[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 98 การพัฒนาสามขั้น
ม่านตาจำลองธรรมชาติ!
สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการคล้ายเทอโรซอร์ขนาดยักษ์กำลังพุ่งเข้าหาพวกไป๋อี้อย่างดุร้ายก่อนที่มันจะรู้สึกสับสนงุนงง จากนั้นก็ค่อย ๆ ล้มลงไปต่อหน้าไป๋อี้และพวก ในเวลานี้ไป๋อี้เดินตามโม่โม่มาและมือขวาของเขาก็ลูบไปที่หลังของเธอก่อนที่เขาจะดึงมีดสั้นที่ทำจากวัสดุพิเศษของโม่โม่ออกมา หลังจากถือมีดสั้นไป๋อี้ก็เดินไปหาสัตว์ที่มีวิวัฒนาการคล้ายเทอโรซอร์ตัวนั้น
ทุกคนมองไปที่ไป๋อี้อย่างเงียบ ๆ ไป๋อี้วางมีดสั้นที่คอของเทอโรซอร์ มีดสั้นเสียดสีกับผิวหนังของเทอโรซอร์เกิดเป็นเสียงดังครืดคราด สีหน้าเขาเวลานี้ดูเย็นยะเยือกและเคร่งขรึมเป็นอย่างมากมาก
“หนีไป!”
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าไป๋อี้จะฆ่าเทอโรซอร์ ไป๋อี้ก็หันกลับมาและตะโกนบอกทุกคน ในขณะนั้นเองเทอโรซอร์ก็ดูเหมือนจะตื่นขึ้นมาจากภวังค์เช่นกัน แต่ทันใดนั้นมันก็ถอยห่างออกไปทางด้านหลังด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็อ้าปากข่มขู่ไป๋อี้ อย่างไรก็ตามการกระทำของเทอโรซอร์นี้ดูเหมือนจะเป็นการข่มขู่โดยสัญชาตญาณที่ดุร้ายของมันเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าไป๋อี้ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นเทอโรซอร์ก็กางปีกและบินออกไปราวกับต้องการหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว
ในขณะเดียวกันวูล์ฟก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามา เมื่อทุกคนกำลังคิดว่าเขาจะทำอะไร วูล์ฟก็เอียงศีรษะและมองไปที่ไป๋อี้ วูล์ฟมึนงงไปในทันทีที่เขาเห็นดวงตาของไป๋อี้ หลังจากนั้นไม่นานไป๋อี้ก็กระแทกมีดเข้าที่ศีรษะของเขาก่อนที่เขาจะได้สติขึ้นมา
“นายทำอะไรน่ะ?”
“ไม่ไม่ไม่ เป็นแค่ความอยากรู้เท่านั้น ดวงตาของนายกลายเป็นอะไรกันแน่ ถ้ามันเป็นแค่การจำลองสีธรรมชาติธรรมดาๆก็ดูไม่น่าจะเป็นไปได้” วูล์ฟถามอย่างสงสัย แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่แค่ภาพจำลองทั่วไป ไป๋อี้รู้ว่าดวงตาของเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึงสามขั้น
“ฉันจะคุยเรื่องนี้ทีหลัง ว่าแต่เพื่อน ๆ ตรงนั้นจะไม่ออกมาก่อนหรือ?” ไป๋อี้พูด
ทุกคนมองไปที่พุ่มไม้ในระยะไกล กัปตันที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เห็นท่าทางของกลุ่มไป๋อี้และรู้ว่าเขาถูกพบเข้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ฉากที่ไป๋อี้จัดการกับเทอโรซอร์มันเกิดอะไรขึ้น?
กัปตันหัวโล้นเดินออกมา ด้านหลังยังมีคนอีกสี่คน เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้กลายเป็นผีเฝ้าที่นี่ พวกเขาส่วนใหญ่รอดชีวิตและหลังจากเครื่องลงจอดแล้วพวกเขาก็ซ่อนตัวเป็นอย่างดี คนกลุ่มนี้ล้วนถือปืนกลมือและอาวุธอื่น ๆ ไว้ที่หลัง แต่ไม่ว่าจะมองยังไงพวกเขาก็ไม่ได้ดูน่าเกรงขามหรือมีอำนาจเหนือกว่า ทุกคนมองไปที่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ อย่างระมัดระวัง หากไม่ใช่เพราะไป๋อี้และคนอื่น ๆ พูดภาษาอังกฤษพวกเขาก็คงยิงไปแล้ว
“ฉันชื่อบอสเตอร์ เป็นกัปตันของหน่วยนี้”
“ฉันไป๋อี้ เคยเป็นมนุษย์มาก่อน!” ไป๋อี้พูดไปพร้อมกับรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋อี้ สมาชิกในทีมก็ยกปืนกลขึ้นทันที กัปตันหัวโล้นยังคงสงบนิ่ง เขาหยุดแรงกระตุ้นของคนของเขาไว้และเดินเข้ามา แม้ว่าไป๋อี้ดูเหมือนจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่ยังอยู่ที่นี่ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้ ซึ่งก็ไม่เลวร้ายนัก
“ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกนายยังนับว่าเป็นมนุษย์อยู่” กัปตันหัวโล้นพูด
“อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ดีเลยล่ะ” ไป๋อี้พูดอย่างไม่แยแสนัก
“ฉันไม่คิดว่าพวกคุณมีแผนจะค้างคืนในป่าใช่ไหม ไปที่ชายขอบของเมืองกันเถอะ” ไป๋อี้พูดแล้วเดินนำไปตามทาง
ผู้กองหัวโล้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เดินตามไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ซึ้งถึงการเปลี่ยนแปลงมากมายในนิวซีแลนด์ หากเฮลิคอปเตอร์ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่ล่ะก็ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย แต่ในเมื่อเฮลิคอปเตอร์ถูกทำลายไปแล้วและความเป็นไปได้กว่า 80% ที่จะไม่มีใครส่งคนมารับพวกเขาอีก กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาต้องพึ่งพาตัวเอง เห็นได้ชัดว่ากลุ่มไป๋อี้มีความเป็นมนุษย์ที่ยังอยู่ในเมืองนิวซีแลนด์แห่งนี้ การติดตามพวกไป๋อี้ไปพวกเขาจะสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นไปในนิวซีแลนด์ขณะนี้ได้
ในเขตเมืองแห่งนี้ยังคงเป็นที่มั่นของราชาหนู ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่ได้เข้าไป พวกเขาพบสถานที่ริมขอบเมืองที่อาจยังพออาศัยอยู่ได้
“ระวังหน่อย อย่าโจมตีมั่ว ๆ ตามอำเภอใจ” ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะเตือนเขาเมื่อเห็นว่าคนในทีมนี้รู้สึกประหม่าจากหนูที่อยู่รอบ ๆ
“พวกมันคืออะไร?” ท้องฟ้ามืดลงและสายตาของคนธรรมดาเหล่านี้ก็มีความสามารถในการมองเห็นที่ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาเห็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตบางอย่างที่วิ่งไปมาในเงามืดที่ดูเหมือนพวกมันจะพยายามซ่อนตัวอยู่
“สัตว์ประหลาดหนู ที่เดิมทีเคยเป็นหนูธรรมดา แต่ตอนนี้มันได้รับเซลล์ดัดแปลงแฝงอยู่ในร่างกายและผสานรวมเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดหนูระเกะระกะไปทั่ว แน่นอนว่าตอนนี้มันเป็นเจ้าของเมืองไปแล้ว” ไป๋อี้อธิบายอย่างเรียบง่าย
“เจ้าของเมือง?” ทุกคนในหน่วยล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ
“มนุษย์ออกจากที่ตั้งถิ่นฐานเมืองเดิมของตัวเองไปแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้พวกมันกลายเป็นเจ้าของเมืองไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตามถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่าโจมตีพวกมัน ฉันคิดว่าตราบใดที่เราอยู่ที่นี่พวกมันก็จะไม่โจมตีเรา”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะพวกมันไม่ต้องการเสียสละเลือดเนื้อโดยไม่มีเหตุผล แม้ว่าพวกมันกำลังมองหาเหยื่ออยู่ แต่พวกมันก็จะล่าในสิ่งที่ไม่เหลือบ่าไปกว่าแรง” ไป๋อี้เหลือบมองหน่วยชุดขาว ราชาหนูได้แสดงความเมตตาแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความจริงใจในความเมตตานี้ อย่างน้อยราชาหนูก็ไม่ส่งคนของเขามาโจมตีไป๋อี้ และไป๋อี้ก็ไม่ต้องการเป็นคนแรกที่เริ่มละเมิดข้อตกลงง่าย ๆ นี้ในฐานะมนุษย์
“ทำอาหารกินกันก่อน มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันหลังจากอิ่มท้องแล้ว” ไป๋อี้พูดขึ้นมาทันทีขณะที่ทุกคนคิดว่าพวกเขาจะแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันในตอนนี้ ทุกคนมองไปที่ไป๋อี้ จากนั้นต่างก็เห็นด้วยกับเขาโดยปริยาย มีเพียงไป๋อี้เท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้จงใจจะยกเรื่องกินมาพูด แต่ร่างกายของเขากำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าต้องการเติมเต็มพลังงาน ไป๋อี้สามารถเดาได้ไม่มากก็น้อยว่าส่วนหนึ่งของสถานการณ์นี้ต้องเป็นการร่ำร้องจากพลังงานพิเศษแน่ ๆ
ไม่มีความสามารถใด ๆ ที่จะไม่มีผลกระทบตามมา ดวงตาของไป๋อี้ได้ผ่านไปถึงขั้นที่สามแล้ว
ขั้นที่หนึ่ง:ตื่นตัว
ตอนที่มาร์ตินเสียชีวิต เลือดของไป๋อี้ก็เดือดพล่านไปทั่วร่างกาย บางทีนี่อาจจะเป็นการผสานยีนขั้นล้ำลึกที่ไนท์พูดถึง ในเวลานั้นดวงตาของไป๋อี้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก สีสันตามร่างกายจากสีสันเตือนภัยและสีสันพรางตาสร้างความสับสนถูกผสานเข้าไปในในดวงตาและขยายออกในม่านตาของเขา
ขั้นที่สอง:ตอนที่ไป๋อี้ได้ยินเรื่องการตายของหงฉี่ฮว๋า
ในตอนนั้นดวงตาที่เพิ่งตื่นตัวขึ้นได้มีการพัฒนาขึ้นอีกครั้งซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการใช้สีสันเตือนภัยและสีสันพรางตาสร้างความสับสนเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความสามารถในการสะกดจิตได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามบางทีอาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงที่มากเกินไปและการใช้สายตามากเกินไปในช่วงเวลาสั้น ๆ ดวงตาของไป๋อี้จึงมืดบอดไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนและเพิ่งจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ไม่นานนี้
ขั้นที่สาม:ตอนที่ไป๋อี้เกือบจะถูกวูล์ฟฉีกทึ้งออกจากกัน
ความรู้สึกของไป๋อี้ในตอนนั้นไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นอย่างไร แต่ในชั่วเวลานั้นไป๋อี้ไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเพื่อนร่วมทีมโดยที่เขาไม่รู้ตัว ไม่มีความเต็มใจหรือความปรารถนาที่รุนแรงจะฆ่าเขาเช่นนี้ ไป๋อี้รู้สึกว่าเขาไม่ควรตายแบบนี้ในเมื่อยังมีความเสียใจอีกมากมายที่ยังไม่ได้สะสาง
บางทีการพัฒนามาถึงระดับนี้อาจเพื่อตอบสนองความคิดในใจของไป๋อี้ พลังงานพิเศษในร่างกายของไป๋อี้หลอมรวมเข้าที่ดวงตาของเขาตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติและช่วยขยายพลังของดวงตาของเขา
เช่นเดียวกับมนุษย์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถปรับแรงพละกำลังได้อย่างอิสระ แต่จากหมัดกำปั้นของเขา ความแข็งแกร่งของร่างกายจะรวมตัวเข้าที่กำปั้นโดยอัตโนมัติอย่างไม่มีปัญหาใด ๆ ในทางตรงกันข้ามพลังงานพิเศษนั้นแปลกกว่า สำหรับทุกคนนั้นในการเข้าถึงระดับการใช้ความแข็งแกร่งจากพลังงานพิเศษเช่นนี้อาจจำเป็นต้องมีการชักนำหรือการกระตุ้นบางอย่าง
นอกจากนี้ยังเหมือนกับการออกกำลังกายหลายอย่างที่ใช้พลังงานและเวลาต่อมาก็รู้สึกหิวจัด หลังจากที่ไป๋อี้ได้ใช้พลังงานพิเศษเขาก็รู้สึกหิวเป็นอย่างมาก!
ไป๋อี้ไม่กล้าคิดจริง ๆ เขาใช้สายตาไปไม่ถึงสิบวินาที แต่ในตอนนี้พลังงานพิเศษของเขาถูกใช้ไปมากแค่ไหนแล้ว ดูเหมือนว่าการใช้พลังงานพิเศษจะใช้ได้ไม่จำกัดตราบเท่าที่ร่างกายต้องการ ไม่เหมือนกับการใช้พละกำลังจากร่างกาย บางทีพลังงานพิเศษเหล่านี้อาจระเบิดออกมาได้ในทันที นี่อาจเป็นสาเหตุที่เบ็นสันมีพลังที่เก่งกาจ
ในขณะที่ไป๋อี้นึกถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขา อีกด้านหนึ่งวูล์ฟก็กำลังเสวนากับกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเมามัน คนกลุ่มนี้ค้นพบว่าแม้ว่าตอนนี้วูล์ฟจะดูเหมือนมังกรอ้วน แต่อย่างน้อยบุคลิกของเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์และผู้ชายคนนี้ชอบเรื่องไร้สาระ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับทุกคน
หน่วยรบพิเศษทีมนี้หยิบอาหารของตัวเองออกมาทั้งอาหารกระป๋องและอาหารแห้งอื่น ๆ จากนั้นก็เชิญชวนให้วูล์ฟกินมันด้วยกัน วูล์ฟไม่ปฏิเสธ แต่เขาหยิบกระป๋องขึ้นมาด้วยปลายนิ้วเพียงสองนิ้ว อาหารกระป๋องทั้งหมดนี้จะเติมเต็มความหิวของพวกเขาพียงพอเหรอ?
“หนึ่งอันก็พอแล้ว ของแบบนี้ฉันกินไม่อิ่มหรอก รอให้พวกนายได้ลองลิ้มรสอาหารของไป๋อี้ก่อนเถอะ เขาเป็นเชฟน่ะ” วูล์ฟกล่าวและหยิบอาหารกระป๋องออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อระลึกถึงรสชาติแห่งอดีต
คนในหน่วยนี้รู้ว่าวูล์ฟไม่ได้พูดจาไร้สาระ อาหารเพียงเล็กน้อยของพวกเขาไม่เพียงพอสำหรับร่างกายที่แข็งแรงของวูล์ฟในปัจจุบัน และในเวลานี้ไป๋อี้ก็จัดการเหยื่อที่หนูเหล่านั้นส่งมาให้ มันมีขนาดไม่เล็กมาก โดยมีความยาวเกินหกเมตรและดูเหมือนตัวแบดเจอร์ แต่อันที่จริงมันไม่สำคัญหรอกว่ามันคืออะไรตราบใดที่คุณรู้ว่าของสิ่งนั้นสามารถกินได้ …… แม้ว่ามันจะเคยเป็นมนุษย์มาก่อนก็ตาม
ใช่แล้ว มนุษย์!
อย่างไรก็ตามไม่มีใครพูดอะไรออกมา เหมือนกับวูล์ฟที่ถ้าออกไปข้างนอกในสภาพแบบนี้ ก็คงไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นมนุษย์ ถ้าเขาถูกคนฆ่าจริง ๆ เขาจะต้องได้รับการปฏิบัติเป็นอาหารสัตว์ประหลาดแน่ ๆ และไม่มีความเป็นไปได้ที่สองแน่นอน นิวซีแลนด์ตอนนี้มีแต่ความป่าเถื่อนและโหดร้ายมาก
เมื่อเห็นกลุ่มของไป๋อี้เกือบทุกคนได้รับบาดเจ็บ ผู้หญิงคนเดียวในทีมหน่วยรบพิเศษก็ออกตัวช่วยซึ่งถือได้ว่าช่วยไป๋อี้และคนอื่นๆได้เป็นอย่างดี ในสายตาที่ดูประหลาดใจของคนเหล่านี้ การที่ไป๋อี้ต้องปรุงสัตว์ประหลาดทั้งตัวมันต้องใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมง แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะสภาพของที่นี่ไม่เอื้ออำนวยนัก
“กินกันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” ไอน่าถาม
“ใช่ พอแล้วล่ะ” ไป๋อี้พูดพร้อมกับใช้กะละมังโลหะในห้องเพื่อใส่เนื้อส่วนขาขนาดใหญ่จากนั้นก็เติมน้ำซุปให้เพียงพอแล้วยกออกไปข้างนอก ในเวลานี้หนูหลายตัวที่อยู่ข้างนอกต่างถูกดึงดูดโดยรสชาติของอาหาร ถ้าไม่ใช่เพราะคนของไป๋อี้ยังอยู่ในความสงบ บอสเตอร์และคนอื่น ๆ ในทีมก็คงเริ่มลงมือไปแล้ว
“ช่วยฉันส่งกะละมังไปให้พวกมันหน่อย” ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน ไป๋อี้วางกะละมังโลหะไว้ตรงหน้าหนูที่ดูฉลาดกว่าใครแล้วหันหลังเดินกลับมา
หลังจากไป๋อี้จากมา สัตว์ประหลาดหนูที่อยู่ข้าง ๆ อยากจะลิ้มรสอาหารทันที แต่มันถูกสัตว์ประหลาดหนูอีกตัวปรามไว้ ไป๋อี้จ้องมองทุกสิ่งอย่างลับ ๆ จากหางตาของเขา นี่แสดงให้เห็นว่าความฉลาดของหนูเหล่านี้ไม่น้อยไปกว่าเด็กทั่วไปจริง ๆ