[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่ - ตอนที่ 89 [3] การตรวจสอบ [Part 3]
- Home
- [นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่
- ตอนที่ 89 [3] การตรวจสอบ [Part 3]
วันที่ 3 นับจากที่เราออกมาจากหมู่บ้านกัน
พวกเรามาถึงจุดหมายของเรากับปลายทางที่ตั้งไว้ได้โดยที่ไม่ต้องเจอปัญหาอะไรใหญ่โตนัก
ถึงเมื่อคืนเราจะเจอเสียงแจ้งเตือนก็เถอะ แต่กลายเป็นว่ามันเป็นแค่พวกตัวที่ค่อนข้างอ่อนแอ พวกคุณอังเดรก็เลยรีบจัดการมันจนเรียบร้อย ก่อนจะกลับไปนอนต่อ
ต้องขอบคุณโฟลทติ้งเต็นท์ด้วย พวกเราก็เลยไม่ต้องเจอภาวะอดนอน สุขภาพพวกเรายังสมบูรณ์แข็งแรงดีเลย
“แล้วนี่ บนเขาลูกนี้มีเฮล เฟลม กริซลีอยู่ด้วยสินะ?”
“ในทางเทคนิคแล้ว พวกมันควรจะอยู่ที่นี่นะคะ เว้นเสียแต่ว่าฝูงนั้นจะมาจากที่อื่นไกลๆ ซักที่นึงไปเลย”
ภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน เลยจากตรงกลางของส่วนลาดชันขึ้นไปก็แทบจะไม่มีต้นไม้อยู่เลย
ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับเรื่องนั้น พลางแก้ไขบางจุดให้คุณอังเดรเล็กน้อย
ตามที่หนังสือของฉันบอก นี่คือแหล่งที่อยู่ของพวกมันที่ใกล้กับหมู่บ้านที่สุดแล้ว
หินอัคคีที่กระจัดกระจายอยู่ที่ภูเขาลูกนี้เป็นแหล่งอาหารหลักของพวกเฮล เฟลม กริซลีนี่แหละ… อาจจะแปลกซักหน่อยที่พูดแบบนี้ แต่มันคือสิ่งที่มันกินเพื่อมีชีวิตอยู่เลยล่ะ
ถ้ามันไม่ได้กิน มันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันก็เลยไม่ค่อยจะออกมาจากแหล่งที่อยู่ของมันเท่าไหร่
แต่ว่า ถ้าเกิดพวกมันถูกบังคับให้ต้องออกมาด้วยเหตุผลอะไรซักอย่างล่ะก็ มันจะทำให้เกิดเหตุคลุ้มคลั่งแบบนั้นขึ้น
“ไม่มีวี่แววว่าภูเขาจะถล่มหรืออะไรแบบนี้เลยนี่ คิดว่านะ”
“พวกฉันไม่รู้ว่าหน้าตาภูเขาแต่เดิมแล้วเป็นยังไงนะคะ มันก็มีควันอยู่แต่… ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะระเบิดนี่นา”
“นี่ ซาราสะจัง คงไม่ใช่ว่าจู่ๆ มันก็จะระเบิดขึ้นมาซะดื้อๆ ใช่มั้ย?”
“คงบอกไม่ได้หรอกนะคะว่าไม่มีทางเกิดขึ้น แต่คิดว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ นอกจากว่าเราจะดวงกุดกันจริงๆ”
ถึงฉันจะลองถามผู้ใหญ่บ้านทางคุณเอรินไปแล้วก็นะ แต่ดูเหมือนจะไม่เคยมีเหตุภูเขาไฟระเบิดที่ส่งผลรุนแรงกับหมู่บ้านเลยซักครั้งนะ อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตของผู้ใหญ่บ้านนี่แหละ
แต่ถ้าเป็นการปะทุแบบเล็กๆ เนี่ย เราก็คงไม่รู้หรอก ฉันว่ามันคงจะขึ้นอยู่กับดวงแล้วล่ะ
“ดวง เหรอ… ฉันชักไม่ค่อยมั่นใจซะแล้วสิคะ”
“ถึงเมื่อวันก่อนจะเกือบไม่รอดแล้ว แต่ก็ยังรอดชีวิตมาได้อยู่ ฉันว่านั่นก็ดวงดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
“ก็ซาราสะจังอยู่ที่นี่ด้วยนี่ เพราะงั้นก็ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“ฉัน น่ะเหรอคะ? ฉัน โชคดีงั้นเหรอ?”
ได้ยินคุณอังเดรพูดแบบนั้น ฉันก็ได้แต่เอียงคอสงสัย
พ่อกับแม่ของฉันที่สุดท้าย ต้องจากไประหว่างการเดินทางไปดำเนินธุรกิจ แบบนี้มันดวงไม่ได้ดีซักหน่อยนะ
ยังโชคดีอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าที่ฉันอยู่ก็ไม่ได้เป็นที่ที่แย่อะไร
เรื่องที่ฉันได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุนี่ ไม่อยากมองว่าเป็นเรื่องโชคนะ มันเป็นเรื่องของทักษะฝีมือมากกว่า
แต่ที่ได้เจอร้านของอาจารย์นี่ จะมองว่าโชคดีก็คงได้มั้ง?
ประกาศรับคนงานที่แปะอยู่หน้าร้านของอาจารย์นั่น ฉันก็ไปเจอโดยบังเอิญเท่านั้นเอง
ทุกคนในหมู่บ้านเองก็เป็นคนดีกันด้วย อย่างโลเรียจังนี่ไง
รวมๆ แล้ว… ดวงฉันก็ดูเฉยๆ นี่นา
แล้วคุณอังเดรก็ส่ายหัวพร้อมกับส่งยิ้มแหยๆ มาให้ พอเห็นว่าฉันนิ่งครุ่นคิดเสียยกใหญ่เลย
“ไม่มีอะไรหรอก พวกข้าน่ะโชคดีแล้ว ตั้งแต่ที่ซาราสะจังมาที่หมู่บ้านเลยล่ะ”
“อีกอย่าง ตอนเจอการคลุ้มคลั่งของเฮล เฟลม กริซลี พวกข้าก็รอดมาได้โดยที่บาดเจ็บแค่นิดๆ หน่อยๆ เอง เมื่อวันก่อนที่โดนเรื่องน้ำผึ้งไปนั่นก็ได้หนูช่วยไว้ด้วย”
“ใช่ๆ พวกข้าน่ะโชคดีมากเลยนะ ว่ามั้ยล่ะ?”
“ถ้าพูดกันแบบนั้น… ฉันก็ดีใจค่ะ”
ฉันพยักหน้า เห็นด้วยกับเรื่องที่พวกคุณอังเดรว่า แก้มเองก็หย่อนลงแบบไม่ได้ตั้งใจเลยด้วย
พวกเขาคิดว่าการได้เจอกับฉันถือเป็นเรื่องโชคดีด้วยล่ะ ดีใจจัง
“ถ้างั้น เราลองเชื่อมั่นในดวงของเราดู แล้วก็มาปีนขึ้นไปกันดีกว่านะ”
“นั่นสินะคะ อ๊ะ แล้วก็เพราะครั้งนี้เราเดินทางมาเพื่อจะค้นหาสาเหตุ ฉะนั้นถ้าไปเจออะไรเข้าก็อย่าเพิ่งผลีผลามทำอะไรลงไปนะคะ เป็นไปได้มากเลยค่ะว่ามันอาจมีอะไรบางอย่างที่ไล่เฮล เฟลม กรีซลีออกมาจากที่อยู่ก็ได้”
พวกคุณอังเดรพยักหน้าตอบรับคำทักท้วงของฉันกันอย่างจริงจัง ก่อนจะเริ่มปีนเขาขึ้นไป
ถึงเขาลูกนี้จะไม่มีทางขึ้นดีๆ อยู่ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ชันอะไรมากขนาดนั้น หลังจากที่แหวกฝ่าพืชพรรณต้นไม้มาได้ครึ่งวัน พวกเราก็ปีนขึ้นมากันได้ครึ่งทางแล้ว ต้นไม้รอบๆ พวกเราก็บางตาลงไปด้วยเหมือนกัน
พื้นดินเองก็เริ่มชักจะอุ่นๆ ขึ้นมาแล้ว บางจุดก็มีไอน้ำพุ่งขึ้นมาจนสังเกตเห็นได้
“แถวๆ นี้มีหินอัคคีกระจายอยู่เกลื่อนเลย ถ้าเจอก็ช่วยเก็บกลับมาหน่อยนะคะ ไว้เราค่อยหาวิธีจัดการมันอีกที”
ของมันก็อาจจะไม่ได้ชิ้นใหญ่อะไร คุณค่าในเรื่องการเป็นศิลาเวทไฟเองก็ไม่ได้สูงด้วย แต่ยังไงในฐานะวัตถุดิบเล่นแร่ ราคารับซื้อมันก็ไม่ได้ถูกอะไร
ในเมื่ออุตส่าห์ขึ้นมาถึงที่นี่แล้วทั้งที ไม่เก็บกลับไปก็เสียของแย่สิ แต่พอได้ยินที่จากที่ฉันบอกไป คุณไอริสก็อ้าปากจะพูดด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่สบายใจนิดหน่อย
“นายท่านผู้จัดการ ฉันไม่เคยเห็นหินอัคคีมาก่อนเลยนะคะ…”
พอฉันหันไปดูหน้าคนอื่นๆ ด้วยแล้ว… อืม ถ้าไม่เคยเห็นพวกมันเป็นประจำ ก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ
“เออ… นี่ คือหินอัคคีค่ะ”
ฉันมองดูรอบๆ พอเจอหินอัคคีแล้วก้อนนึงก็หยิบขึ้นมาให้ดู
เป็นก้อนหินสีดำเหลื่อมแดง มีผิวหน้าแวววาว แตะแล้วจะรู้สึกอุ่นอยู่นิดๆ
มองไกลๆ มันก็อาจจะไม่ได้เด่นสะดุดตาในทันทีอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ต่อให้เป็นมือสมัครเล่นก็สามารถแยกออกได้ง่ายๆ เลย
และมันก็แข็งเป๊กอย่างที่เห็นนี่แหละ จะทุบให้แตกโดยไม่ใช้ค้อนนี่ก็ยากใช้ได้เลย แล้วก็แน่นอน คนธรรมดาไม่มีทางเคี้ยวมันได้อยู่แล้ว
การที่เฮล เฟลม กริซลีมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเคี้ยวหินนี่กินเป็นอาหารเนี่ย ทำให้อสูรร้ายเป็นสิ่งที่ลึกลับจริงๆ เลยนะ
สงสัยจังว่าพวกมันจะมีปัญหาอย่างแก่ลงแล้วฟันไม่แข็งแรงเท่าเดิมหรืออะไรแบบนั้นหรือเปล่านะ?
“ปกติ มันจะกลิ้งอยู่แถวบริเวณที่พื้นดินร้อนนะคะ”
“เห ถ้างั้นตรงที่ไอน้ำพ่นออกมานี่ก็―”
“เดี๋ยวค่ะ!!”
ฉันรีบหยุดคุณกิลที่เดินอาดๆ เข้าไปตรงนั้นเอาไว้ได้ก่อนพอดี
“คุณกิลคะ ก่อนที่คุณจะเดินไปตรงนั้น ฟังคำอธิบายของฉันก่อนค่ะ”
“อ- โอ้…”
“แน่นอนค่ะว่าบริเวณที่มีไอน้ำพุ่งออกมาจะมีอุณหภูมิสูงจริง แต่ก็มีอันตรายจากแก๊สพิษที่สามารถทำให้คุณหมดสติได้ในทันทีอยู่ด้วยค่ะ ไหนจะความเสี่ยงที่อาจเกิดการระเบิดอย่างปุบปับจากไอน้ำร้อนสูงหรือน้ำเดือดจัดอีก”
แถมแก๊สพิษยังมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีก วี่แววสัญญาณที่เตือนให้รับรู้ก่อนว่าจะมีการปะทุของน้ำร้อนก็ไม่มีด้วย
ที่ส่วนใหญ่มันก็ปลอดภัยอยู่นั่นแหละ แต่ที่ที่อันตรายแบบนั้นเองก็มีอยู่เหมือนกัน
คือฉันเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้วย คงตัดสินชี้ชัดไม่ได้หรอกว่าตรงไหนอันตรายกันแน่ ความปลอดภัยส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องของดวงล่ะนะ
“ก็ อย่างที่ว่าเลยค่ะ… เชิญเดินต่อได้เลย”
ตอนที่ฉันบอกไปว่า “เชิญเลย” พร้อมกับชี้ไปตรงที่มีไอน้ำพุ่งออกมา คุณกิลก็ส่ายหน้าอย่างลนลาน
“ไม่ล่ะ ต่อให้ข้าจะห้าวแค่ไหนก็ตาม! หลังจากฟังคำอธิบายไป ยังไงไม่มีทางไปตรงนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ!?”
“แหงอยู่แล้วล่ะ ต่อให้กิลจะยังหน้าด้านเดินไปอีก ข้านี่แหละจะหยุดเจ้านั่นเอาไว้เอง”
แย่จัง ดูเราจะหาหินอัคคีได้ไม่เท่าไหร่เลย
“คุณผู้จัดการ ไม่มีอาร์ติแฟกต์ (อุปกรณ์แปรธาตุ) ที่จัดการเรื่องพวกนี้ได้เลยเหรอคะ?”
“สำหรับแก๊สพิษ ฉันพกหน้ากากกันแก๊สเอาไว้อันนึงเผื่อไว้แล้ว แต่เรื่องไอน้ำนี่ เรามีของอย่าง [ชุดต้านความร้อน] อยู่นะคะ แต่ยังไม่ได้สร้างเอาไว้เลย”
เพราะหน้ากากกันแก๊สน่ะชิ้นเล็ก รีบๆ ก็ทำเสร็จทันได้ แต่ชุดต้านความร้อนนั้นจำเป็นต้องทำชุดบอดี้สูทหนังเต็มตัวไว้ก่อนจะเล่นแร่แปรธาตุ ของชิ้นนี้ก็เลยต้องรอเอาไว้ก่อน
สมัยตอนอยู่ที่ร้านของอาจารย์ ของพวกนี้จะให้ช่างผู้เชี่ยวชาญสร้างแยกเป็นชิ้นๆ ไป… แต่ข้อเสียของการมาอยู่ในแถบชนบทแบบนี้ อย่างนึงก็คือเรื่องความยากในการว่าจ้างบุคคลภายนอกนี่แหละ
แถมประโยชน์ของชุดต้านความร้อนยังจำกัดอีกต่างหาก
มันทนความร้อนจากไอน้ำหรือน้ำเดือดไว้นะ แต่มันไม่ได้คงทนถึงขนาดจะต้านลมหายใจเพลิงหรือการโจมตีรูปแบบคล้ายๆ กันได้ไหวหรอก แล้วเพราะว่าชุดมันสวมเข้าไปทั้งตัว การจะขยับตัวไปมาโดยที่ใส่ชุดนี้ไว้ก็จะยากลำบากอยู่ด้วย
ยิ่งกว่านั้น ถ้าไม่ได้เพิ่งระบบทำความเย็นเอาไว้ในชุดด้วยล่ะก็ ข้างในชุดจะร้อนเหมือนอบซาวนาเลย เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้ใช้นอกจากมาที่แบบนี้ก็เลยแทบจะไม่มีเลย
“หรือก็คือ ไม่มีวิธีจะเลี่ยงอันตรายเลยสินะ น่าเสียดายนิดหน่อยเหมือนกันแฮะ”
“เอาเป็นว่าครั้งนี้ ใช้วิธีเก็บของโดยรักษาระยะที่ปลอดภัยเอาไว้แล้วกันค่ะ ถ้าจำเป็นจริงๆ ไว้เตรียมอาร์ติแฟกต์พวกนั้นมาด้วย พวกเราค่อยกลับมาก็ได้ ดีมั้ยคะคุณผู้จัดการ?”
“ค่ะ ไม่มีปัญหาเลย ฉันไม่ติดอะไรหรอกค่ะ ยังไงการเก็บรวบรวมวัตถุดิบมาก็เป็นเหมือนการเพิ่มเงินรางวัลของทุกคนขึ้นมานี่คะ?”
วัตถุดิบที่เก็บรวบรวมมาระหว่างการเดินทางนี้ ทั้งหมดก็จะถูกฉันรับซื้อไปอยู่แล้ว เงินที่ได้ก็จะแบ่งให้พวกเราทุกคน รวมตัวฉันเองด้วย
แต่หลักๆ มันก็เป็นส่วนเสริมเพิ่มเติมล่ะนะ จำนวนมันเลยไม่ได้เยอะอะไรมากมายขนาดนั้น
เงินตอบแทนแต่เดิม ทางหมู่บ้านจะเป็นคนจ่ายให้ ส่วนของฉันจะได้เป็นสวนสมุนไพรแทน
สำหรับคนที่อยากจะสร้างของนู่นนี่นั่นให้มันหลากหลายแล้วเนี่ย ที่ฉันอยากได้คือวัตถุดิบที่หลากหลายมากกว่าวัตถุดิบปริมาณมากๆ ล่ะนะ เพราะแบบนั้นฉันเลยไม่ต้องฝืนตัวเองเก็บวัตถุดิบไปเยอะๆ ก็ได้
“ถ้างั้น เก็บไปแค่ตรงที่ดูปลอดภัยระหว่างทางก็พอ แบบนี้ดีมั้ยคะ?”
“นั่นสินะคะ งั้นเราไปตามทางที่เวทมนตร์ตรวจจับของฉันจับปฏิกิริยาได้ก็แล้วกันค่ะ”
หลังจากที่ปีนขึ้นมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงโดยที่เลี่ยงจุดที่มีไอน้ำพุ่งออกมาไปด้วย พวกเราก็มาเจอกับกิ้งก่าตัวใหญ่ จากหัวถึงหาวยาวเกือบเมตรครึ่ง ตัวเป็นสีแดงก่ำไปทางน้ำตาล
ลำตัวมันใหญ่กว่าเอวฉันอีก หลังของมันเป็นผิวหนังที่ทั้งแข็งทั้งหยาบกระด้าง
เราเว้นระยะห่างออกมาพอประมาณ ยั้งเท้าเอาไว้แค่นี้ ยังไม่แน่ใจว่าเจ้านั่นรู้สึกถึงพวกเราหรือยัง แต่ดูจากการเคลื่อนไหวอย่างเรื่อยเฉื่อยสบายๆ ของมันแล้ว อย่างน้อยมันก็ยังไม่ระแวงภัยล่ะนะ
“เป็นกิ้งก่าที่ตัวใหญ่ชะมัดเลยแฮะ? ซาราสะจัง นั่นอะไรน่ะ?”
“นั่นคือ [กิ้งก่าลาวา] ค่ะ รู้จักกันอีกชื่อว่า [ซาลามานเดอร์เลียน]”
“อ้อ ทำไมฟังดูเป็นตัวที่แข็งแกร่งจังเลยล่ะคะนายท่านผู้จัดการ!”
ได้ยินคำพูดที่ดูลิงโลดของคุณไอริสแล้ว เพราะอะไรไม่รู้ ฉันเลยเผลอยิ้มแห้งๆ ออกมาเลย
“เขาเล่ากันว่ามันสามารถว่ายในลาวาได้ราวกับกำลังว่ายน้ำเลยล่ะค่ะ…”
“เอ๊ะ? เอาจริง? มันทนร้อนได้ขนาดนั้นเลยเรอะ?”
“ไม่หรอกค่ะ บางที คงเป็นแค่เรื่องโกหกก็ได้ อาจจะนะคะ?”
ฉันส่ายหน้าตอบคุณอังเดรที่จ้องมาด้วยสีหน้าตกใจสุดๆ ไปเลย
ฉันเดาว่าพวกเขาอาจจะเข้าใจผิดจากที่เห็นมันว่ายอยู่ในน้ำสีแดงที่ผุดขึ้นมาในบริเวณภูเขาไฟก็ได้ล่ะมั้ง
แต่ก็ดูเหมือนพวกมันจะทนความร้อนได้ค่อนข้างสูงเลย พวกมันทนน้ำที่ร้อนจัดได้ แล้วก็มีความต้านทานต่อเวทมนตร์ไฟได้พอสมควรเลยด้วย
กลับกัน พวกมันอ่อนไหวต่อความเย็นมากๆ ถึงขนาดที่แค่อากาศอุ่นๆ แบบช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็ยังทำให้มันนิ่งไม่ขยับได้แล้ว
เพราะแบบนั้น บริเวณแบบนี้ที่พื้นดินอุ่นตลอดปีก็เลยเป็นแหล่งที่อยู่ในอุดมคติของมันไปโดยปริยาย
TN: โอ้ ดูจะได้เรื่องแล้วแฮะ
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r