[นิยายแปล] เจ้าหญิงแสงจันทร์แห่งดินแดนไว้ทุกข์ - ตอนที่ 29 เอลฟ์แห่งป่าสีขาว
ตอนที่ 29
เอลฟ์แห่งป่าสีขาว
“เด็กเหรอ? ทำไมมาอยู่คนเดียวในที่แบบนี้?”
ชายหนุ่มสองคนแหวกผ่านพุ่มไม้ออกมาจากป่า จ้องมองมาที่เซเลน พวกเขามีผมสีเงิน ตาสีแดง และที่เห็นได้ชัดที่สุดคือใบหูยาวและเรียวแหลมแตกต่างจากมนุษย์ แค่เห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าเอลฟ์
ตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่ที่โลกใบนี้ เซเลนไม่เคยเจอเผ่าพันธุ์อื่นที่มีภูมิปัญญามาก่อนนอกจากมังกรที่เพิ่งได้รู้จักกันเมื่อเร็วๆนี้ จึงตื่นเต้นและมองกลับไปด้วยความรู้สึกว่า โห นี่น่ะเหรอ เอลฟ์ที่เขาพูดถึงกัน
ชายหนุ่มดูเหมือนจะคิดว่าเมื่อเด็กสาวคนนี้เห็นคนแปลกหน้าพยายามเข้าใกล้ก็จะทำให้กลัวได้ และเขาก็ไม่ได้มีเจตนาทำอันตรายกับเซเลน เขาเก็บคันธนูที่ถืออยู่ สะพายไว้ข้างหลังและเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ
“แม่หนู เป็นอะไรหรือเปล่า? แถวนี้ไม่ปลอดภัยนะ หลงทางหรือเปล่า? ถ้าหลงทางเดี๋ยวพวกเราจะพาไปส่ง มาจากหมู่บ้านไหนล่ะ?”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินก็รู้ว่าทั้งคู่เข้าใจว่าเซเลนเป็นเอลฟ์ เขาพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน แต่หนึ่งในนั้น คนที่เดินตามหลังเริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง
“นี่ เด็กคนนี้ เหมือนมีอะไรแปลกๆอยู่นะ เห็นไหม?”
“อะไรแปลก… หืม?”
เมื่อถูกทักท้วงขึ้นมา เอล์ฟหนุ่มคนนั้นก็เริ่มพิจารณาเซเลน อย่างแรก เส้นผมสีขาวของเธอแตกต่างกับผมของเอลฟ์ที่เป็นสีเงิน แต่ของเด็กสาวคนนี้มีสีที่อ่อนกว่านั้น มันแทบจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ และอีกอย่างที่สำคัญ
“ใบหูกลม!? ก-แกน่ะ… เป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ!?”
“อือ ใช่แล้ว”
เซเลนตอบโดยไม่ทันคิด ท่าทีชายหนุ่มที่แสดงออกถึงความอ่อนโยนจนถึงตอนนี้เปลี่ยนไปในทันที ขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน เดินเข้าหาเซเลนอย่างรวดเร็ว เข้าใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
“แก พวกโบรคเค่นชาร์เหรอ!? มาทำอะไรในป่าสีขาว! พวกแกเข้ามาลึกขนาดนี้ได้ยังไง!? พูดมา!”
“ก็ แบบว่า คือ…”
คำถามหลายข้อถูกถามออกอย่างรวดเร็วในทีเดียว เซเลนไม่สามารถตอบได้ทันจึงสะดุ้งและถอยห่าง ซึ่งการกระทำนั้นถูกเข้าใจว่าเธอพยายามจะหนี เอลฟ์หนุ่มผู้ฉุนเฉียวจึงกระชากแขนของเธอย่างแรง
“เจ็บนะ!”
ทันทีที่เซเลนบอกว่าเจ็บ เอลฟ์ที่จับแขนเธออยู่ก็กระเด็นไปข้างหลัง ลำตัวโค้งงอ เอลฟ์อีกคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหันมาให้ความระวังกับเซเลนอย่างเต็มที่ โดยไม่แบ่งความสนใจไปที่คู่หูที่ล้มกลิ้งอยู่เลย
[“เจ้าพวกคนเถื่อนทั้งหลาย! บังอาจมาแตะต้อง ซ้ำยังทำร้ายอีก! กระผมไม่ให้อภัยแน่”]
บัตเลอร์โจมตีใส่ด้วยความโกรธเพราะเจ้านายคนสำคัญถูกทำร้าย เอลฟ์ที่โดนพุ่งชนอย่างแรงได้พยายามลุกขึ้นยืนโดยที่มือยังกุมท้องที่โดนกระแทกไว้ และพวกเข้าก็ได้เห็นหนูตัวเล็กๆอยู่ข้างหน้าเซเลนราวกับขวางพวกเขาไว้ไม่ให้เข้าใกล้เด็กสาวสีขาว
คำพูดของบัตเลอร์ไม่สามารถสื่อไปถึงพวกเขาได้ แต่การที่แยกเขี้ยวแสดงฟันหน้าอันแหลมคม ขนตั้งชี้ทั่วร่าง และยังส่งเสียงขู่ ก็รู้ได้ว่าหนูตัวนั้นกำลังโกรธและพร้อมสู้ พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้รู้ได้ทันทีว่าหนูตัวนี้ไม่ใช่หนูธรรมดา
“ห-หนูเหรอ? นายโดนไอ้ตัวนั้นเป่ากระเด็นเนี่ยนะ?
“โธ่เว้ย! ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน! นี่มันแปลกชะมัด!”
“ช่างมัน! ยังไงก็ต้องจับไอ้ตัวเล็กนั่นให้ได้”
มนุษย์น่าสงสัยและสัตว์ลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไปคือสิ่งแปลกปลอมที่เอลฟ์ต้องระวังเป็นพิเศษ เอลฟ์อีกคนที่ไม่ถูกบัตเลอร์โจมตี ก้าวถอยหลัง ชักคันธนูขึ้นมาง้าง ตั้งท่าเตรียมพร้อม
ลูกธนูชี้ตรงไปที่เซเลน เพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่ควบคุมหนูที่แข็งแกร่งผิดปรกติตัวนี้อยู่ เซเลนกำลังสับสนเพราะเดิมทีเป็นคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่รักสงบ การที่มาเผชิญหน้ากับอาวุธก็ทำให้ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อ้าปากค้างและเป็นเป้านิ่งให้กับเอลฟ์เท่านั้น
สายธนูที่ถูกดึงจนตึงได้ถูกปล่อย ลูกธนูของเอลฟ์พุ่งออกไป เป้าหมายคือขาของเซเลน ถ้าหากทำให้เธอตายในทันทีก็จะไม่สามารถรีดข้อมูลอื่นๆออกมาได้อีก เพราะยังมีเรื่องที่ต้องการรู้ เอลฟ์จึงจำกัดการเคลื่อนไหวของเซเลนก่อน
ทักษะธนูของเอลฟ์อยู่ในระดับสูง ลูกธนูที่ปล่อยออกไปจะต้องปักเข้าไปในขาของเซเลนอย่างแม่นยำ แต่มันก็ไม่ได้เป็นตามที่คิด ก่อนที่ปลายแหลมของมันจะสัมผัสกับผิวหนังที่อ่อนนุ่มของเซเลน มันก็หักกระเด็นอย่างผิดธรรมชาติ
“อะไรกัน!?”
เอลฟ์ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อหนูตัวนั้นเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าลูกธนู มันกระโดดกัดลูกธนูที่พุ่งอยู่กลางอากาศ ลูกธนูของเอลฟ์จะทำจากไม้เลื้อยเนื้อแข็งที่หาได้ตามป่า แต่มันก็ถูกเสริมพลังด้วยเวทย์มนต์และยิงออกไปด้วยความเร็วสูง ทั้งที่เป็นอย่างนั้น มันก็ยังถูกปัดทิ้งอย่างง่ายดายจนอยากจะเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ ด้วยการกระโดดกัดกลางอากาศ
[“พวกแก… เอาจริงกับองค์หญิงงั้นเหรอ! เดี๋ยวกระผมจะทำให้หันมาเอาจริงกับบัตเลอร์คนนี้แทน!”]
บัตเลอร์ส่งเสียงขู่ที่ดุดันกว่าสัตว์ขนาดเล็กทั่วไป และถีบพื้นพุ่งตัวด้วยความเร็วที่แม้แต่สายตาอันยอดเยี่ยมของเอลฟ์ก็ยังมองตามไม่ทัน บัตเลอร์เป็นสัตว์อสูรที่มีพละกำลังเทียบได้กับหมีหรือหมาป่า สติปัญญาสูงในแบบของมนุษย์ และยังคงไว้ซึ่งความว่องไวของหนู
บัตเลอร์วิ่งไปตามเงาของใบไม้ที่ร่วงหล่น เข้าชนอย่างสุดแรงที่ข้อเท้าของเอลฟ์ที่กำลังเตรียมธนูดอกที่สอง
“อัก!”
เอลฟ์ที่ถูกกระแทกที่ข้อเท้าก็เสียหลักล้มลงกับพื้นอย่างแรง จากนั้นบัตเลอร์ก็เปลี่ยนทิศทางทันที พุ่งเข้าชนใบหน้าของเอลฟ์ที่ล้มลงอีกหลายครั้ง กระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแน่นิ่ง
“แก… อ๊าก!”
เอลฟ์ที่ถูกบัตเลอร์โจมตีลำตัวจนล้มกลิ้งไปคนแรก ลุกขึ้นมาตั้งหลักและชักมีดสั้นออกมาแทงไปที่หนูตัวเล็กๆ แต่ไม่มีทางที่การโจมตีที่ชักช้าของคนที่บาดเจ็บนั้นจะถูกตัวบัตเลอร์ได้ บัตเลอร์กระโดดไปที่กิ่งไม้และพุ่งตัวลามากระแทกที่ท้ายทอยของเอลฟ์เหมือนนกที่โฉบลงมาจับเหยื่อ เมื่อโดนทุบเข้าอย่างจัง เอลฟ์ก็ล้มลงและนอนนิ่งไปอีกคน
[“องค์หญิง! ที่นี่ไม่ปลอดภัย! โปรดหนีไปเร็วเข้า!”]
“ให้หนี? ไปไหน!?”
[“วิ่งไปตามทางที่มีต้นไม้น้อยที่สุด! กระผมจะหยุดคนพวกนี้ไว้ให้เอง!”]
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อบัตเลอร์พูดจบ เซเลนก็เริ่มออกวิ่งอย่างรวดเร็วในป่าสีขาว แม้จะเป็นทางที่ดูโล่งที่สุดก็ยังเต็มไปด้วยต้นไม้ เซเลนไม่รู้เลยว่าจะต้องไปทางไหน
เธอพยายามหาเส้นทางที่พอจะวิ่งผ่านไปได้ง่ายตามที่บัตเลอร์บอกไว้ แต่ต้นไม้ทุกต้นก็เป็นสีขาวเหมือนกันหมด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ตรงไหน
ถึงอย่างงั้น เซเลนก็ยังวิ่งต่อไป เธอเข้าใจแล้วว่ามนุษย์กับเอลฟ์ไม่ลงรอยกัน หากถูกจับได้ก็ไม่รู้ว่าจะมีบทลงโทษอะไร แต่เพื่อพี่สาวสุดที่รัก อาลัว จะมาตายตอนนี้ไม่ได้
“อ๊า หวา!”
[“องค์หญิง กระผมทราบถึงความลำบากนี้ดี แต่ขอให้อดทนไว้ก่อน!”]
สถานการณ์ยิ่งน่าสิ้นหวัง ขาของเซเลนเริ่มหมดแรง เพราะเซเลนมักจะทำตัวขี้เกียจอยู่เฉยๆไม่เคยออกกำลังกาย ทำให้มีเรี่ยวแรงน้อยกว่าเด็กแปดขวบคนอื่นๆ นอกจากนั้น พื้นดินขรุขระของป่า เต็มไปด้วยรากไม้ที่ยื่นขึ้นมาเหนือดินและยังถูกปกคลุมไว้ด้วยใบไม้จนมองไม่เห็น ทำให้วิ่งได้ยากกว่าปรกติมาก
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“บ้าเอ๊ย! เจ้าพวกนั้นมันยังไงกัน!”
หลังจากที่เซเลนออกวิ่งได้ไม่นาน เอลฟ์ทั้งสองก็ฟื้นคืนสติ และเห็นเด็กสาวตัวเล็กหันหลังวิ่งหนีไปพร้อมกับหนูตัวนั้น
“เจ้าตัวเล็กนั่นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา…! ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเร็วเข้า!”
“แต่ว่า คนที่อยู่ใกล้ๆมีแต่ท่านซานาคนเดียว… ไม่ใช่คนที่จะเรียกมาด้วยเหตุผลแบบนี้ได้”
“ไม่มีทางเลือกแล้ว! ไม่อย่างงั้นมันจะหนีไปได้แน่!”
เอลฟ์หนุ่มกัดฟัน พวกเขาถูกหลอกด้วยรูปลักษณ์ของสาวน้อยไร้เดียงสา ถึงจะเป็นมนุษย์แต่ก็สามารถเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยของพวกเขาได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และยังมีความสามารถในการควบคุมสัตว์ร้ายที่แข่งแกร่งผิดธรรมชาติ การจับเป็นจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เอลฟ์ก็หยิบนกหวีดไม้ออกมาเป่า เสียงแหลมของนกหวีดดังไปทั่วบริเวณ จากนั้นจึงจับคันธนู ออกวิ่งไล่ตามเซเลนอีกครั้งในทันที
[“พวกนั้นจะเรียกคนอื่นมาอีก! ขอแค่มีที่ให้ซ่อนตัวเท่านั้น…”]
“อ๊า!”
หัวใจของเซเลนรู้สึกเหมือนจะทะลุออกมาข้างนอกอกขณะกำลังวิ่งต่อไปในป่าสีขาวโดยไม่รู้ทิศทาง มีพุ่มไม้ที่ใช้หลบซ่อนได้อยู่มากมายแต่เอลฟ์เหล่านั้นตอนเจอกันครั้งแรกก็ออกมาจากพุ่มไม้ ถ้าเข้าไปหลบอยู่ในนั้นพวกเขาต้องรู้อยู่แล้ว และถ้าโชคร้ายก็จะเจอคนอื่นๆในพุ่มไม้อีก
สถานการณ์ของพวกเอลฟ์ก็สิ้นหวังเช่นกัน ถ้าต้องทำแค่เดินเข้าไปจับก็ง่ายเหมือนเล่นกับเด็กทารก แต่หนูประหลาดตัวนั้นไม่ปล่อยให้เขาทำแน่ ทุกครั้งที่ยิงธนูออกไป ก่อนที่ลูกดอกจะถึงตัวเธอมันจะถูกเปลี่ยนวิถีและถูกกัดจนหัก และถ้าไม่ระวัง ก็จะถูกมันเหวี่ยงเศษลูกธนูกลับมาอีก
ไม่สามารถใช้ธนูได้ และเข้าใกล้เพื่อใช้มีดสั้นก็ไม่ได้ ในขณะที่บัตเลอร์ใช้ต้นไม่ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเป็นแท่นเหยียบ กระโดดไปมาระหว่างต้นไม้เหมือนลูกบอลที่กระเด้งสะท้อนไปตามวัตถุ เป็นเงาสีดำที่ปกป้องเด็กสาวเอาไว้
เซเลนหนีต่อไปด้วยความเร็วไม่มาก เอลฟ์ก็รับมือกับบัตเลอร์อย่างยากลำบากโดยที่ยังตามเซเลนอยู่ บัตเลอร์คั้นอยู่ตรงกลางคอยขวางเอาไว้ ระยะห่างของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงรูปแบบนี้ต่อไป
“พวกนาย! หลบไป!”
ในที่สุด สถานการณ์ที่ยืดเยื้อก็ถึงคราวยุติ เมื่อเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลังของเอลฟ์ไกลออกไป ร่างที่เห็นนั้นอยู่ไกลจนเล็กเท่าเม็ดถั่ว คนที่คาดว่าน่าจะเป็นหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสีขาว เล็งธนูมาแต่ไกล
[“กำลังเสริมเหรอ! จะกี่คนก็เปล่าประโยชน์!”]
บัตเลอร์ไม่พยายามหนีหรือหลบซ่อน แต่ตั้งท่าข่มขู่และเตรียมพร้อมต่อสู้อยู่ต่อหน้า เอลฟ์หนุ่มยังคงระแวงเมื่อเห็นบัตเลอร์ แต่หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังไม่มีท่าทีใดๆเป็นพิเศษและยิงธนูออกไปอย่างธรรมดาเหมือนต้องการลองเชิง
[“(หืม ท่าทีแบบนั้น มั่นใจว่าจะได้ผล)”]
คงจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์เพราะเพิ่งมาถึงหลังจากถูกเรียกด้วยนกหวีด ลูกธนูที่ปล่อยออกมาพุ่งตรงไปข้างหน้าเหมือนมีเป้าหมายที่เซเลน ถ้าแค่นั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วง ตราบใดที่บัตเลอร์คนนี้ยังอยู่ข้างกาย ต่อให้มีลูกธนูอีกเป็นร้อยดอกก็จะหักทิ้งให้หมด ขณะที่ลูกธนูลอยเข้ามาใกล้ บัตเลอร์ก็พุ่งเข้าหาและพยายามกัดมันเหมือนที่เคยทำมา
“คลาย”
เมื่อหญิงสาวออกคำสั่งสั้นๆ ลูกธนูก็อ่อนตัวเป็นเถาวัลย์ที่มีสภาพเหมือนเส้นเชือก เป้าหมายของเธอคือบัตเลอร์ตั้งแต่แรก เธอสังเกตุจนรู้แล้วว่าถ้าเล็งไปที่เซเลน บัตเลอร์จะต้องเข้ามาขวางทุกครั้งอย่างนอน จึงใช้ประโยชน์จากตรงนั้น
[“อะไรกัน!?”]
การโค้งงอกะทันหันของลูกธนูทำให้บัตเลอร์จับทิศทางไม่ได้ ฟันหน้าอันแหลมคมของเขาจึงกัดได้แต่อากาศ
“มัด”
หญิงสาวออกคำสั่งพร้อมกับกำมือจับความว่างเปล่าจากตรงนั้น ลูกธนูที่โค้งหย่อนก็ม้วนมาพันรอบตัวของบัตเลอร์ราวกับงู บัตเลอร์ที่ถูกไม้เลื้อยพันรอบตัวจนขยับไม่ได้ก็หล่นลงกับพื้น
[“ฮื่ม! ไอ้ของแปลกๆนี่! เถาวัลย์เหรอ!?”]
บัตเลอร์พยายามบิดตัวให้หลุดจากพันธนาการ แต่เถาวัลย์ก็เหนียวและพันม้วนอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้ สิ่งที่ถูกยิงออกมานี้ไม่ใช่ลูกธนู แต่เป็นเถาวัลย์ที่ทำให้แข็งเป็นแท่งตรงได้ด้วยวิธีการบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นสามารควบคุมมันได้อย่างอิสระ แต่ถึงจะรู้แต่ก็สายไปเสียแล้ว
“บัตเลอร์ !?”
[“องค์หญิง! รีบหนีไปก่อน! ไม่ต้องห่วงกระผม!”]
บัตเลอร์ตะโกนบอก แม้ว่าบัตเลอร์จะเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง หากถูกมัดจนขยับตัวไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับหนูธรรมดา แต่ถึงอย่างงั้น เขาก็จะต่อต้านจนถึงที่สุดเพื่อปกป้องเจ้านายของเขา เพราะการที่เขาดิ้นรนอยู่อย่างนี้ก็จะทำให้ทางนั้นหันมาระแวงเขาแทนที่จะเป็นเซเลนได้ ดึงความสนใจมาได้สักวินาทีก็คุ้มค่าแล้ว
“ไม่!”
ครั้งนี้เซเลนไม่ยอมทำตามคำพูดนั้น บัตเลอร์เป็นยิ่งกว่าสหายที่ไว้ใจได้ของเซเลน เป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ที่พูดคุยได้ทุกเรื่อง ก่อนที่จะได้เกิดใหม่ เซเลนมีคนรู้จักแต่ก็ไม่มีเพื่อน เป็นคนรักสันโดษแปลกๆที่มักพูดอยู่คนเดียวกับพืชและสัตว์ ดังนั้น เมื่อสัตว์ในโลกนี้พูดคุยโต้ตอบกับเธอได้จึงทำให้เธอมีความสุขมาก
ถึงเซเลนจะเป็นแค่ตาแก่ลามก แต่ก็เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับคนสำคัญอย่างเต็มที่ ถึงบัตเลอร์จะเป็นหนูก็ไม่ต่างกัน แต่ก็ยังรักอาลัวมากกว่าบัตเลอร์ และมนุษย์ผู้ชายคนอื่นๆไม่อยู่ในสายตา
“ถอยไปนะ!”
เซเลนหยิบกิ่งไม้แห้งที่หาได้ทั่วไปตามพื้นขึ้นมาสองท่อน ตั้งท่าเลียนแบบดาบคู่ เซเลนไม่ได้เป็นเด็กแปดขวบไร้เดียงสาตามรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม แต่ยังมีจิตวิญญาณอันโกรธเกรี้ยวของชายวับกลางคนผู้กร้านโลก มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่น่าพูดถึง แต่สำหรับตอนนี้ ในเรื่องของใจสู้แล้ว ก็ถือว่ามีมากกว่าเด็กแปดขวบทั่วไปอยู่เยอะ
“ย๊า…!”
เซเลนกวัดแกว่งแท่งไม้ในมืออย่างไร้รูปแบบ พยายามเข้าใกล้และจู่โจมเอลฟ์หนุ่มคนที่อยู่ใกล้ที่สุด พวกเอลฟ์ต่างก็ตกตะลึงที่เด็กสาวที่เอาแต่วิ่งหนีมาตลอดหันมาโจมตีบ้างแล้ว
[“องค์หญิง! อย่าเข้ามา! ทิ้งกระผมไว้ที่นี่!”]
“ย๊า…!”
แต่เซเลนก็ไม่ยอมถอย เซเลนเป็นคนประเภทที่ลงมือก่อนที่จะคิด ตัดสินใจไปตามอารมณ์โดยไม่รู้สึกผิด หลังจากจบเรื่องก็ไม่เคยคิดเสียใจภายหลัง พวกเอลฟ์เข้าใจในเจตนาของเธอได้อย่างรวดเร็วและตอบโต้ด้วยธนูทันที ลูกธนูถูกปล่อยออกไปเหมือนทุกๆครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีบัตเลอร์คอยขัดขวาง เหลือแต่เซเลนที่เอาแต่รุกเข้าหาโดยไม่มีแบบแผนใดๆ
“อ๊า!?”
ในขณะเดียวกัน เสียงร้องของเซเลนก็ดังออกมา เนื่องจากเซเลนออกวิ่งขณะเหวี่ยงแท่งไม้ในมืออย่างขาดความสมดุล สายตาก็จ้องมองแต่เบื้องหน้า และนั่นทำให้เธอสะดุดรากไม้ที่อยู่บนพื้นและล้มลง ลูกธนูของเอลฟ์จึงพลาดเป้าไปปักอยู่ที่ต้นไม้ด้านหลัง
“หลบได้เหรอ!?”
เป็นวิธีที่เหนือความคาดหมายของเอลฟ์ ครั้งนี้พวกเขามั่นใจว่าจะจับเธอได้อย่างแน่นอน แต่เด็กสาวก็ก้มหมอบเพื่อหลีกเลี่ยงลูกธนูไปได้ ไม่ได้มีแต่หนูเท่านั้นที่โต้ตอบกับลูกธนูได้ทัน เด็กสาวคนนี้ก็ด้วย ความระแวงของเอลฟ์เพิ่มสูงยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เซเลนยังคงนอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพราะถือแท่งไม้อยู่ทั้งสองมือจึงไม่สามารถประคองตัวตอนล้มได้ ทำให้ล้มอย่างเต็มที่และหัวโขกกับพื้นอย่างเต็มแรงจนหมดสติไป เอลฟ์ที่มองดูอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อพฤติกรรมแปลกๆของเซเลนอย่างไร
“นี่… สลบไปแล้วเหรอ?”
“เดี๋ยวก่อน อาจจะเป็นกับดักก็ได้ ระวังตัวเอาไว้ด้วย”
พวกเอลฟ์ยังไม่คลายความระแวง ค่อยๆเข้าใกล้ทีละน้อย บัตเลอร์ยังคงกลิ้งอยู่บนพื้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ คนที่พวกเขาต้องระวังจึงมีแต่เซเลนเท่านั้น
[“องค์หญิง! บาดเจ็บเหรอ! องค์หญิง!”]
บัตเลอร์เรียกเซเลนต่อไปไม่หยุด แต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากเซเลน
เอลฟ์หนุ่มได้เข้าประชิดและเขี่ยเซเลนด้วยคันธนู แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงสรุปได้ว่าเธอสลบไปแล้วจริงๆ
“เอาไงต่อล่ะ? มัดไว้ก่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก โบรคเค่นชาร์คนแรกที่มาได้ไกลขนาดนี้ มันต้องจบชีวิตลงตรงนี้เท่านั้น”
[“หยุดก่อน! อย่านะ!! หยุด! ได้โปรด!”]
ไม่ว่าบัตเลอร์จะพูดอะไร คนอื่นก็ได้ยินแค่เสียงหนูร้องเท่านั้น เอลฟ์ยกมีดสั้นในมือขึ้นมา เซเลนยังคงหลับไม่รู้เรื่อง ถึงจะเป็นมนุษย์แต่ก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เอลฟ์จึงมีความลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ต้องกำจัดสิ่งที่เป็นอันตรายให้หมดสิ้น
“ช้าก่อน!”
ก่อนที่เอลฟ์จะกดมีดสั้นลงที่คอของเซเลนก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง เอลฟ์สาวผู้ที่ยิงธนูก่อนหน้านี้เดินเข้ามา
ผมยาวสีเงินมัดไว้ด้านหลัง ดวงตาสีแดง ใบหูแหลมยาว ร่างเล็ก สูงเท่าคอของชายหนุ่มทั้งสอง และดูเหมือนยังอายุน้อย
“ท่านซานา โบรคเค่นชาร์ไม่สมควรได้รับการไว้ชีวิต”
“แต่เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่โบรคเค่นชาร์”
“เอ๋?”
เอลฟ์หนุ่มตอบเหมือนยังไม่เข้าใจ หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าซานายักไหล่และพูดต่อ
“ไม่มีสัมภาระติดตัวสักชิ้น โบรคเค่นชาร์ไม่เคยมาตัวเปล่า”
“จะว่าไปมันก็…”
เอลฟ์หนุ่มมองดูเซเลนอีกครั้ง นอกจากเสื้อผ้าสีขาวที่สวมอยู่แล้ว ไม่มีของอย่างอื่นเลย เอลฟ์ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการแต่งตัวของมนุษย์ แต่ก็พอจะดูออกว่านี่ไม่ใช่การแต่งตัวของผู้ที่จะเดินทางเข้าป่า
“แต่ยังไงก็มีมนุษย์มาอยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าไม่ใช่โบรคเค่นชาร์จะเข้ามาในป่าทำไม? และยังมีหนูแปลกๆนั่นอีก”
“สัตว์ป่าตัวจิ๋วนั่นเหรอ น่าตกใจเหมือนกันนะ ตอนมาถึงหลังจากได้ยินเสียงนกหวีด มันเล็กมากจนฉันนึกว่าพวกนายเหวี่ยงดาบเล่นซะอีก”
[“ไม่ใช้สัตว์ป่า! กระผมบัตเลอร์เป็นพ่อบ้านขององค์หญิงเซเลน!”]
“อ๊ะ ทำให้โกรธเหรอ? ขอโทษที”
เด็กสาวที่ชื่อซานายิ้มให้บัตเลอร์โดยไม่มีเจตนาร้าย มันเป็นรอยยิ้มเพื่อให้ผ่อนคลาย แต่สำหรับบัตเลอร์ เธอเป็นศัตรูที่หมายชีวิตของเซเลน จึงแยกเขี้ยวข่มขู่ทั้งๆที่ยังถูกมัดไว้
“มันก็จริงที่ทั้งหนูและเด็กคนนี้ไม่ปรกติ”
“ก็แสดงว่าปล่อยไปไม่ได้สินะ? จะกำจัดจริงๆเหรอ?”
“เอ่อ……”
ซานากอดอกครุ่นคิด มองไปยังใบหน้าของเซเลน เมื่อได้เห็นตอนที่เธอหลับอยู่ใกล้ๆเช่นนี้ก็บอกได้เลยว่านี่แหละคือเจ้าหญิงผู้งดงามที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ซานายังแปลกใจกับความงามของเซเลนทั้งๆที่ดูอายุยังน้อย
“งันก็พากลับไปให้หัวหน้าตัดสินใจก็แล้วกัน”
“หัวหน้า… พาไปหาท่านกีน่ะเหรอ?”
“อือ เดี๋ยวฉันอุ้มเด็กคนนี้ไปเอง พวกนายก็ถือหนูตัวนั้นไว้ให้ดีๆล่ะ”
“ไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ? ให้พวกเราพาตัวเด็กคนนั้นไปเองดีกว่าไหม…”
ในมุมมองของเอลฟ์หนุ่ม คิดว่าเซเลนที่สามารถใช้งานบัตเลอร์ได้ตามต้องการต่างหากที่เป็นตัวอันตราย ส่วนบัตเลอร์ที่ถูกซานามัดจนดิ้นไม่หลุด สามารถหยิบขึ้นมาถือไว้ได้อย่างปลอดภัย จึงบอกซานาไปแบบนั้นเพราะยังไม่คลายความระวัง
“ไม่มีปัญหาไม่มีปัญหา เด็กคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดีสักหน่อย”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“เพราะว่า…”
ขณะพูด ซานาก็ยกร่างเล็กๆของเซเลนขึ้นมาแบกไว้แม้ว่าคนอื่นๆจะไม่เห็นด้วย ซานาก็เป็นคนร่างเล็กเช่นกัน แต่สำหรับเอลฟ์ที่ใช้ชีวิตอยู่กลางป่า มีเรื่องให้ออกแรงเป็นประจำ ร่างกายของเซเลนจึงเบาหวิว
“เด็กคนนี้ มีกลิ่นเหมือนดอกไม้”
ซานาก้มหน้าแนบชิดเส้นผมสีขาวของเซเลนและยิ้มออกมา เอลฟ์ที่คุ้นเคยกับธรรมชาติเป็นอย่างดี กลิ่นของต้นหญ้าและดอกไม้ที่เล็ดลอดออกมาจากเซเลนนั้นให้สัมผัสที่ผ่อนคลาย
กลิ่นของต้นหญ้าและดอกไม้ที่แท้จริงแล้วเกิดจากการอาละวาดด้วยความโมโหของเซเลน แต่ทั้งเอลฟ์และเซเลนก็ไม่รู้ถึงเรื่องนั้นเลย