[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 21 บทที่ 2 ตอนที่ 9 ก่อนศึกชี้ชะตา
- Home
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 21 บทที่ 2 ตอนที่ 9 ก่อนศึกชี้ชะตา
ข้อความจากผู้แต่ง : ลังเลอยู่ว่าจะตั้งชื่อตอนเป็น “ศึกเมืองหลวง 1” ดีไหม แต่สุดท้ายก็ให้เป็นตอนแยกกันไปดีกว่า
—–
ความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสัน กับอาณาจักรอมิเทียนั้นเดิมทีเป็นแผนที่ถูกชนชั้นสูงของอาณาจักรวางเอาไว้ ซึ่งจะเริ่มจากการใส่ร้ายป้ายสี ถัดมาก็เจรจากัน แล้วก็ค่อยไปเจรจากันลับหลัง แล้วก็การฑูตอย่างเป็นทางการ แต่ทุกสิ่งที่ควรจะเป็นการตกลงกันระหว่างทั้งสองฝ่ายถูกข้ามไปอย่างสิ้นเชิง และผลลัพธ์คือตอนนี้กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ณ ที่ราบสูงอาควิลา ที่อยู่ติดกับเมืองหลวง –หรือควรจะพูดว่า ไม่มีทางเลือกอยู่แล้วกันนะ
อ้างอิงตามคำแถลงอย่างเป็นทางการของอมิเทีย อาณาจักรอมิเทียประกาศสงครามไว้ดังนี้ – ขอประท้วงต่อการลอบสังหารเจ้าชายลำดับที่สาม อาชีล โกลด อมิเทีย ของอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสัน ซึ่งนับเป็นการประกาศสงครามโดยอ้อม –
[ถ้าอยากจะได้สงครามมากนักก็เอาเลยสิ เราจะรอจนกว่าเจ้าจะพร้อม ผู้ใดที่อยากตายนักก็จงมา]
นี่คือคำตอบเดียวจากองค์หญิงแห่งอาณาจักรอิมพีเรียลคริมสัน ในความเป็นจริงแล้วมันอ้อมคอมกว่านี้ เพราะเป็นจดหมายที่เขียนโดยหัวหน้ากิลด์นักผจญภัยแห่งเมืองอาระ คอนราด ชายผู้ยืนอยู่ระหว่างกลางทั้งสองฝ่าย -แล้วสงครามก็ปะทุขึ้นโดยไร้ซึ่งการเจรจาใดๆ
อาณาจักรอมิเทียไม่สามารถซ่อนความสับสนเอาไว้ได้เมื่อเจอกับการตอบกลับที่เพิกเฉยสามัญสำนักระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ แต่ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มมอนสเตอร์นับหมื่นที่ประสานงานกันอย่างดีก็ปรากฏขึ้น ณ ที่ราบอาควิลาที่อยู่ติดกับเมืองหลวงอย่างไร้ร่องรอย ราวกับตกลงมาจากฟ้า ทำให้เหล่าขุนนางตระหนักได้ว่าในคำพูดของผู้ปกครองของอิมพีเรียลคริมสัน ไม่มีการต่อรองหรือพูดเกินจริงใดใดเลย เพื่อที่เอาชนะศึกนี้ ชนชั้นปกครองต่างรวบรวมกำลังทหารทั้งหมดที่สามารถเคลื่อนย้ายในประเทศได้มา –ในขณะที่ฝั่งอิมพีเรียลคริมสันไม่ได้ทำอะไรเลยไม่มีการรุกรานหรือปล้นสะดมใดๆอย่างที่กล่าวไว้ว่า [เราจะรอจนกว่าเจ้าจะพร้อม] – และในที่สุด ฝ่ายอมิเทียก็ได้จัดตั้งกองทัพที่มีขนาดใหญ่กว่าศัตรูหลายเท่าขึ้นมาได้สำเร็จ
รายละเอียดของกองทัพมีดังนี้ แม่ทัพสั่งการคือ เคาท์จีโอวานนิ อันโตนิโอ ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกของสภาขุนนางด้วยเช่นกัน
กองทัพทหารที่ขึ้นตรงต่อประเทศจำนวน 5,500 นาย
กองทัพพันธมิตรของเหล่าขุนนางอื่นๆ ได้ทหารม้าจำนวน 3,500 นาย
นอกจากนี้ ยังมีกองทหารราบและพลธนูอีกประมาณ 10,000 นาย
กองทัพผสมระหว่างทหารรับจ้างและนักผจญภัยมีจำนวน 2,500 คน
มีทหารอาสาสมัคร 12,000 นาย
นอกจากนี้ยังมีหน่วยนักเวทที่ล้ำค่าที่สุดของประเทศ โดยมีสมาชิกทั้งหมด 150 คน
นักบวชที่ได้รับการส่งมาจากวิหารอีออนมีประมาณ 70 คน
และสุดท้าย สุดยอดทหารม้าที่ขี่ไวเวิร์นซึ่งเป็นอาวุธลับของประเทศอีก 13 คน
รวมทั้งหมดเป็นกองทัพที่มีขนาดเกิน 30,000คน ซึ่งเป็นกองทัพขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งหมดล้วนถือคติเดียวกัน
[พวกเราจะนำทัณฑ์สวรรค์ไปลงโทษเจ้าสัตว์ประหลาดที่ฆ่าเจ้าชายอาชีล โกลด]
◆◇◆◇
“…ดูเหมือนว่าจะมาทำสงครามเพื่อไว้อาลัยให้กับเจ้าชายอาชีลละ นายคิดว่าไงละ มาโรโดะ (ชายที่หาได้ยาก)”
คงจะดูไม่น่าเชื่อไปซักหน่อย เพราะไม่มีใครตรงนี้ที่กำลังตึงเครียดเลยแม้ว่ากำลังจะมีสงครามชี้ชะตารอคอยอยู่(ในมุมมองของอมิเทียนะน่ะ) –ยังไงซะ ตอนนี้สมาชิกโต๊ะกลมกำลังเล่นเป่ายิ้งฉุบกันอยู่เพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็นคนออกไปคนแรก
คุณจะได้ยินเสียงเชียร์ เสียงคำรามและกระทืบเท้าของผู้ที่แพ้เป็นระยะๆ (ที่ผมหวังว่าจะหยุดกัน เพราะมันสั่นหยั่งกับแผ่นดินไหวแนะ)
“นั่น แกออกช้า!” คุณจะได้ยินเสียงตะโกน
“เดี๋ยวข้าจะออกกระดาษ!” แล้วก็ได้ยินเสียงการวงกลยุทธ์ด้วย
ผมเอ่ยปากถามอัศวินที่มีผมสีทองค่อนไปทางแดงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆผม เขาใส่ชุดเกราะสีแดงทั้งตัว ยกเว้นหมวก แต่เป็นหน้ากากปีศาจสีแดงที่ครอบคลุมครึ่งใบหน้าส่วนบนทั้งหมดแทน
“ถ้าเจ้าชายได้ยินเข้า คงจะร้องไห้ด้วยความดีใจละมั้งครับ”
อัศวินยักไหล่แล้วก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก มองดูแว็บแรกเขาอาจจะดูเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ทว่าผิวของเขานั้นซีดเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ เพราะว่าเขาคือสมาชิงวงศ์วานอันแสนหายากของผมเอง อัศวินแวมไพร์ ดราคูล่า
“แล้วนายละ?”
“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนี่ครับ ยังไงซะข้าก็เป็นแค่ดาบขององค์หญิงเท่านั้น”
“—แกจะทำตัวสบายๆเกินไปหน่อยแล้วมั้ง ระวังปากซะบ้างนะมาโรโดะ แม้ว่าแกจะเป็นวงศ์วานขององค์หญิง แกมันก็แค่ไอ้หน้าใหม่เท่านั้น!”
ตอบสนองต่อน้ำเสียงหงุดหงิดของเทนไก มาโรโดะก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ขออภัยด้วยครับท่านเทนไก หัวหน้าแห่งสี่ราชามารสวรรค์”
แม้จะดูสุภาพ แต่ทว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเขาถูกซ่อนเอาไว้ใต้หน้ากากจนมองไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ เทนไกหรี่ตามองมาโรโดะราวกับพยายามจะอ่านใจให้ได้
ผมถามเขาอีกครั้ง
“แน่ใจนะว่าโอเค? ถ้าต้องการละก็ เราจะปล่อยให้นายกลับไปอยู่ด้วยกันกับน้องสาวได้นะ”
“ที่ฝั่งโน้นไม่มีน้องสาวหรอก เพราะดูเหมือนว่าข้าคงไม่ได้ไปที่เดียวกับกับเธอนะ ดังนั้นถ้าต้องเลือก การได้อยู่ข้างๆ องค์หญิงที่ข้าเคารพรักก็ถือเป็นความคาดฝันสูงสุดแล้วละครับ”
“–แน่นอนสิ นี่เป็นความจริงอันชัดแจ้งจนไม่จำเป็นต้องให้เอ่ยปากด้วยซ้ำ มาโรโดะ ดูเหมือนเจ้าจะยังเคารพองค์หญิงไม่มากพอนะ”
เทนไกพ่นลมออกจมูก แต่ท่าทีของเขาอ่อนลงนิดหน่อย เหมือนว่าจะลดความระแวดระวังมาโรโดะลงไปนิดนึงแล้วละ
“ขอภัยด้วย” มาโรโดะโค้งลงอีกครั้ง แต่ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองผม เขาดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วก็ค่อยๆยิ้มกว้างออกมา
“สำหรับข้าแล้ว ที่นี่ก็เหมือนสรวงสวรรค์เลยละ….ไม่เคยคิดเลยว่าพิธีออกศึกจะมีประโยชน์ขนาดนี้”
เขาว่าพลางเอามือแตะผมหน้าที่ดูเหมือนจะยังชื้นอยู่
“อุหวา อุหวาาา!!”
ผมที่นึกขึ้นได้เช่นกันเอามือปิดหู ทำทีเป็นไม่ได้ยิน
ว่าแต่ใครเป็นคนกำหนดว่านั่นเป็นพิธีฟ๊าา—-!?!
คนเขาก็แค่กำลังอาบน้ำก่อนไปรบแค่นั้นเอง (ในเกมนะ ถ้ามาแช่น้ำที่ห้องอาบน้ำส่วนตัวของผม 1 นาที จะมีเอฟเฟคบัพเป็นเวลา 30 นาที แต่ตอนนี้เหมือนว่าจะมีการปรับเปลี่ยน โดยที่ผลของบัพจะเพิ่มไปอีก 30 ต่อทุกๆ 1 นาที สูงสุด 48 นาที ซึ่งจะทำให้บัพยืดออกไปได้ถึง 24 ชั่วโมง และจะไม่ยืดออกไปมากกว่านั้นแล้ว) แต่แล้วเจ้าพวกสมาชิกโต๊ะกลมก็กรูกันเข้ามาแช่ด้วยหยั่งกับเป็นเรื่องธรรมดากัน?!
ทั้งมิโคโตะและอุสึโฮะต่างก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออกแบบไม่ลังเลเลยซักนิด
เจ้าพวกมอนสเตอร์นี่ไม่มีความเขินอายกันบ้างหรอไง!?….. ก็คงไม่มีนั่นแหละ
ก็ถ้าแค่นั้น ผมก็ยังพอทนไหวอยู่หรอก! คิดซะว่าเป็นการตีความกว้าง ๆ ว่าเหมือนแช่อ่างกับข้ารับใช้ก็แล้วกัน!
แต่ทำไมคราวนี้มาโรโดะถึงมาด้วยเล่า!?!
“…ข้าจะจารึกมันลงไปในความทรงจำเลยละครับ ทั้งผิวที่ย้อมเป็นสีแดงเรื่อเพราะความร้อน และยอดอ่อนสีชมพูที่ยังคงบริสุทธิ์–”
“อุหวาาาาา!!”
ผมร้องลั่นแล้วต่อยเขาเต็มแรง แต่เขาก็หลบได้ ชิ หมอนี่พอเปลี่ยนเป็นแวมไพร์แล้ว ความสามารถพื้นฐานก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ยิ่งทำให้ควบคุมยากเข้าไปใหญ่
อันที่จริง ดูเหมือนอาการป่วยของเจ้าหมอนี่จะเข้าขั้นอันตรายแล้วละ บางทีผมอาจจะตัดสินใจผิดก็ได้
“เอ่อคือ..”
หัวหน้ากิลด์คอนราด ผู้ที่นิ่งเงียบมาจนบัดนี้ค่อยๆยกมือขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ข้อขอพูดหน่อยได้ไหมครับ?”
เทนไกมองมาที่ผม ถามหาคำอนุญาต ผมก็เลยพยักหน้ากลับไป
“เอาละ ข้าอนุญาตให้พูดโดยตรงได้”
“อา… ช่างเป็นพระกรุณาอย่างยิ่งครับ” คอนราด กิลด์มาสเตอร์กล่าว ก่อนที่จะทำหน้าตาไม่ค่อยเข้าใจพร้อมกับเอียงคอ
“…ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ผมกอดอดให้กับคำถามนั้น
“เป็นคำถามที่ยากจังนะ เราคิดว่าแต่ละคนควรจะต้องหาคำตอบด้วยตัวเองมากกว่านะว่าเกิดมาทำไม แล้วทำไมถึงมาตรงนี้ได้”
“ไม่ครับ ข้าไม่ได้หมายถึงคำถามเชิงปรัชญาแบบนั้น แต่แค่อยากรู้ว่า ทำไมตัวข้าซึ่งอยู่ในห้องกิลด์มาสเตอร์ของเมืองอาระถึงถูกลักพาตัวมาที่นี่ได้…”
ผมหันทั้งหน้าและตัวไปหาคนลักพาตัว -เทนไก ในทันที
“นายไม่ได้บอกเหตุผลไปหรอกหรอ?”
“แน่นอนว่าข้าบอกครับ ข้าบอกว่า [องค์หญิงเรียกหาเจ้า มาด้วยกันเดี๋ยวนี้]ครับ”
อ่า นั่นไม่ใช่เหตุผลหรอกนะ
“อา ขอโทษทีที่ถามแบบกระทันหันนะ แต่เราอยากจะให้เจ้ามาเป็นราชาของประเทศนี้นะ”
“ครั… ครับบบบบบบบบบบบ?!?!”
หัวหน้ากิลด์รีบถอยหลังหนีทันทีที่เขาเข้าใจความหมาย อื้ม ช่างเป็นปฏิกิริยาที่วิเศษ แค่นี้ก็ทำให้เขาเป็นคนหาตัวจับยากแล้วละ
ในขณะที่เขากำลังอยู่ในสภาพพูดอะไรไม่ออก ผมก็พูดต่อ
“ก็นะ อย่างที่นายเห็น พวกเราไม่ค่อยจะสนใจทั้งกฏหมายและมารยาทของมนุษย์เท่าไหร่ใช่ไหมละ? เพราะงั้นหลังจากที่จบละครลิงนี่ลงแล้ว เราว่าจะเปลี่ยนหัวหน้าซะใหม่ ให้มนุษย์ซักคนไปแทนที่นะน่ะ แล้วเราก็เลยอยากจะขอให้หัวหน้ากิลด์ตอนราด ผู้มีประสบการ์ณเป็นผู้นำและมีเซนส์ดีเรื่องสมดุล–”
“ข้าทำไม่ได้หรอกครับ!!!”
หัวกิลด์คอนราดตะโกนซะสุดเสียงจนเหมือนคอจะหลุดออกมาด้วยเลย
“น่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะไอ้ชนชั้นปกครองของอาณาจักรนี้มีแต่พวกโง่ที่อยากมาหาเรื่องเราทั้งๆที่กำลังโดนเราขู่อยู่ทั้งนั้นเลยนะรู้ไหม? เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโลภอยากได้มันบังตาไปหมด หรือเป็นเพราะคิดว่าตัวเองสูงส่งมากพอจนเอาแต่มองข้ามคนอื่นๆจนไม่เห็นภาพรวม แต่ยังไงซะเจ้าก็ดีกว่าไอ้พวกนั้นเป็นล้านเท่า”
“…ไม่รู้สึกเหมือนจะโดนชมเท่าไหร่เลยนะครับ แต่ไม่ไหวหรอกครับ ข้าไม่รู้เรื่องการเมืองการปกครองเลยนะ”
หัวหน้ากิลด์คอนราดถอนหายใจพลางส่ายศรีษะ
“ถ้าพูดถึงการปกครองก็จะหมายถึง การปกครองภายใน กับการบริหารต่างประเทศใช่ไหมละ? เดี๋ยวเราจะคอยจับตาดูพวกอาณาจักรอื่นๆให้เอง จะไม่ปล่อยให้มันมาบุกหรอก– อื้ม ถ้ามีใครมาลอง เราก็แค่บดขยี้ซะ และในส่วนการปกครองภายใน เราก็ปล่อยให้ข้าราชการการปกครองเข้ามาช่วยซะ ก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ใช่ไหมละ?
ในส่วนของการควบคุมมนุษย์นั้น พวกเราคงไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งอะไร เพราะงั้นเจ้าก็ทำตามใจไปสิ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นความฝันอันสูงสุดของผู้ชายทุกคนหรือไง ที่จะเป็นเจ้าปราสาทของตัวเองนะ? แล้วก็นะ เราจะมอบมาโรโดะให้คอยช่วยนาย เจ้านี่น่าจะมีประโยชน์พอดูนะ”
หัวหน้ากิลด์คอนราดมองมาโรโดะที่โค้งคำนับตอนผมแนะนำให้ด้วยสายตาสงสัย ก่อนที่เขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วทำตาโต จากนั้นก็ชี้นิ้วสั่นๆมาที่มาโรโดะ
“…หระ..หระ-หระ-หรือว่านี่คือ… อาชี…?!”
“ท่านคงจะจำคนผิดแล้วละ ข้าคือมาโรโดะ ข้ารับใช้ผู้ภักดี ยังไงก็ตาม ข้าขอฝากตัวด้วยนะครับฝ่าบาท”
คอนราด หัวหน้ากิลด์ยืนนิ่งด้วยสีหน้าที่เหมือนวิญญานหลุดออกจากร่างไปแล้วหลังจากโดนตบไหล่เบาๆ
“ก็บอกแล้วว่านี่น่ะละครลิง”
ผมยักไหล่ ก่อนจะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของกองทัพศัตรู
มีไวเวิร์นจำนวนหนึ่งบินออกมาจากค่ายของศัตรู– นั่นใช่ดรากูนในข่าวลือหรือเปล่านะ
ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าการแข่งขันเป่า-ยิ้ง-ฉุบอันแสนดุเดือดมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“—โย๊ชชชชชช ข้าชนะ! ข้าได้ไปเป็นคนแรก!”
นั่นคือเสือมีปีกที่มีขนาดความยาวกว่า 10 เมตรพยัคฆ์สวรร์ค 7 อสูรแห่งหายนะ –คุราชิ ที่กระโดดโล้ดเต้นด้วยความดีใจ
…ผมก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่เขาเล่นเป่า-ยิ้ง-ฉุบยังไงด้วยขาหน้าที่เป็นอุ้งเท้าแบบนั้นนะ?
“–เช่นนั้น องค์หญิง ได้โปรดกล่าวปลุกใจก่อนรบด้วยครับ”
สายตาของทุกคนมองมาเป็นจุดเดียวราวกับคำของเทนไกเป็นสัญญาน
อา ผมว่าแล้วว่าคงต้องพูดอะไรซักอย่าง ยังไงดีละ ผมไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ก็เลยไม่ใคร่จะมีคลังคำศัพท์ให้ใช้ด้วยสิ
…เอาเถอะ ใช้แบบเดียวกับคำสั่งที่เอาไว้สั่งสัตว์เลี้ยงในเกมแล้วกัน
“พวกเจ้าทุกตน จงกวาดล้างศัตรูที่ขวางทางให้สิ้น!”
『ฮ่า――――――า!!!』
พื้นที่ตรงนั้นเปลี่ยนเป็นบรรยากาศแห่งการฆ่าฟันในพริบตา
อ่า ผมเผลอใช้คำว่า [กวาดล้าง] ไปซะแล้ว แต่ตอนนี้ผมคงจะไม่คืนคำแล้วละ
เจ้าพวกนี้ไม่ค่อยจะเข้าใจถึงการล้อเล่นซะด้วยสิ เพราะงั้นก็น่าจะกวาดกันเกลี้ยงจนไม่เหลือแม้แต่ทหารซักคนแน่เลย… เอาเถอะ ก็เป็นหน้าที่ทหารแหละนะ
ตอนนี้ผมแค่ต้องระมัดระวังให้เมืองหลวงไม่โดนทำลายไปด้วยก็พอ
—————————————-
ข้อความจากผู้แปล
เซนต์สามารถชุบชีวิตได้ภายใน 30 นาที ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าหญิงคนน้อง
แล้วก็มีระบบสุ่มที่จะสามารถทำให้มาเป็นพรรคพวกได้ อัตราความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เสียชีวิตและสภาพของศพ
และถ้ากลายมาเป็นแวมไพร์ ความสามารถในช่วงกลางวันจะโดนจำกัดเอาไว้(สำหรับแวมไพร์สายดั้งเดิมจะใช้ความสามารถได้แค่ครึ่งนึงจากที่มีในตอนกลางคืน) เพราะงั้นสำหรับมาโรโดะแล้วช่วงกลางวันความสามารถจะเพิ่มขึ้นมาราวๆ 30% จากสมัยมีชีวิตอยู่เท่านั้น
ความเชื่อที่ว่าจะกลายเป็นขี้เถ้าถ้าโดนแสงอาทิตย์นั้นเป็นผลพวงมาจากหนังทั้งนั้น แม้กระทั้งนิยายของ แบรม สโตกเกอร์ แวมไพร์สามารถเดินในตอนกลางวันได้อย่างไร้ปัญหา (แม้ว่าความสามารถจะโดนลดลงมาจนเกือบเท่ามนุษย์เลยก็ตาม)
แล้วก็เดี๋ยวจะมีอธิบายอีกที แต่ทหารส่วนใหญ่ของอิมพีเรียลคริมสันมาจากเหล่ามอนสเตอร์ที่ทะเลป่า เทือกเขามังกรขาว และซากโบราณสถาน
กองหลักมีเหล่าสภาโต๊ะกลมและทหารอาสาอีกไม่มากนัก
ทั้งกองทัพไม่ได้นั่งรออยู่เฉยๆตั้งหลายวัน แต่เป็นการหมุนเวียนเดินทางไปกลับปราสาทเป็นระยะๆแทน ฮาา
kloy1002 : ถ้าสงสัยว่านี่มันตอนต่อใช่หรือไม่ นี่คือตอนต่อแน่นอนเจ้าคะ ไม่ได้แปลข้ามแต่อย่างใด เดี๋ยวเนื้อหาอื่นๆจะมีเฉลยในตอนต่อๆไปเจ้าคะ
ช่วงนี้จะแปลช้าถึงช้ามากนิดนึงนะคะ จะพยายามเข็นออกมาให้ได้อาทิตย์ละตอน แต่ไม่รับปากนะคะ //โค้ง
พอดีว่ามีเรื่องจำเป็นต้องหารายได้เพิ่มนะคะ เวลาว่างที่เคยมีก็เลยเอาไปลงตรงนั้นหมด แต่ยังไงจะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอน จะพยายามแปลไปเรื่อยๆคะ
ขอบคุณสำหรับการโดเนท พอดีไม่แน่ใจว่าคุณคนนี้โดเนทให้เรื่องไหน ก็เลยลงให้ทั้งสองเรื่องเลยเจ้าคะ
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนเป็นกำลังใจหรือจะเป็นค่าชานมไข่มุกได้ตรงนี้เลยนะคะ ช่วงนี้ต้องการชานมเยอะด้วยสิ ฮา
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ