[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 5 บทที่ 1 ตอนที่ 5 นักผจญภัย
- Home
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 5 บทที่ 1 ตอนที่ 5 นักผจญภัย
อีมูนั้นเป็นนกขนาดใหญ่ ถ้าโตเต็มที่แล้ว วัดแค่ความยาวขาก็สูงถึง 1.7 เมตร และถ้าวัดยาวไปจรดปลายขนหัวก็จะสูงถึง 3 เมตรกว่า
แม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถบินได้ แต่กลับเป็นนักวิ่งที่ว่องไวมากและตะกละมากเช่นกัน พวกมันไม่หวั่นแม้จะต้องกินแค่วัชพืชรายทางด้วยซ้ำ
ราคาเองก็ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับม้าหรือมังกรสำหรับขี่ สำหรับนักผจญภัยที่ไม่ค่อยมีเงินอย่างโจอี้แล้ว มันก็เป็นวิธีเดินทางที่คุ้มค่ามาก
แต่ว่า เจ้านกนี่เองก็มีข้อเสียอยู่บ้าง อย่างแรกคือ มันรับน้ำหนักได้แค่พอๆกับลา ไม่ต้องพูดถึงม้าเลย
แล้วมันก็ไม่ค่อยฉลาดนัก รับคำสั่งที่ซับซ้อนมากไม่ได้
ข้อเสียที่สุดก็คือ เป็นนกนิสัยดุร้ายเอามากๆถ้าไม่ใช่คนที่คุ้นเคยด้วย
เพราะฉะนั้น ทันทีที่นกอีมูของข้าเข้ามาในสายตา
“เห นั่นหรออีมู?! น่ารักจัง เหมือนโจโคโบะเลย”
ก่อนที่โจอี้จะหยุดเธอไว้ทัน ฮิยูกิก็วิ่งเข้าไปหาเจ้านกด้วยรอบยยิ้มเต็มใบหน้า ทิ้งโจอี้ให้ไม่ทันตั้งตัวกับสภาพไร้การป้องกันโดยสิ้นเชิงของเธอ
“ดะ-เดี๋ยว เจ้านั่นมันอารมณ์ร้าย–”
แน่นอนว่า กว่าเสียงตะโกนเตือนจะจบ เจ้านกก็งอขาพร้อมที่จะเตะร่างเล็กๆของเด็กสาวแล้ว แต่วินาทีนั้น สายตาของเจ้านกกับฮิยูกิก็สบกัน
แล้วจู่ๆ สีหน้าของเจ้านกอีมู–ที่ควรจะแสดงออกไม่ได้ ก็กลายเป็นตกใจ ก่อนที่มันจะลดการป้องกันลง แล้วลดหัวลงวางรายกับพื้น เป็นท่าทางของการยอมจำนนโดยสิ้นเชิง
“..เอ๋? เอ๋? อะไรนะ…?”
ขณะที่โจอี้กำลังสับสน ฮิยูกิก็กำลังลูบไล้ขนของมันอยู่
“อุหวา~ เจ้านี่น่ารักจัง ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีอะไรแบบนี้อยู่ด้วย อยากพากลับบ้านซัก 5-6 ตัวจังเลย”
น้ำเสียงของเธอไร้ซึ่งความกังวลใดๆ
โอ้ โอเค ตราบใดมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขึ้นมาละก็นะ..
ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โจอี้เดินเข้ามาคลายบังเหียนที่ผูกนกไว้กับต้นไม้
“ดี-ดี นายไม่ทำร้ายใคร เป็นเด็กดีนะ”
เกาคางเจ้าอีมู แล้วข้าก็ปีนขึ้นบนหลังมัน วางเท้าบนโกลนทั้งสองข้างจัดตัวเองให้เข้าที่
“เอาละฮิยูกิ ขึ้นมาข้างหลังข้าได้เลย อานมันทำมาเพื่อให้คนเดียวนั่งคงจะแคบหน่อย แต่เธอตัวเล็กมาก น่าจะพอไหว”
“คำว่า “ตัวเล็ก” ไม่จำเป็นซักหน่อย”
แก้มของเธอป่องออกนิดๆ ก่อนที่ฮิยูกิจะขึ้นมานั่งข้างหลังโจอี้ในท่าเจ้าหญิง ที่ขาทั้งสองข้างอยู่ฝั่งเดียวกัน
..โอ ใช่ กระโปรง
รู้สึกยุกยิกในใจเล็กๆ ข้าเตือนเธอเรื่องท่านั่ง
“เธอควรจับเอวข้าไว้นะ ถ้าไม่อยากตกลงไปนะ”
“อะ อืม..”
เธอทำอย่างที่เขาบอก ร่างเพรียวของฮิยูกิกดมาที่หลังของโจอี้
แล้วทันใดนั้น กลิ่นหอมเฉพาะตัวของผู้หญิงก็โชยมา เหมือนดอกไม้ หรือน้ำตาล หรืออะไรก็ตามที่มันน่ารักๆ และกลิ่นที่คล้ายสายลมยามค่ำคืน แล้วจากนั้น สัมผัสนุ่มๆสองจุดก็ทาบเข้าที่หลัง มันชัดเกินกว่าเคยจินตนาการ ร่างกายของโจอี้ร้อนขึ้นในทันใน จนความปรารถนาอันแรงกล้างของลูกผู้ชายแทบจะระเบิดออกมา เขาสะบัดหัวด้วยความตื่นตระหนก
“มะ-ไม่น้า–!!”
เสียงที่หลุดรอดออกมาจากทั้งสองประสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี
“หือ? เธอพูดอะไรึเปล่า?”
เมื่อหันไปมอง ฮิยูกิที่จ้องมองคอของโจอี้อยู่ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
“มะ-ไม่มีอะไรหรอก แค่กำลังคิดว่าถ้าจะกินตอนนี้คงจะไม่ดีเท่านั้นเอง”
“อะไรกัน.. ถ้าหิวละก็ ข้ามีเนื้อแห้งอยู่นะ หรือจะรอจนถึงเมืองอาระดีละ ที่นั่นมีทั้งร้านข้าวและแผงลอยอร่อยๆเยอะมาก ทนไหวไหม?”
“อา ไม่เป็นไร ถึงเราจะมีอาหารสำรองก็เถอะ.. แต่เราไม่อยากจะชิมโดยไม่คิดนะ ไม่รู้จะทนได้ไหวไหมด้วย”
“อ้อ เห็นด้วยนะ ถ้าเรากินของสำรองหมดไป เดี๋ยวตอนฉุกเฉินจริงๆจะมีปัญหาเอา เพราะงั้นช่วยอดทนจนรอขออร่อยในเมืองหน่อยนะ!”
“ได้สิ เราจะอดทน”
ถ้ารีบไปก็น่าจะดีกว่า เขาดึงสายบังเหียนบังคับให้เจ้านกยืน แต่มันก็ไม่ฟังคำสั่งของเขา แต่กลับมองเป็นเชิงขอคำอณุญาตจากฮิยูกิ และฮิยูกิเองก็พยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบกลับ เจ้านกอีมุถึงได้เชื่อฟังคำสั่งของโจอี้ แล้วลุกขึ้น
“ท่าทางอะไรกันเนี่ยเจ้านี่? ชอบผู้หญิงที่พึ่งได้เจอมากกว่าเจ้าของแล้วงั้นเรอะ?”
โจอี้บ่นงึมงำให้สถานการณ์นี้ ในขณะที่ฮิยูกิหัวเราะคิกคัก เธอลูบขนของเจ้านก
“ฮ่ะฮ่ะ ขอบใจมาก แต่นายต้องฟังคำสั่งของโจอี้ด้วยนะ”
ตอบรับคำนั้น เจ้านกร้องออกมาเสียงดังราวกับเห็นด้วย
◆◇◆◇
เมืองอิสระอาระนั้นเฟืองฟูจากการเป็นจุดบรรจบของถนนหลักหลายสาย เพราะมีดันเจี้ยนอยู่ใกล้ๆ ติดกับทะเลป่าอันกว้างใหญ่ และด้านหลังมีเทือกเขามังกรขาวที่สามารถหาแร่คุณภาพดีได้จากตรงนั้น มันเป็นสถานที่รวมตัวกันของเหล่าพ่อค้าและช่างฝีมือมาเนิ่นนาน ทั้งยังคนหนุ่มสาวทั่วหวังจะมาสร้างชื่อที่นี่
จึงเป็นปกติที่กิลด์นักผจญภัยของที่นี่จะใหญ่ขึ้นไปตามขนาดเมือง ตึกทำจากหินสามหลังที่สูงที่สุดในเมืองแหละเห็นได้จากไกลๆ เมือเดินไปตามถนนใหญ่จะไม่มีทางหาไม่เจอได้แน่
ที่นี่มีนักผจญภัยลงทะเบียนไว้มากกว่า 2หมื่นรายชื่อ ไล่ตั้งแต่เด็กฝึกหัดแรงค์ G ยันแรงค์ A ที่สามารถล่ามังกรได้ด้วยตัวคนเดียว
พนักงานของกิลด์ล้วนเคยชินกับการได้เห็นคนแปลกๆ คนหยาบคาย คนพิลึก หรือผู้ที่ไม่ฟังคำสั่งใครมามากแล้ว แต่ในเย็นวันนั้น ก็ไม่มีผู้ใดที่น่าจับจ้องไปมากกว่าบุคคลลึกลับที่เจ้าแรงค์ F หน้าใหม่พามาแล้ว
“เน่เน่ โจอี้คุง เจ้าหญิงคนนั้นมาจากไหนนะ!? ลักพาตัวมาหรอ?! หรือว่าหนีตามกัน?!”
สาวงามล้นเหลือนั่งแกว่งขาไปมาอยู่ตรงโซฟาราคาถูกของกิลด์ มองรอบข้างด้วยความสนอกสนใจ
นอกจากนี้ เสื้อผ้าของเธอก็เป็นของชั้นยอดที่พวกมือสมัครเล่นเองก็ยังมองออกว่ามันถูกสรรค์สร้างด้วยความพยายามมากเพียงใด และราคาที่ต้องขายอวัยวะซื้อนั่นด้วย
ไม่ว่าจะมองยังไง เธอก็เหมือนองค์หญิงจากซักประเทศนึงแฝงตัวลงมา
ปกติแล้วเค้าเตอร์ต้อนรับและจ่ายเงินชั้น 1 ของกิลด์มักจะเต็มไปด้วยบรรยากาศป่าเถื่อนและวุ่นวาย แต่วันนี้ ทั้งพนักงานกิลด์และนักผจญภัยทั้งหลายต่างกลั้นหายใจมองทุกอิริยาบทของเด็กสาว
ขณะนั้น พนักงานหญิงคนหนึ่งที่เค้าเตอร์ นามว่ามีอา เผ่าแมวที่กำลังจะอายุ 20 ปีนี้ และเป็นคนรู้จักของโจอี้ ผู้พาบุคคลต้องสงสัยมา โน้มตัวข้ามเค้าเตอร์เข้าหาโจอี้
ปกติแล้ว แค่มีพี่สาวสวยๆอย่างมีอาพูดด้วยก็ทำเอาโจอี้อายม้วน มองเลิ่กลั่กไปทั่ว แล้วก็พูดไม่เป็นภาษาตอนรายงานกับรับเงินค่าคำร้อง (แม้ว่ามีอาเองก็จะรู้ความใสซื้อของโจี้ แต่ก็ยังแกล้งอยู่ดี) แต่ครั้งนี้ มีอาเอาหน้าเข้าไปใกล้จนแทบจะชิดกัน โจอี้ก็ยังคงถอนหายใจพร้อมสีหน้าว่างเปล่าอยู่ดี
“…ใช่ที่ไหนเล่า เธอเป็นลูกค้า แล้วข้าก็แค่คุ้มครองมาพร้อมนำทางให้นะ เธอว่าอยากมาที่กิลด์ก็เลยพามาด้วยเฉยๆ มีอาซัง นี่ผมสร้างปัญหาหรือเปล่านะ?”
“เอะ เอ่อ ไม่หรอกน่า…”
ความเฉยชาของโจอี้ที่ต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงทำเอามีอาช๊อคไปนิดหน่อย เธอหันเหสายตาไปยังเด็กหญิงคนนั้นอีกครั้ง แม้เธอจะรู้ดีแก่ใจ แต่เธอก็ตอบคำถามด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนของสาวน้อยคนหนึ่ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายใจเย็นลงแล้ว โจอี้ก็พูดถึงเนื้อหาคำร้อง
“จะว่าไป คำร้องที่ให้ปราบหมาป่าตรงถนนทางตะวันตก ยังมีเวลาเหลือใช่ไหม”
“อา ใช่แล้วละ” มีอาพยักหน้า ปรับอารมณ์ก่อนจะเข้าสู่โหมดทำงาน
“เวลาตามกำหนดคือ 5 วันนะ ยังเหลืออีก 2 วัน ทำไมหรอ? หาไม่เจอหรอ?”
“คือ ทั้งหาทั้งสู้แล้วละ แต่มี 2 ตัวไม่ใช่ตัวเดียวเนี่ยสิ คิดว่าคงเป็นคู่กันนะ ข้าเกือบจัดการมันได้แล้วแหละ แต่คงต้องเตรียมตัวอีกรอบ”
“หืม เป็นคู่สินะ งั้นเดี๋ยวข้าจะไปแจ้งลูกค้าแล้วลองขอยืดระยะกับเพิ่มรางวัลให้แล้วกันนะ”
“เข้าใจละ ช่วยได้เยอะเลย..”
“แต่ว่านะ โจอี้คุง ว่ากันตามตรง จะหมาป่า 1 หรือ 2 ตัวก็ไม่ค่อยต่างกันมากสำหรับนักผจญภัยเต็มตัวหรอกนะ –บางทีมันอาจจะเร็วไปที่จะทำคำรองปราบปราบหรือเปล่า? หรือจะลองจับกลุ่มดูดีไหม?”
โจอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีอาก็ให้คำแนะนำกับโจอี้ด้วยน้ำเสียงราวกับพี่สาวดุน้องชายแสนซนอย่างไรอย่างนั้น
“..แต่ว่า ถ้าแรงค์ F หมาดๆอย่างข้าเข้ากลุ่มไป อย่างเก่งก็เป็นได้แค่คนแบกกระเป๋าเท่านั้นนี่?”
“การแบกกระเป๋าก็สำคัญและได้ประสบการ์ณเหมือนกันนะ” มีอาพยายามจะโน้มน้าวโจอี้ แต่เขาไม่ฟังเลยซักนิด
แม้ว่าจะมีนักผจญภัยที่สร้างความสำเร็จได้ตั้งแต่เริ่ม หรือผู้คนที่สร้างชื่อได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่คนเหล่านั้นมีเพียงหยิบมือเท่านั้น ผู้คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “อัจฉริยะ”
ในทางกลับกัน เด็กชายตรงหน้าเธอนั้นมีความสามารถแค่ทั่วๆไป
ทางเดียวที่เขาจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้อย่างเต็มที่คือต้องก้าวเดินไปอย่างมั่นคง
เพราะงั้น ถ้าเขาไม่ยอมอ่อนข้อลงซักที ในไม่ช้าเขาก็จะยอมแพ้ในเส้นทางของนักผจญภัย หรือไม่ก็เสียชีวิตได้เลย..
มีอาถอนหายใจด้วยความหมองหม่น เพราะถึงเธอยังทำงานที่กิลด์ได้ไม่นาน แต่เธอก็ได้เห็นคนแบบนี้มามากพอตัว
“–จะว่าไปแล้วมีอาซัง เจ้านี่ใช้ได้ไหม?”
คงจะเป็นความพยายามเปลี่ยนบรรยากาศ โจอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองในขณะที่เขาเทกระเป๋าจนเกิดเสียงเหรียญจำนวนหนึ่งกระทบกันกรุ๊งกรื้งลงบนเค้าเตอร์
“..เป็นเหรียญที่มีดีไซน์ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะ”
เธอหยิบเหรียญทองขึ้นมาวัดน้ำหนักด้วยมือ
ความหนักของมันบ่งบอกได้ว่าไม่ใช่ของปลอม… อันที่จริง มันหนักกว่าเหรียญทองที่ใช้กันทั่วไปในทวีปที่ทำมาจากการผสมทองและเงินเข้าด้วยกัน
(–หรือว่าจะทำมาจากทองแท้ทั้งหมด?!)
และอีกเหรียญนึงที่ใหญ่เป็นสองเท่าของเหรียญทอง มีอาหยิบมันขึ้นมาดู เธอคิดว่าคงเป็นเหรียญเงิน แต่เมื่อแสงเทียนที่สะท้อนลงบนเหรียญเกิดเป็นเส้นแสงเหลือบรุ้ง ทำเอาเธอเกือบจะกรี๊ดออกมา ก่อนจะฮึบไว้ได้ทัน
(นะ-นี่มัน ไม่จริงนะ โอริคัลคุม——?!)
มีอาพยายามระงับมือที่สั่นของเธอ ใส่เหรียญลงในกระเป๋า แล้วหันไปฝากให้พนักงานอีกคนช่วยส่งข้อความอะไรบางอย่างให้ เธอก็ถามโจอี้โดยที่แน่ใจคำตอบไปแล้วครึ่งนึง
“นี่ โจอี้คุง เธอได้เงินนี้มาจากไหน?”
“อา เธอให้มาเป็นรางวัลคำร้องนะ”
โจอี้ที่รู้สึกหวาดๆท่าทางเคร่งเครียดกว่าปกติของมีอา ชี้นิ้วไปยังเด็กสาวที่ดูสนุกสนานกับคำร้องต่างๆที่แปะอยู่ที่ป้ายประกาศ
แต่คนในคำถามนั้นดูจะวุ่นวายกับฝุ่นในพื้นที่ เพราะเธอเอาแต่ปัดมือไปแถวๆหัวไหล่และเข่าอยู่เรื่อยๆ
“—อา ก็คิดไว้แล้วละ”
พนักงงานที่ถูกฝากข้อความไปก่อนหน้าก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าซีดเซียวแล้วกระซิบบางอย่างกับมีอา
“โจอี้คุง ขอโทษด้วยนะ ข้าอยากได้ยินเรื่องราวมากกว่านี้ เพราะงั้นช่วยมากับเธอคนนั้นที่ห้องหัวหน้ากิลด์หน่อยได้ไหม?”
เมื่อได้ยินคำนี้ เด็กชายจึงรู้สึกตัวได้ว่ามีบางอย่างผิดไป สีหน้าของเขาซีดลงอย่างรวดเร็ว
“มะ-หมายความว่ายังไงนะ? มันเป็นของที่ขโมยมาหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก แค่ไม่เข้าใจกันนิดหน่อยแล้วอยากรู้รายละเอียดเฉยๆนะ”
“..”
โจอี้ลังเล แต่เด็กสาวที่จู่ๆก็เดินมาที่เค้าเตอร์ตอบแทนเขา
“เราไม่คิดมากหรอกนะ อีกอย่าง เราเองก็มีเรื่องอยากจะยืนยันด้วย เพราะงั้นถ้าได้เจอหัวหน้ากิลด์ก็ดีเลยสิ”
โจอี้ตัดสินใจและพยักหน้าให้กับคำพูดเหล่านั้น
“เข้าใจแล้ว เยี่ยมเลย ห้องของหัวหน้ากิลด์อยู่ชั้น 3 ข้าจะนำทางไปเอง เชิญทางนี้คะ–”
กล่าวเช่นนั้น มีอาก็เดินนำไปยังบันได ฮิยูกิเดินตามหลังเธอ ก่อนจะปัดไปมาที่หัวไหล่ของเธออีกครั้ง
“นี่ เห็นทำแบบนั้นมาซักพักแล้ว ฝุ่นมันเยอะขนาดนั้นเลยหรอ?”
เป็นการตอบกลับคำถามของโจอี้ ฮิยูกิยิ้มที่ดูราวกับท้าทายอะไรซักอย่าง แล้วตอบคำตอบที่ดูไม่ตรงคำถามเท่าไหร่นัก
“ก็นะ เป็นใยแมงมุมที่เกะกะมาซักพักแล้วละ.. แหม ก็คิดอยู่ว่าจะเรียกเร็วๆนี้ถึงแม้จะไม่มีเรื่องเหรียญก็ตาม”
ทำไมความยาวตอนมันยาวขึ้นเรื่อยๆกันหว่า? แม้จะเป็นการแปลใหม่ก็เถอะ รู้สึกว่าจำไม่เห็นได้เลยว่าตอนมันยาวขึ้นอ่ะ?
ตอนต่อไปก็ยาว ทำไมกัน? แปลรอบเดียวไม่จบตอนแล้วเนี่ย
ที่ตั้งใจจะอัพวันละตอน ผ่านมาได้อาทิตย์เดียวก็เหลวแล้วเนี่ย?!
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกให้คนแปลก็ได้ทั้งนั้นคะ (แต่ส่วนใหญ่น่าจะไปลงชานมหมด)
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ