[นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru - ตอนที่ 20 บทที่ 2 ตอนที่ 7 หนึ่งดาบลมกรด หนึ่งดาบพร่างพราว
- Home
- [นิยายแปล] เจ้าหญิงแวม Kyuuketsu hime wa barairo no yume o miru
- ตอนที่ 20 บทที่ 2 ตอนที่ 7 หนึ่งดาบลมกรด หนึ่งดาบพร่างพราว
ข้อความจากผู้แต่ง
มาต่อเรื่องของฮิยูกิกับเจ้าชายอาชีลกัน
ตอนนี้ก็เท่านี้ก่อนแล้วกันนะ
——–
ผมบล๊อคดาบที่ฟาดลงมาด้วยดาบที่หน้าตาเหมือนกัน ต่างแค่สี
แขนที่ถือดาบชาจากแรงปะทะอันแสนหนักหน่วง และร่างกายทั้งร่างของผมราวกับจะฉีกออกให้ได้
“–อะไร?!”
เจ้าชายอาชีลนะแข็งแกร่ง การเสริมพลังกายด้วยเวทย์มนต์และบัพอีกนิดหน่อย ค่าสถานะบางอย่างของเขาอาจจะใกล้เท่าผมแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นความต่างชั้นของค่าสถานะโดยรวมก็ยังกว้างมากอยู่ดี ไม่ว่ายังไงเขาก็เทียบกับผมไม่ได้เลย
ถ้าเป็นแค่การวัดแรงเข้าว่าล้วนๆ กำแพงคงจะกดทับเขาจนบี้ เพราะช่องว่างนั่นมากยิ่งกว่าเทคนิคดาบมากเกินไป
เพราะงั้นถ้าอาวุธของเรานั้นใกล้เคียงกัน ผมก็น่าจะเอาชนะเจ้าชายอาชีลได้ด้วยการปะทะฝีดาบกัน นั่นคือสิ่งที่ผมคิดไว้ละนะ
แต่นี่มันไม่ใช่ ผมประเมิณเขาต่ำเกินไป ผมกะว่าจะแค่ลองรับการปะทะดูว่าจะเป็นยังไง แต่ทักษะดาบของเจ้าชายกลับชดเชยช่องว่างของตัวเลขพวกนั้นได้
ความรู้สึกที่ผมจับได้มันชัดเจนสุดๆ แม้กระทั่งตอนนี้ แรงกดของดาบที่ผมกันไว้ได้นี่ ถ้าผมผ่อนแรงลงซักนิดผมคงร่วงลงไปคุกเข่าแน่
–แย่แล้วสิ!
สถานการ์ณตอนนี้ไม่ดีเลย ผมต้องเว้นระยะออกมาเพื่อสลับไปเป็นกลยุทธ์ตีแล้วชิ่งของผม
ผมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สะบัดชายกระโปรงขึ้นและเตะออกไปอย่างรวดเร็ว
ผมนึกว่าจะทำเขาสะดุ้งได้ แต่เจ้าชายอาชีลยกขาหนึ่งข้างขึ้นมากันไว้ได้ราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว
วินาทีที่ขาของเราปะทะกัน สมดุลก็พังลง และผมกระโดดถอยกลับไปจากแรงดีด
“ชั้นในน่ารักมาก แต่โดยส่วนตัวแล้วข้าผิดหวังนิดหน่อยที่ท่านไม่สนใจธรรมเนียมเก่าๆ”
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังแล้วกันนะ อย่างที่เจ้าเห็น เราไม่เก่งเรื่องเท้าซักเท่าไหร่”
เจ้าชายอาชีลไม่ได้ไล่ตามมาก ผมนึกว่าเขาคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า แต่เขากลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นและส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
จะว่าไป เวลาใส่ชุดประเภทนี้ ธรรมเนียมสำหรับเลดี้ก็คือจะไม่ใส่ชุดชั้นในกัน แต่ผมไม่ได้ทันสมัยขนาดเดินไปมาโดยไม่มีชั้นในหรอกนะ
เพราะงั้นครั้งนี้ผมเลยใส่ชั้นในแบบ ทรี-อิน-วัน (รวมเอาบรา สายคาดเอว และสายรัดถุงน่องไว้ด้วยกัน) มาใต้เดรสของวันนี้
“ไม่หรอก ข้าว่าเราทั้งคู่ก็ไม่เก่งเรื่องเท้าพอๆกันนั่นแหละ–”
เจ้าชายอาชีลเอาเท้าเตะพื้นจนพื้นดินแตกกระจายราวกับระเบิด และพุ่งเข้ามาหาผม
ผมเคลื่อนตัวไปทางซ้ายเพื่อหลบ –แต่จู่ๆก็รู้สึกราวกับมีใครบางคนมาจากทิศทางนั้น!
จากนั้นผมก็สัมผัสบางอย่างได้อีก เป็นจิตสังการที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง ผมไม่ที่แน่ใจว่าต้องทำยังไงดี จึงกระโดดขึ้นไปง่ายๆแล้วหมุนตัวอยู่สองหรือสามรอบกลางอากาศ ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง
ร่างหลักของเขา– อยู่ข้างหลังผมพอดี
มาเมื่อไหร่ตอนไหนยังไงเนี่ย?!
ก่อนที่ผมจะหาคำตอบของคำถามนั่นได้ การโจมตีถัดไปก็ตามเข้ามา
ไม่ทันจะได้ลงพื้น เจ้าชายอาชีลที่ใกล้เข้ามาก็วาดดาบลงมาที่ผม
เพื่อรับการโจมตีนั่น ผมเหวี่ยงดาบด้วยท่าทางผิดแปลก ดาบของเราประสานและมีประกายไฟแล่บออกมา
ผมใช้แรงปะทะนั่นสร้างระยะห่างระหว่างตัวผมและศัตรู
รู้ทั้งรู้ว่าตกเป็นฝ่ายรับนั้นไม่ดี แต่ผมไม่มีทางเลือกเลยนอกจากปัดป้อง สะท้อน และหลบฝีดาบที่เข้ามาระหว่างร่นถอย
…ไอ้การต่อสู้ให้ความรู้สึกเจ้าเล่ห์แบบนี้คือยังไงกันนะ เหมือนผมถูกลากเข้าไปยังเวทีที่ผมแสดงความสามารถที่แท้จริงไม่ได้ แล้วก็โดนต้อนให้จนมุมไปสู่ทางตันอย่างช้าๆ
ผมไม่เคยเล่นเกมต่อสู้ด้วยสิ แต่คิดว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าการ [รอคอย] ละมั้ง
ไม่เห็นสนุกเลย
ตอนแรกก็คิดว่าแค่ทีเดียวคงไม่พอ ก็เลยว่าจะฟาดไปซัก 2-3 ที
ใช้ประโยชน์จากความต่างของกำลังขา เว้นระยะห่างของเราออกไป หลังจากนั้นในเวลาเดียวกัน ก็พุ่งเข้าใกล้เจ้าชายอย่างรุนแรง
ครอสสแลช –หลบได้
ท่านักดาบพื้นฐาน [นางแอ่นหวน]ที่ทำได้ด้วยการบิดข้อมือ –ก็ถูกหลบได้ด้วยการเอนร่างท่อนบนไปข้างหลัง
จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่าที่เปลี่ยนทิศทางกลางอากาศได้ [วาบเส้นขอบฟ้า] สกิลของนักดาบพื้นฐานเช่นกัน แต่ก็โดนสะท้อนด้วยการวาดดาบเป็นวงโค้ง
“–ไหนลองยอมแพ้แล้วให้เราฟาดซักทีสิ!”
“…ไม่ไหวแหงๆ ถ้ารับอะไรแบบนั้นไปต้องตายแน่ ท่านต่างหากที่ควระจะออมมือให้ข้านะ”
“เราก็ออมมืออยู่นี่ไง!”
เพราะว่าผมใช้แต่ความสามารถพื้นฐานล้วนๆยังไงละ ไม่ได้ใช่เวทบัพใดใด ไม่ได้ใช้เวทโจมตีของสายนักบวช ผมใช้ดาบระดับเท่ากันหรือต่ำกว่าสกิลพื้นฐานของผู้เล่น และสกิลที่ผมใช้เองก็เป็นพื้นฐานของผู้เล่นสายนักดาบอีกที
ว่ากันอีกอย่าง ผมสู้ในเงื่อนไขที่เกือบจะเท่าเทียมกันเลย แต่ประมือกับผมคือฝั่งตรงข้ามที่มีระดับต่ำกว่า.. ไม่ใช่แค่นั้น ผมยังเป็นฝ่ายโดนกดดันมาตลอดเลยด้วย!
ศักดิ์ศรีของผมมันป่นปี้หมดแล้ว
“ดูเหมือนว่าการที่อ่อนให้จะเป็นเรื่องไร้สาระไปหน่อยสินะ เราว่าจะจริงจังขึ้นอีกซักหน่อย”
“แบบนั้นมันน่ากลัวนะครับ”
เจ้าชายอาชีลหรี่ตามองและทำท่าเป็นกลัว แต่ดวงตาของเขานั้นไม่ได้ยิ้มอยู่เลย
“เอานะ ถึงจะตายไปก็ชุบชีวิตขึ้นมาได้ภายใน 30 นาทีอยู่แล้ว แค่เจ็บช่วงแรกนิดหน่อยเท่านั้นแหละ–ฮ่ะ!”
สกิลพื้นฐานนักดาบ [ฟันทะลวง]!
ดาบสองเล่มปะทะกัน การแทงของผมถูกหลบได้– ผมคิดไว้แล้วละ ใช้แรงปะทะให้เป็นประโยชน์ ผมถีบก้อนหินด้านหลังเจ้าชายและกระโดดเป็นสามเหลี่ยม
จากนั้นผมก็ปล่อยทักษะดาบของอาชีพปรมาจาร์ยดาบ [เจ็ดดาบล่องสวรรค์] จากข้างบน
ปลายดาบแยกออกเป็น 7 ที่ไม่ใช่ทั้งภาพลวงตาหรือภาพติดตา แต่เป็นของจริงและโจมตีเข้าทั่วทั้งร่างกายของเจ้าชาย ในเวลาที่เขาไม่สามารถหลบได้ทัน
“อั่ก–!!”
เขารีบฉีกตัวหลบไปทางซ้าย ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดของเขา ดูเหมือนว่าจะสามารถหลบไปได้สาม แต่ที่เหลืออีกสี่นั้นหลบไม่ได้แล้ว
เจ้าชายอาชีลผู้ตัดสินใจได้รวดเร็ว –ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะพูดหรอกนะ– เจ้านี่มีการตอบสนองแบบไหนกันเนี่ย?!
เขาป้องกันสองฝีดาบได้ด้วยดาบเดียวในมือ สะท้อนอีกหนึ่งก้วยกำปั้นของมือซ้าย และสำหรับอันสุดท้าย –อันหลักที่ผมกำลังถืออยู่ – เขากระโดดขึ้นแล้วใช้ไหล่ซ้ายเข้ารับส่วนที่อันตรายน้อยที่สุดของดาบ ซึ่งมันคือส่วนที่ใกล้กับกระบังดาบที่สุด!
ไหล่ของเขาโดนเฉือนไปนิดหน่อย และมีเลือดซึมออกมา แต่ก็แค่นั้น
แต่ถึงอย่างนั้น จากมุมมองของผมก็เหมือนว่าเขากำลังยื่นคอตัวเองมาไว้ตรงหน้าผมเลย
ดาบพุ่งเข้าไปครึ่งทางแล้ว ผมหันเหปลายดาบไปเพื่อฟันคอเขา เจ้าชายพยายามจะป้องกัน แต่มันก็สายไป!
ในตอนที่ผมคิดว่าผมจัดการเขาได้อยู่หมัดแล้ว ดาบของเจ้าชายก็ขยับราวกับว่ามันโค้งงอได้ และกลายเป็นข้อมือของผมแทนที่โดนเฉือน
“――?!?”
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผมชะงักไป และตอนที่ผมรู้ตัวว่าหลบมันไม่ได้ ผมก็ถอยให้ไวที่ที่ผมจะทำได้
สองเท้าของผมสร้างรอยเป็นหลุมลึกจากแรงผลัก และตัวผมไถลไปไกลว่า 20 เมตร เลยละ
เจ้าชายอาชีลเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่ดูประหลาดใจ
“เอาจริงสิ… ไม่ว่าจะอะไรก็ทำได้หมดสินะ เหลือเชื่อจริงๆ”
“นั่นเป็นสิ่งที่เราควรจะพูดต่างหาก ไอ้เมื่อกี้นั่นอะไรนะ?”
“อา นี่เป็นทักษะลับของข้านะ เรียกว่า [คลื่นหมอก] นะ ปกติแล้วจะสามารถตัดเอ็นข้อมือของศัตรูได้เลยนะ”
ไม่มีความจำเป็นต้องรักษาอะไร บาดแผลปิดไปแล้วจากความสามารถขององค์หญิงแวมไพร์ในเวลากลางคืน แต่ผมก็ยังถอนหายใจจากความไม่พอใจตอนที่มองดูข้อมือไร้ริ้วรอยของตัวเองอยู่ดี
“…ให้ตายสิ นี่แหละทำไมเราถึงไม่ชอบสู้กับคนอื่นๆ ไม่รู้เลยว่าจะไปเจอการเล่นตุกติกแบบไหน”
“แหม การเล่นตุกติกเล็กๆน้อยๆทำให้ผู้อ่อนแอชนะนี่นา ดูขี้ขลาดหรอ?”
“ไม่หรอก เราไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ความสามารถของเราต่างหากที่ขี้ขลาด”
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมประเมินเขาต่ำไปจริงๆ เรื่องที่เขาสามารถป้องกันการโจมตีของผมทั้งๆที่มีตัวเลขที่ห่างกันขนาดนี้ แน่นอนว่าถ้าผมใส่อุปกรณ์ครบและไม่โดนจำกัดการใช้เวทย์หรือบัฟ เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่จะให้พูดอีกอย่างก็คือ ถ้ามีใครที่อยู่ในสถานการ์ณเดียวกันกับผม –ถ้าบนโลกนี้มีอุปกรณ์ที่สามารถเทียบเคียงกิลส์ เดอ เรยส์ ได้(เดาว่าต้องเป็นหนึ่งในสามเสาหลักเลยแหละ)– นั่นหมายความว่าจะมีใครซักคนสามารถเอาชนะคนอย่างผมได้
จริงๆผมไม่ควรพูดแบบนี้ แต่เจ้าชายนี่เองก็เป็นผู้นำระดับกลางๆของประเทศนี้เหมือนกัน
และถ้ามาลองคิดๆดู ผมเองก็ได้ประโยชน์มาเยอะอยู่
และตอนที่ผมกะว่าจะสู้ต่อ ผมรู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยมาจากท้องฟ้า และเสียงเกวียนหลายสิบคันเคลื่อนที่เข้ามาจากความมืดไกลๆนั่น
“—องค์หญิง ขออภัยที่ทำให้ต้องรอเจ้าคะ”
แน่นอนว่าที่ร่อนลงมาจากบนฟ้าคือมิโคโตะ เซราฟิมที่เปิดเผยปีกทั้งหกคู่ออกมา
เจ้าชายอาชีลทำตาโตเมื่อได้เห็น แต่ผมเมินเขาแล้วหันไปคุยกับมิโคโตะ
“รบกวนหน่อยนะ จัดการพวกไล่ล่าเสร็จแล้วหรอ?”
“คะ ข้าได้จัดการกับทุกคนที่นั่นแล้ว แต่ทว่าตอนที่ข้าตรวจสอบจากบนฟ้า ก็ได้เจอกลุ่มคนไล่ล่ากลุ่มอื่นกำลังใกล้เข้ามา ขอเพียงแค่ท่านสั่งคะองค์หญิง เราจะไปกำจัดพวกมันให้”
ความเป็นระเบียบนี้คือเอกลักษณ์ของมิโคโตะ
ถ้าเป็นคนอื่นๆก็คงจะฆ่าไปแล้วพร้อมคำพูดแนวๆ “เจ้าพวกนี้ก็ควรโดนบดขยี้ทิ้งไปด้วยเหมือนกันแหละน่า” แล้วค่อยมารายงานเรื่องนี้ทีหลัง
“พวกท่านโดนไล่ตามหรือ?”
เจ้าชายอาชีลว่าพลางเสียบดาบกลับเข้าฝัก เขาทำสีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่าเขาไม่มีความตั้งใจจะสู้อีกต่อไป
“ก็คงอย่างนั้น พอจะสนุกก็ต้องหยุดซะแล้ว แย่จริงๆที่ทำตัวแบบนี้”
ผมปล่อยให้ปลายดาบชี้ต่ำลงไปที่พื้น
“เอานะ ยังไงข้าก็ไม่ไหวแล้วละ การเสริมแกร่งทางกายภาพของข้ากำลังจะหมดแล้วนะ”
“ฮ่า… ยังซ่อนอาวุธลับไว้อีกสินะ แต่นายก็แข็งแกร่งดีจริงๆ ถ้าผลบัพยังไม่หายไปหมดก็แปลว่ายังสู้ได้อีกนิดสินะ? เราอยากแก้แค้นให้แผลเมื่อกี้นะ”
ผมว่าพลายยกดาบขึ้นมาชี้เขา แต่เจ้าชายเองก็ชี้ไปที่แผลบนไหล่
“ถ้าจะว่าอย่างนั้น ข้าเองก็โดนฟันมาเหมือนกันนะ วันนี้นับเป็นเสมอแล้วค่อยมาถกเถียงกันต่อวันหลังตามที่ตกลงไว้เถอะ?”
เขายักไหล่ ดูไม่มีใจสู้จริงๆแล้ว
“..เฮ้อ เราค่อยมาต่อกันหลังจากเจ้าได้รับชัยชนะก็แล้วกัน –แต่เราตั้งใจจะเอาชนะพวกขุนนางนั่นมาก่อนเจอเจ้าเสียอีกนะ แล้วก็ถ้าเจ้าตื่นเต้นมากไป เดี๋ยวก็โดนเล่นงานเข้าให้ ระวังตัวไว้ด้วยแล้วกัน”
“ข้าจะระวัง งั้นเงื่อนไขนี้รับได้สินะ?”
“ดีมาก ถ้างั้นเราจะคอยมองอยู่ห่างๆแล้วกัน”
เจ้าชายอาชีลหัวเราะออกมาอย่างสดใส แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นจริงจังอย่างกระทันหันเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ว่าแต่ ชื่อขององค์หญิง ‘ฮิยูกิ’ เนี่ย เป็นพวกชื่อเล่นที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นหรือเปล่า?”
“ไม่ นี่คือชื่อของเรา แต่ก็คงจะมีชื่อที่คล้ายกันอยู่ก็ได้”
ชื่อที่ซ้ำกันจะถูกปฏิเสธ ดังนั้นจึงมีเพียงหนึ่งเดียวในเซิฟเวอร์ แต่ตัวคันจินั้นมีหลากหลายรวมถึงเสียงเดียวกันด้วย เพราะงั้นจึงใช่ว่าจะมีแค่ผมคนเดียว
“งั้นหรอ –อันที่จริง พ่อข้าเคยเล่าเรื่องยุคที่สาบสูญให้ฟังมาก่อน และชื่อเดียวกันนี้ก็อยู่ในนั้นด้วย ข้าเลยอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือมีความเชื่อมโยงอะไรกันหรือเปล่า”
‘ยุคที่สาบสูญ’ –-คำที่ไม่คาดคิดทำให้ผมขยับเข้าใกล้เจ้าชายอาชีลไปโดยไม่รู้ตัว
“..เจ้าหมายความว่าไง? มีชื่อเราอยู่ในนั้น?”
เจ้าชายดูจะตกใจกับท่าที่ของเธอจึงชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“ไม่ใช่ขนาดนั้น เป็นแค่เรื่องเล่าปรัมปราของราชวงศ์อมิเทียนะ อย่างเช่นในยุคที่สาบสูญ ผู้คนมีพลังราวกับพระเจ้า หรืออย่างเช่นความตายและความหิวโหยไม่เคยมีอยู่ หรือมีปราสาทยักษ์ลอยอยู่บนท้องฟ้า”
อ๋า ปราสาทนั่นยังลอยอยู่ดีไม่มีปัญหาอะไร
“ผู้คนถูกชี้นำด้วยเหล่าเชื้อสายพระเจ้า และหนึ่งในนี้ชื่อว่า ฮิยูกิ อะไรทำนองนั้นนะ”
หืม แค่นี้ไม่นับเป็นข้อมูลมากพอที่จะตัดสินใจได้ ค่อนข้างจะพูดยากเลยละ
แต่ถึงอย่างนั้น ก็แทบจะยืนยันได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า โลกใบนี้เกี่ยวข้องกับ E.H.O ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“มีบันทึกโดยละเอียดกว่านี้เรื่องยุคที่สาบสูญอีกไหม?”
“ข้าว่าคงจะยาก ท่านพ่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเหมือนนิทานเรื่องนึง แต่ถ้าจะมีที่ไหนที่มีบันทึกโดยละเอียดแล้วละก็ คงจะเป็นที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งอีออน”
“–อีออน ถ้าข้าจำไม่ผิด มันคือประเทศที่คลั่งไคล้แนวคิดมนุษยนิยมเหนือสิ่งอื่นใดสินะ?”
“ใช่ และพวกเขายังจำกัดสิทธิของผู้ไม่ศรัทษาจากอาณาจักรอื่นๆด้วย การจะยืนยันให้แน่นอนเลยทำไม่ได้นะ”
อืม.. ผมกอดอกครุ่นคิด ก่อนที่จะได้ยินเสียงล้อเกวียนจากกลุ่มไล่ล่าใกล้จะมาถึง
“เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง เรากับมิโคโตะจะอยู่ที่นี่เพื่อรั้งกลุ่มไล่ล่า พวกเจ้ารีบไปเถอะ”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงละครับ?”
ผมโบกมือตอบให้คำถามของเจ้าชายอาชีล
“เอาละ เราได้ถามเรื่องที่อยากรู้ ดังนั้นเราจะจัดการพวกไล่ล่านี่และกล่าวลา –โอ้ะ ฝากความคิดถึงถึงแองเจลิก้าด้วย เราจะไปเยี่ยมหากมีเวลา”
“เข้าใจแล้วครับ งั้นคงต้องกล่าวอำลากัน ณ ตรงนี้ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรงจนกว่าจะพบกันใหม่”
กล่าวจบ เจ้าชายอาชีลก็คว้ามือผมไปจูบอีกครั้ง
อ่า ผมตอบโต้ไม่ทันอีกแล้ว…
มิโคโตะมองมาด้วยสายตาที่ว่า ‘ยังไงก็ฆ่าเจ้านี่กันเถอะคะ?’ ด้วย แต่ผมก็ส่งสายตากลับไปว่า ‘เอาเถอะ เอาไปลงกับพวกไล่ล่าแทนก็แล้วกัน’
“จนกว่าจะถึงวันที่เราได้พบกันใหม่ หรือจะบอกว่า วันที่เราได้แก้มือดีนะ”
ผมว่าก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของเจ้าชาย และฮีลเขา
“โอ้ นี่สิการอวยพรของจริง ไว้พบกันใหม่!”
แล้วเจ้าชายอาชีลก็จากไปด้วยความเร่งรีบอันสง่างาม
ให้ตายเถอะ…
หลังจากกล่าวคำลาเล็กน้อยกับแองเจลิกาและเซอร์คาร์โล ทั้งหมดก็รีบจากไป –ถึงแม้ว่าแองเจลิกาจะหันกลับมามองผมด้วยความเป็นห่วงอยู่หลายครั้ง — ผมมองตามรถม้าไปด้วยความรู้สึกเหงาเล็กน้อย
“เอาล่ะ มิโคโตะ ไปกันเลยมั้ย?”
ผมเรียก กิลส์ เดอ เรยส์ มาแทน ‘ดาบวารี’ และเตรียมตัว
“รับทราบแล้วคะ องค์หญิง”
มิโคโตะถือคทาศักดิ์สิทธิ์ตามมาจากข้างหลัง
อา เรื่องมากมายเกิดขึ้น แต่พวกเขาเป็นพี่น้องที่น่าสนุกจริงๆ
ผมไม่รู้ว่าอุดมคติอันใสซื่อของพี่ชายจะสำเร็จถึงระดับไหน แต่ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้
ลงสองตอนติดดดด เย้
แต่อาทิตย์หน้ากลายเป็นสามวันหนึ่งตอนเหมือนเดิมคะ ฮาาาา
{ไทยพาณิชย์ นางสาว ทยาธร อนันต์มานะ 162-246448-2}
สนับสนุนคนติดเกมได้ตรงนี้คะ เปิดทิ้งไว้เฉยๆทั้งวันจนแบตมือถือจะเสื่อมหมดแล้วเจ้าคะ
ขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงตรงนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่คะ