จากการสะกดจิตของไป๋อี้ ในที่สุดวูล์ฟ ชาร์ไป่ และโม่โม่ก็สงบลงมาบ้างแล้ว เวลานี้ไป๋อี้อยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพื่อไปหาสถานที่ปลอดภัยที่จะทำการฝึกฝนมวยไทเก็กอย่างที่ไนท์กล่าวไว้อย่างจริงจัง
“ไป รีบไปจากที่นี่แล้วไปหาสถานที่ที่ปลอดภัยกัน”
“ทำไมต้องไปล่ะ อยู่ในเมืองนี้ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ สัตว์ประหลาดหนูเมื่อกี้มันยังไม่ตาย อีกอย่างนายรู้เหรอว่าในเมืองนี้มีสัตว์ประหลาดหนูอยู่อีกกี่ตัว ตอนนี้ถ้าให้พวกนายต่อสู้อีก มันจะอันตรายเกินไป” ไป๋อี้พูดจบก็พาทุกคนวิ่งออกจากเมืองทันที แต่หลังจากที่พวกเขาวิ่งมาสิบกว่านาที ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าสัตว์ประหลาดหนูพวกนั้นมันมาอีกแล้ว แถมครั้งนี้มันยังมาเยอะกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
ครั้งก่อนพวกมันมาเกือบร้อย ครั้งนี้อย่างต่ำสุดคงจะเป็นพันตัว พวกมันโผล่มารวมตัวกันจากทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้อย่างต่อเนื่อง ทุกคนมองไปที่สัตว์ประหลาดหนูที่ออกมา แววตาของทุกคนล้วนเปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียด พวกเขาไม่ได้กลัวที่จะสู้ไม่ไหว เพียงแต่กังวลว่าวูล์ฟกับชาร์ไป่จะสูญเสียการควบคุมตัวเองอีกครั้ง
“ทำไมถึงมีหนูเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าพวกมันอยู่ในระยะหิวโหยนะ พวกมันกินยังไม่อิ่มอีกเหรอ?”
“เพราะหนูเป็นสัตว์ที่ปรับตัวเข้ากับโลกนี้ได้เร็วกว่ามนุษย์ ทั้งมนุษย์และหนูต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ เพียงแต่ว่ามนุษย์เริ่มเรื่องมากกับการกินอาหารเนื่องจากการใช้ชีวิตที่ผ่านมา แต่หนูนั้นมันสามารถที่จะกินได้ทุกอย่างจริง ๆ ทั้งเนื้อ ลำต้นของพืช ใบไม้ ต้นไม้ …… ล้วนแทะกินจนชิน พืชในนิวซีแลนด์ในตอนนี้โตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกมันไม่อดอยากแน่นอน แต่ว่าพวกมันก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานแล้วดังนั้นถึงได้มีความหิวกระหายขนาดนี้” ไป๋อี้อธิบายอย่างเคร่งเครียด
เหมือนว่าจะเป็นอย่างที่ไป๋อี้พูดจริง ๆ หนูกลุ่มที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่กำลังกินบางอย่างอยู่ในปาก เมื่อพินิจมองดูดี ๆ มันคือซากศพของเพื่อนมันที่พวกเขาฆ่าไปก่อนหน้านี้
พวกหนูไม่ได้มีศีลธรรมอะไรมากเท่ามนุษย์ และเพื่อน ๆ ของมันก็เปลี่ยนไปจนแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นเมื่อตายไปแล้วจึงนำมากินทดแทนเนื้อสัตว์ที่พวกมันไม่ได้กินกันมาเป็นเวลานานได้
สัตว์ประหลาดหนูจำนวนมากขนาดนี้ต้องมีหัวหน้าแน่นอน ไป๋อี้มองไปบนฟ้าและได้เห็นมนุษย์หนูตัวที่สั่งการกลุ่มหนูก่อนหน้านี้ จะใช่ตัวนี้รึเปล่านะ?
อย่างไรซะก็จัดการฆ่าเจ้าตัวนี้ก่อนจะดีกว่า
หลังจากพวกสัตว์ประหลาดหนูกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้น พวกมันชะงักไปพักหนึ่งจากนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาพวกไป๋อี้อีกครั้งอย่างดุร้ายราวกับได้รับคำสั่งบางอย่าง ในตอนนี้พวกไป๋อี้ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หากไม่ตอบโต้เพียงพราะกลัวจะเสียการควบคุมตัวเองแล้วละก็คงได้ถูกพวกหนูฉีกเป็นชิ้น ๆ แน่
เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ไป๋อี้ก็มองไปที่หนูตัวที่อยู่บนฟ้านั้นทันที จากนั้นก็เบิกตากว้าง ทำให้ลวดลายต่าง ๆ ปรากฏออกมาอยากรวดเร็ว
ม่านตาจำลอง—— สะกดจิต!
ดวงตาของไป๋อี้ค่อย ๆ เปลี่ยนลวดลาย และแม้ว่าขณะนั้นมือจะยังทำการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง แต่สองตาของเขากลับไม่ละออกจากทางนั้นเลย
เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดหนูที่อยู่บนฟ้าทั้งสองตัวกำลังเฝ้าดูการต่อสู้ตรงนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อมันกวาดสายตาลงมาก็สบเข้ากับดวงตาของไป๋อี้ทันที มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เพราะหลังจากสัตว์ประหลาดหนูตัวนั้นสบตากับไป๋อี้มันก็รู้สึกสับสนมึนงงแล้วบินเข้ามาหาเขา ส่วนมนุษย์หนูที่อยู่บนหลังของมันก็เกิดความรู้สึกสับสนมึนงงด้วยเช่นกัน
มา เข้ามานี่!
ไป๋อี้พูดในใจ และส่งผ่านคำสั่งนี้ผ่านดวงตาทั้งสองข้างไปยังหนูที่เขาสะกดจิตไว้ทั้งสองตัว แต่ตอนนั้นเองมีดทำครัวของไป๋อี้ก็ถูกกระแทกด้วยพลังอันมหาศาล สัตว์ประหลาดหนูสูงกว่าสามเมตรที่ยืนคล้ายมนุษย์ใช้ท่อนเหล็กขนาดใหญ่ทุบเข้าทีมีดของไป๋อี้
สองโลหะปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังกังวาน ส่งผลให้มีดทำครัวของไป๋อี้หักพร้อมกับที่ไป๋อี้ถูกแรงกระแทกตัวลอยไปข้างหลัง ร่างกายของไป๋อี้ไม่ได้เป็นอะไรมากแต่การสะกดจิตของเขาเนี่ยสิ เพราะร่างกายเขาหมุนตามแรงกระแทกนั้นทำให้สายตาของเขาหลุดออกจากหนูสองตัวนั้น
ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะจับจ้องแค่ตำแหน่งเดิมในระหว่างที่ต่อสู้อยู่ แม้จะเป็นไป๋อี้ก็ไม่สามารถทำได้
ในเวลานั้น เมย์ริสก็รีบเข้ามารับมือกับคู่ต่อสู้ของไป๋อี้อย่างรวดเร็ว ไป๋อี้จึงรีบหมุนตัวกลับไปมองที่หนูสองตัวบนฟ้านั้นอีกครั้ง ไป๋อี้พบว่าเจ้าสัตว์ประหลาดหนูตัวนั้นบินฉวัดเฉวียนไปมาไม่หยุด แต่มนุษย์หนูกลับยืนและกำลังคว้าแผงคอของสัตว์ประหลาดหนูให้กลับมา ด้วยการฉุดกระชากของมนุษย์หนูก็สามารถทำให้สัตว์ประหลาดหนูหยุดและหันกลับมาได้
ถ้ามันหันกลับไปก็แย่น่ะสิ
ไป๋อี้คิดอย่างหงุดหงิดในใจ ตอนนี้ไป๋อี้พบว่าความสามารถของดวงตาเขานั้นจะมีประสิทธิภาพร้ายแรงที่สุดก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายจ้องตากัน
ไป๋อี้หยุดการเคลื่อนไหวทุกย่างของเขาชั่วขณะ แล้วใช้เพียงแค่สองตาจับจ้องไปที่สัตว์ประหลาดหนูอย่างจริงจัง ลวดลายบนตาทั้งสองดวงของเขาเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ราวกับสีสันทั้งหลายของโลกใบนี้ได้มารวมอยู่ตรงนี้แล้ว
สัตว์ประหลาดหนูที่ถูกไป๋อี้จ้องมองต่างก็หยุดอยู่กลางอากาศอีกครั้งหนึ่งแม้แต่มนุษย์หนูที่อยู่บนหลังของมันใช้ไม้เท้าเคาะหัวก็ไม่สามารถปลุกให้เพื่อนของมันตื่นขึ้นมาจากภวังค์ได้
เฮลัวส์เห็นท่าทางของไป๋อี้กับมนุษย์หนูบนอากาศนั้น ก็กางปีกแล้วบินขึ้นไปทางนั้นทันที เมื่อเฮลัวส์ใกล้จะไปถึงหนูสองตัวนั้น ไป๋อี้ก็หลับตาลงเพราะทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหวแล้ว หลังจากนี้ก็ส่งต่อให้เฮลัวส์แล้วกัน คาดว่าเธอคงจะจัดการหนูสองตัวนั้นได้ เพราะแม้ว่าความสามารถของดวงตานี้จะมีประสิทธิภาพที่ดีไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ต้องการจะใช้มันจนถึงขั้นเลือดไหลออกมาทุกครั้ง เมย์ริสบอกว่าหากดวงตาของไป๋อี้ไม่ได้รับการฟื้นฟูจนสมบูรณ์เหมือนเดิม เขาจะคลุ้มคลั่งเหมือนกับพวกวูล์ฟได้เช่นกัน และหากใช้มันบ่อยเกินไปก็อาจจะต้องสูญเสียการมองเห็นไปได้
ส่วนเจ้าสัตว์ประหลาดหนูตัวนั้นหลังจากที่ไป๋อี้หลับตาลง มันก็ยังถูกมนุษย์หนูใช้ไม้เท้าเคาเข้าที่หัวอีกครั้ง จึงทำให้มันได้สติกลับมาทันที เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่ขณะนี้เฮลัวส์ก็ได้บินไปอยู่ตรงหน้าพวกมันแล้ว
หนูตัวที่ถือไม้เท้าอยู่ตกใจมาก แต่เฮลัวส์ไม่สนใจอะไรแล้ว ดาบยาวของเธอฟันลงไปอย่างแรง จนเกิดเสียงโลหะกระทบกันดังกังวาน เมื่อดาบของเฮลัวส์ฟันลงไปที่ไม้เท้าของมนุษย์หนูที่มันเอามาทัดทานไว้จนหักออกเป็นสองท่อน จากนั้นเธอก็ฟันลงไปที่หัวและร่างของมนุษย์หนูรวมทั้งสัตว์ประหลาดหนูที่บินอยู่ด้านล่างต่อทันที
พวกเฮลัวส์ไม่เหมือนกับไป๋อี้ เขาทุกคนล้วนผสานรวมยีนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่คัดสรรมาแล้วแม้ความเป็นจริงมดจะมีจุดอ่อนที่สามารถถูกมนุษย์ใช้นิ้วบี้จนตายอย่างง่าย ๆ แต่นั้นเป็นเพราะขนาดตัวที่แตกต่างกันเกินไปแต่ตอนนี้พละกำลังของมดมาอยู่ในร่างกายของวูลฟ์และเฮลัวส์แล้ว พวกเขาจึงสามารถดึงเอาศักยภาพและความน่ากลัวของพละกำลังนี้ออกมาได้
เพียงดาบเดียว ทั้งมนุษย์หนูและสัตว์ประหลาดหนูสองตัวนี้ก็ถูกฟันจนขาดครึ่ง ร่างโชกเลือดทั้งสองร่วงลงสู่พื้นทันที
นั่นก่อให้เกิดความวุ่นวายกับกลุ่มสัตว์ประหลาดหนูด้านล่างอย่างมาก ไป๋อี้และคนอื่น ๆ จึงฉวยเอาโอกาสนี้ฆ่าพวกมันไปได้จำนวนหนึ่ง แต่พวกหนูเหล่านี้ก็ยังไม่ยอมถอยกลับไปอยู่ดี
ไม่ได้ผลเหรอ หรือว่า?
ไป๋อี้มองกล่มหนูที่ดุร้ายพวกนี้ ในหัวของเขาวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ในโลกที่โหดร้ายแบบนี้ มนุษย์หนูตัวนั้นคงจะไม่สามารถนั่งตำแหน่งราชาหนูด้วยมันสมองธรรมดาแบบนั้น หรือถ้าให้พูดอีกอย่าง หนูตัวที่อยู่บนอากาศเมื่อครู่นี้ อย่างมากที่สุดคงจะเป็นเพียง ‘ผู้ช่วย’ เท่านั้น เกรงว่าราชาหนูตัวจริงคงอยู่ที่อื่น
ในตอนนี้หนูตัวที่อ่อนแอที่ยังไม่ถูกฆ่าตายถูกไล่ให้ไปอยู่ด้านหลัง รอบตัวของพวกไป๋อี้ตอนนี้จึงล้วนแต่เป็นหนูที่มีพลังแข็งแกร่ง โดยส่วนใหญ่ เป็นหนูที่บังเอิญถูกผสานรวมเข้ากับยีนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและเป็นประโยชน์
วูฟล์และชาร์ไป่ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังอดทนกับการควบคุมสติตัวเองอย่างหนัก การต่อสู้ธรรมดาก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาวะคลุ่มคลั่ง ตอนนี้พวกเขาจึงพะว้าพะวงกับเรื่องนี้เมื่อต้องต่อสู้อีกครั้งเพราะการพยายามควบคุมสติเช่นนี้ ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในอันตรายซ้ำ ๆ ในขณะนั้นความมืดมนก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจิตใจของพวกเขา
แย่แล้ว!
เมื่อไป๋อี้เห็นดวงตาที่ดุร้ายขึ้นทุกทีของวูล์ฟและชาร์ไป่ ก็ทำให้เขาคิดขึ้นมาได้
“วูล์ฟ ชาร์ไป่ ไม่ต้องอดกลั้นแล้ว พุ่งออกไปทางทิศที่เราเข้ามาแล้วฆ่าพวกมันให้หมด” ไป๋อี้พูดขึ้น ในตอนนี้ ไม่มีเวลามาพะวงหน้าพะวงหลังแล้ว ตอนนี้ต้องออกไปจากเมืองรังหนูแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน เรื่องหลังจากนี้ค่อนคิดหาวิธีเอาข้างหน้า
หลังได้รับคำอนุญาตจากไป๋อี้ วูล์ฟและชาร์ไป่ก็นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นถึงแววตาที่ฉายออกมาอย่างดุร้ายและความฮึกเหิมจากปากที่คำรามกว้างนั้นได้อย่างชัดเจน เขาทั้งสองพุ่งออกไปทันที พวกหนูที่ขวางทางอยู่ล้วนถูกฟันด้วยง้าวและคมเขี้ยวฉีกทึ้งร่างของพวกมันจนตายสิ้น ชิ้นส่วนแขนขากระเด็นพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นเหล่านี้ทำให้ดวงตาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยสีแดงฉาน
ขณะเดียวกันเหมือนกับว่าโม่โม่ก็ไม่อยากแพ้เช่นกัน ฟันแหลมคมที่คล้ายกับลูกเสือพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ของตัวเอง
ไป๋อี้ไล่ตามโม่โม่ไปติด ๆ เพราะกลัวว่าสภาพแบบนี้จะทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดกับโม่โม่ได้
“พ่อ หนูไม่เป็นไร!” จู่ ๆ โม่โม่ก็พูดขึ้นมา
“ห๊ะ?” ไป๋อี้แปลกใจเล็กน้อย
ไป๋อี้สังเกตสีหน้าของโม่โม่ ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตอนที่ทำภารกิจแสงเลเซอร์ทะลุทางเดินในสถาบันวิจัย โม่โม่ก็ตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป เพียงแต่ดูฮึกเหิมขึ้นเป็นพิเศษเท่านั้น
ทำไมล่ะ?
เรื่องนี้มันสำคัญมาก หากคิดหาสาเหตุออกล่ะก็ เขาอาจจะพบวิธีแก้ไขปัญหาช่วงเวลาที่คลุ่มคลั่งได้ ไป๋อี้ไตร่ตรองในใจอย่างเงียบ ๆ พลางลอบสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ วูล์ฟ ชาร์ไป่ โม่โม่ และเวอร์เนอร์ ฝั่งของวูล์ฟ ชาร์ไป่ และเวอร์เนอร์ต่างตกอยู่ในสภาวะคลุ่มคลั่ง ตอนนี้พวกเขารู้เพียงแค่ตรงไปตามทางและต่อสู้โดยไม่หยุดหย่อน มีแค่เพียงโม่โม่ที่ดูเหมือนว่าจะยังคงสติไว้ได้ เธอแทบจะไม่เปลี่ยนจากเดิม
“โม่โม่ ยังโอเคอยู่ไหม?”
“ยัง … โอเค!” โม่โม่พยักหน้ารับและมองไป๋อี้อย่างตื่นตัว
แน่นอนว่าโม่โม่ไม่สามารถควบคุมความคลุ่มคลั่งได้อย่างสมบูรณ์เพียงแต่เธอไม่ได้ดำดิ่งเข้าสู่สภาวะคลุ่มคลั่งอย่างลึกซึ้งเท่าพวกวูล์ฟเท่านั้นเอง แต่ว่าเพราะเหตุใดกันล่ะ?
MANGA DISCUSSION