหลังได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจนจากเอลฟ์ แต่เซเลนต้องการกลับมาที่ดินแดนของเอลฟ์ให้เร็วที่สุด ดังนั้น เธอจะต้องสร้างแนวทางสำหรับแผนการของเธอให้ได้ในระหว่างที่อยู่ที่นี่
และแล้วก็ผ่านไปอีกหลายวัน เซเลนได้ดื่มด่ำไปกับความสุขและความหรูหราอย่างต่อเนื่องเหมือนวันที่ผ่านๆมาโดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆเป็นพิเศษ จนกระทั่งคืนสุดท้ายที่เธอจะได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเอลฟ์
เหล่าเอลฟ์จัดงานเลี้ยงอำลาอย่างยิ่งใหญ่ก่อนที่จะส่งตัวเซเลนกลับไปในวันพรุ่งนี้ มื้ออาหารเป็นผลไม้สดที่คัดเลือกมาให้อย่างดี และรอบๆกองไฟขนาดใหญ่ เหล่าหญิงสาวเอลฟ์แสดงการเต้นรำตามประเพณีของชนเผ่า บัตเลอร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมากในวัฒนธรรมที่เขาไม่เคยเห็น ส่วนเซเลนมองแต่หน้าอกเอลฟ์สาวๆที่เด้งไปเด้งมาเท่านั้น
เมื่อเห็นเซเลนจ้องมองการเต้นรำของเอลฟ์ด้วยความหลงใหล ทำให้กีรู้สึกโล่งใจ เพราะในฐานะตัวแทนของหมู่บ้าน กีกังวลว่ามนุษย์จะมองพวกเขายังไง เธอจะชื่นชอบวัฒนธรรมของเอลฟ์หรือไม่ แต่ความกังวลของเขาก็ไม่มีความหมายเมื่อได้เห็นท่าทีของเด็กสาวคนนี้
“เซเลน เธออยากกลับมาที่นี่อีกครั้งจริงเหรอ?”
“อือ กับพี่สาว”
“หืม…”
การสนทนาจบลงเพียงเท่านี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กีนั่งเหม่อมองไปยังสาวๆที่เต้นรำอยู่รอบกองไฟ แต่ในความคิดของเขามีแต่เรื่องของเด็กสาวมนุษย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“(คนๆนี้ ต้องการสานสัมพันธ์กับพวกเราจริงๆหรือ?)”
กีชำเลืองมองเซเลนจากข้างๆ ซึ่งสายตาของเธอยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าอกที่ขยับตามจังหวะการเต้นรำ
“…หรือมังกรจะตั้งใจพามนุษย์คนนี้มาให้?”
“เอ๋?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
เอลฟ์นับถือบูชามังกร ถึงจะไม่รู้ว่ามังกรคิดอย่างไรกับพวกเขา แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่า เพียงเพราะเอลฟ์บูชามังกรในฐานะตัวแทนของเทพเจ้า ไม่ได้หมายความว่ามังกรจะต้องตอบสนองความต้องการของเอลฟ์เสมอไป และที่ผ่านๆมา เอลฟ์ก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรเป็นสิ่งตอบแทนศรัทธานั้น
“(ถ้ามังกรคิดถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเราอยู่ล่ะ?)”
กีเอามือจับคางครุ่นคิด เป็นไปได้ว่ามังกรรับฟังคำอธิษฐานของพวกเขาและลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเติมเต็มความปรารถนา
สิ่งที่กีต้องการในฐานะผู้นำของเหล่าเอลฟ์ คือ ‘สายลมใหม่’ เพราะเอลฟ์ให้คุณค่ากันที่ความสามารถ กีที่มีความสามารถโดยรวมสูงที่สุดจึงได้เป็นผู้นำทั้งที่อายุยังน้อย ความคิดและนโยบายของเขาจึงต่างจากผู้นำสูงอายุรุ่นก่อนๆที่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่ กีที่อายุยังน้อยย่อมมองไปข้างหน้า และเขามองไปไกลถึงโลกที่อยู่ภายนอกป่าสีขาว
แน่นอนว่าป่าสีขาวแห่งนี้ก็กว้างใหญ่อยู่แล้ว แต่ก็ยังคิดอยู่เสมอว่าโลกอันกว้างใหญ่นี้จะต้องมีสิ่งมหัศจรรย์อยู่อีกมากมายที่เอลฟ์ไม่เคยรู้จักมาก่อน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือคือ ดินแดนของมนุษย์
กีถอดมงกุฎหม้อบุบๆออกจากหัวและมองดูมันอีกครั้ง คิดถึงครั้งแรกที่เขาได้เห็นวัตถุชิ้นนี้ เป็นของที่ถูกทิ้งไว้โดยนักผจญภัยชาวมนุษย์ที่เขาขับไล่ไป วัสดุของมันสร้างความประหลาดใจให้กับเขามาก
สำหรับมนุษย์ มันเป็นแค่หม้อเหล็กเก่าๆ แต่สำหรับเอลฟ์ที่เครื่องใช้ทุกชิ้นใช้ไม้เป็นส่วนประกอบ ความรู้ในการแปรรูปโลหะไม่เคยถูกพัฒนาขึ้นมา เพราะคิดว่าไม่จำเป็น มันจึงเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก
“มนุษย์งั้นเหรอ…”
กีพูดเบาๆไม่ให้เซเลนได้ยิน ไม่แน่ว่ามังกรแดงพาเซเลนมาส่งให้กับเอลฟ์เพราะต้องการให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง
เด็กสาวที่มีลักษณะหายาก ดูคล้ายเผ่าพันธุ์ของพวกเรา มีพลังเวทย์ที่ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมเฉพาะตัวของป่าสีขาว และที่สำคัญที่สุด รักสันติ เป็นการรวบรวมปัจจัยที่เหมาสมสำหรับการเป็นตัวแทนในการสานสัมพันธ์มาได้อย่างน่าประหลาด
“อืม อาจจะไม่ได้เรื่องแย่ก็ได้”
มนุษย์ เป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาแย่งชิงทรัพยากร จำเป็นต้องกำจัดให้หมดสิ้นในทันทีที่พบเจอ เอลฟ์ที่เคยได้พบกับมนุษย์จะมีทัศนคติว่ามนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ขับเคลื่อนด้วยความโลภ แต่เด็กสาวที่อยู่ข้างๆเขาก็ใช้ชีวิตร่วมกับเอลฟ์คนอื่นๆในหมู่บ้านได้อย่างไม่มีปัญหา ทำให้ตระหนักได้ว่าในหมู่มนุษย์เองก็มีคนอยู่หลายประเภท
มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ทีละน้อย เริ่มต้นจากเซเลนที่เห็นคนกลาง แม้เริ่มแรกจะหวาดกลัว แต่ก็น่าหลงใหล เมื่อใดที่ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนย่อมหวาดกลัว แต่ก็จะมีความหวังแฝงไว้อยู่เสมอ
ไม่ว่ายังไงก็ต้องส่งคืนมนุษย์ผู้นี้กลับไปก่อน หลังจากนั้น มั่นใจได้ว่าเด็กสาวคนนี้จะติดต่อมาอีกครั้งอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ถึงเซเลนจะจากไปในครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร กีเชื่ออย่างไม่มีข้อกังขา สายตาของกียังคงจับจ้องไปที่เด็กสาวคนหนึ่งที่มีความสุขกับมองดูการเต้นรำเฉลิมฉลองของเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง ดวงตาของเธอเปล่งประกายเจิดจ้า
มันไม่ได้เป็นเพียงแค่คำสัญญาที่ให้ไว้กับมังกรอีกต่อไป มันคือโอกาสที่จะทำให้พวกเขาได้สัมผัสกับโลกกว้าง กีตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ให้หลุดลอยไป
◆ ◇ ◆ ◇ ◆
“ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้าไปในอาณาเขตของป่าสีขาว”
ณ ชายป่าของป่าสีขาว มิลานพูดกับคนอื่นๆในทีมค้นหาเซเลน แม้จะรวมมิลานเข้าไปแล้วก็ยังมีสมาชิกไม่ถึงสิบคนแต่ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ อันที่จริง จำนวนของอาสาสมัครมีมากกว่านี้ถึงห้าเท่า แต่ผู้ที่มีครอบครัว มีภรรยาหรือบุตรที่ต้องดูแล จะได้รับการละเว้นไปให้มากที่สุด
นอกจากนี้ หากรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่จะทำให้การควบคุมให้อยู่ในระเบียบเป็นเรื่องยาก ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เอลฟ์ที่เห็นกลุ่มคนติดอาวุธจำนวนมากจะตอบโต้ด้วยความรุนแรง เมื่อพิจารณาข้อดีและข้อเสียทั้งหมดแล้ว จึงจะทำการสำรวจป่าสีขาวด้วยจำนวนคนที่น้อยที่สุด
มิลานหันไปหาบุคคลผู้กล้าหาญเหล่านั้น ผู้ที่ยอมทำตามความเห็นแก่ตัวของเขา การจัดตั้งทีมค้นหาเซเลนนั้นถูกดำเนินการอย่างเงียบๆภายในพระราชวังเท่านั้น แม้ว่าจะได้รับอนุญาตจากองค์ราชา แต่ก็เป็นการตัดสินใจของมิลานเพียงคนเดียว เป็นกรณีที่พิเศษอย่างมาก เพราะในความจริง การทิ้งเซเลนไว้จะเป็นเป็นเรื่องที่เหมาะสมมากกว่า
อาจจะเห็นเป็นเรื่องแปลกที่มีอาสาสมัครมาขอเข้าร่วมมากมาย เพราะเซเลนยังไม่เคยได้รับการเปิดตัวให้เป็นที่รู้จัก แต่จริงๆแล้วเธอค่อนข้างมีชื่อเสียงที่รู้กันภายในพระราชวัง เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักเธอ
เธอจะทำอาหารกลางวันและนำมาส่งให้เจ้าชายด้วยตัวเองอยู่แทบทุกวันจนเป็นเรื่องปรกติ อีกทั้งยังไปไหนมาไหนด้วยกันราวกับเป็นคู่รัก ถึงเซเลนจะไม่เคยรู้ตัว แต่จากสายตาคนรอบข้างก็เห็นเป็นเช่นนั้น
“อย่างที่พวกท่านทุกคนทราบดี เบื้องหน้านี้คือดินแดนที่มนุษย์ไม่เคยรู้จัก และนักผจญภัยของวัลเบิร์ตที่พยายามเข้าไปสำรวจก็ได้ผลลัพธ์ออกมาไม่น่าฟังนัก”
ทุกคำพูดของมิลานล้วนจริงจัง จากนี้เป็นต้นไป จะเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จัก ข้อมูลเกี่ยวกับเอลฟ์ก็มีอยู่น้อยนิด
“ผมขอขอบคุณทุกคนที่ยอมเชื่อในความคิดไร้สาระของผม พวกคุณบางคนมีที่รัก คนที่รอคุณกลับบ้าน แต่ก็ยังติดตามผมจนมาถึงตรงนี้ และต่อจากนี้จะไม่มีหลักประกันว่าพวกเราทุกคน รวมถึงตัวผมเอง จะมีชีวิตรอดกลับไป”
นี่ไม่ใช่คำขู่ มิลานพูดย้ำความจริงให้ได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่าทีของสมาชิกในทีมเปลี่ยนแปลง
“พวกเราไม่ใช่นักผจญภัย เป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือค้นหาเซเลน มีความเป็นไปได้ที่เซเลนจะอยู่ที่หมู่บ้านของเอลฟ์ ถึงจะไม่ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นมิตร แต่พวกเราก็จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงให้ถึงที่สุด และที่สำคัญ เตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันเอาไว้ตลอดเวลา”
มิลานและคนอื่นๆเข้าใจดีว่านักผจญภัยจากวัลเบิร์ตมีพฤติกรรมเช่นไรและเอลฟ์ตอบโต้นักผจญภัยเหล่านั้นอย่างไร มีความเป็นไปได้สูงที่มนุษย์ทุกคนจะถูกมองเป็นศัตรู
“มันจะเป็นภารกิจที่อันตรายอย่างแน่นอน หากรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายก็ทิ้งผมไปได้ นั่นคือคำสั่ง หากมีใครที่ยังลังเลอยู่ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหันหลังกลับ”
มิลานได้สรุปภารกิจและให้โอกาสถอนตัวเป็นครั้งสุดท้าย หากโชคร้ายมีคนจิตใจโลเลอยู่จริง มิลานก็พร้อมที่จะเข้าสำรวจป่าสีขาวด้วยตัวคนเดียว แต่เหล่าบุคคลผู้กล้าหาญที่มาไกลถึงขนาดนี้ย่อมเด็ดเดี่ยวพอที่จะไม่ยอมถอยกลางคัน
หลังจากยืนยันเจตนาเป็นที่เรียบร้อย มิลานรู้สึกโล่งใจแต่ก็รู้สึกผิดกับพวกเขาไปพร้อมๆกัน โอกาสที่จะเจอเซเลนนั้น ใกล้เคียงกับเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยความร่วมมือของบุคลากรชั้นยอดในหมู่บุคลากรชั้นยอดนี้แล้ว จะต้องฝ่าฟันความยากลำบากนี้ไปได้แน่ ตอนนี้ทำได้แค่เชื่อมั่นเท่านั้น
“ไปกันได้!”
ก่อนที่ความคิดฟุ้งซ่านจะเริ่มก่อตัวขึ้นมาในหัว มิลานออกคำสั่งเสียงดัง ให้เดินหน้า และก้าวเข้าไปในอานาเขตของป่าสีขาวในทันที