[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 92 ไม่มีเวลาให้ล่าช้า
จากนั้นไป๋อี้และทุกคนก็มองหาร่องรอยของถนนก่อนหน้านี้ จากสภาพแวดล้อมโดยรอบและเดินไปในทิศทางที่พืชพันธุ์ค่อนข้างขึ้นน้อย พวกเขาใช้เวลาไม่นานก่อนที่ไป๋อี้และทุกคนจะค้นพบถนนสายเดิมที่เคยมี แม้ว่าจะไม่สามารถบอกได้จากระยะไกลว่านี่คือทางหลวง แต่ถ้าเข้าใกล้ไปเรื่อย ๆ ก็จะพบว่าไม่ได้เข้าใจผิด ไม่ว่าในกรณีใดร่องรอยของชีวิตมนุษย์จะไม่ถูกปกปิดอย่างง่ายดาย
พวกเขาค่อย ๆ เดินไปตามทางนี้ หลังจากเดินมาหนึ่งสัปดาห์เต็มไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็พบเข้ากับ “เมือง” พูดตามตรงไป๋อี้และทุกคนยังคงประหลาดใจเล็กน้อย เพียงสองเดือนที่ผ่านมาสถานที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่ถูกทิ้งร้างเช่นนี้ มีวัชพืชจำนวนนับไม่ถ้วนเติบโตตามรอยแยกของเมืองและมีเถาวัลย์ปกคลุมกำแพง มีเพียงชั้นที่สูงขึ้นไปเท่านั้นที่ต้นไม้ใหญ่บางต้นสามารถเติบโตจากอาคารบริเวณนั้นได้
“ว้าว ~ นี่เป็นฉากที่หายากจริง ๆ เหมือนกับเมืองที่ถูกทิ้งร้างมานานกว่าสิบปี” เฮลัวส์กล่าว
“มันหาดูได้ยากงั้นเหรอ บางทีฉากแบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปก็ได้ในอนาคต” ไป๋อี้พูด ทันใดนั้นก็มองไปทางด้านซ้ายของเมือง
“มีอะไรเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ไป๋อี้ส่ายหัว บนชั้นสองของบ้านสามชั้นในทิศทางนั้น มีหัวแหลมยื่นออกมาดูคล้ายกับหนู หลังจากเห็นไป๋อี้และคนอื่น ๆ มันก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน ไป๋อี้ไม่ได้สนใจ มันอาจจะเป็นหนูในเมืองหลังจากที่มนุษย์จากไปพวกมันก็เลยมีบทบาทมากขึ้น
กลุ่มคนเดินเข้าไปในใจกลางเมือง ที่นี่มีร่องรอยของป่าน้อยลงเรื่อย ๆ และในที่สุดมันก็ดูเหมือนเมืองขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตามในขณะนี้ทุกคนรวมถึงโม่โม่กำอาวุธของตนแน่น เพราะทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่าพวกเขาอาจถูกล้อมรอบได้และในเงามืดของบ้านเหล่านั้นล้วนซ่อนสิ่งมีชีวิตบางอย่างไว้อย่างเงียบ ๆ
ไป๋อี้หยุดแล้วคว้ามีดทำครัวของเขาออกมา ดาบคะตะนะของเขาหายไปในลิฟต์มีเพียงมีดทำครัวในฐานะพ่อครัวเท่านั้นที่ไป๋อี้ไม่เคยทิ้งไปไหน
หลังจากนั้นไม่นานสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็ค่อย ๆ เผยตัวตนและพฤติกรรมบางอย่างออกมา
มันคือหนูจริง ๆ!
เมื่อทุกคนเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ ทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ขึ้นมาในใจและในเวลาเดียวกันก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นในใจเล็กน้อย เนื่องจากแม้ว่ารูปแบบดั้งเดิมของหนูจะสามารถดูออกได้จากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่ตอนนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันซะทีเดียว พวกมันทั้งหมดดูยุ่งเหยิง ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดเหล่านี้มีความสูงถึงครึ่งเมตรและตัวที่ใหญ่ที่สุดสองตัวมันมีขนาดเท่ากับวูล์ฟ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีไม่น้อยกว่า 80-100 ตัว
“เหมือนฉันจะจำได้ว่าหนูเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีจำนวนเยอะที่สุดในโลก?”
“แบบนี้นี่เอง งั้นฉันจำได้ว่ามันน่าจะเป็นมนุษย์!” เฮลัวส์พูดถากถางขึ้นมา
“แต่ตอนนี้ในนิวซีแลนด์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่น่าจะเป็นหนูใช่ไหม?” เมย์ริสยิ้มและมองไปที่ ‘หนู’ รอบตัวเธอก่อนจะกล่าวขึ้นมา
“ไม่น่าจะใช่ เธอยังคิดว่าพวกมันเป็นหนูอยู่อีกหรอ” เฮลัวส์พูดอย่างขี้เล่น
เห็นได้ชัดว่าเมื่อมนุษย์ละทิ้งบ้านเกิดเดิมของพวกเขา หนูเหล่านี้ก็เข้ายึดครองเมืองนี้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ดัดแปลงที่อยู่ในหนูซึ่งเดิมเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาจนมันมีสติปัญญาและความแข็งแกร่งที่ดีขึ้นมาก อีกทั้งยังปฏิบัติต่อมนุษย์ในเมืองแห่งนี้ในฐานะเหยื่อ คาดการณ์ว่าหนูกลุ่มนี้มองว่าไป๋อี้และเพื่อน ๆ เป็นเหยื่อที่บุกเข้ามาในรังของพวกมัน
“จี๊ด ๆ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องออกมาจากกลุ่มหนูพลัน ‘หนู’ ทั้งหมดก็พุ่งเข้าหาไป๋อี้และทุกคนที่มันคิดว่าเป็นเหยื่อ
เมื่อหนูรูปร่างประหลาดเหล่านี้วิ่งเข้าหาไป๋อี้และคนอื่น ๆ พวกเขาก็ยิ้มออกมาทันที
ฮ่า ๆ!
มันเป็นรอยยิ้มที่มั่นใจและหยิ่งผยอง หลังจากได้เห็นการทดลองที่ทรงพลังในช่วงแรก ๆ ที่สถาบันวิจัยมาแล้ว สิ่งเหล่านี้และมนุษย์ทุกคนในนิวซีแลนด์เริ่มมีวิวัฒนาการ ในขณะที่พวกมันเป็นหนูเร่ร่อนและมีวิวัฒนาการที่ไม่เป็นระเบียบแบบแผน ดังนั้นพวกมันไม่ได้อยู่ในสายตาของทุกคนเลย แม้แต่โม่โม่เองในตอนนี้ก็ไม่ได้มีนิสัยขี้อ้อนและขี้ขลาดแบบเด็ก ๆ หนูน้อยดึงมีดสั้นของเธอออกมาและยืนประชันอยู่แนวหน้า
สัตว์ประหลาดที่วิวัฒนาการมาจากหนูเกือบร้อยตัวพุ่งเข้าหากลุ่มของไป๋อี้ แต่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ไม่ได้หลบหลีก ทว่ากลับเริ่มเผชิญหน้ากับพวกมัน ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน สัตว์ประหลาดหนูเกือบโหลถูกตัดหัวโดยง่าย รู้ไหมว่าไป๋อี้และเพื่อน ๆ ได้คัดสรรยีนของสิ่งมีชีวิตเข้าด้วยกันเองมาแล้วไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงหรือความยืดหยุ่น พวกเขาจึงมีข้อได้เปรียบอย่างแท้จริงมากยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในนิวซีแลนด์ที่วิวัฒนาการโดยบังเอิญแบบไม่ได้คัดสรร
จนถึงตอนนี้ทุกคนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณต่างก็ล้วนแข็งแกร่งขึ้นมาก!
แม้แต่พูพูที่ชอบทำตัวขี้เกียจมาตลอดก็ยังกล้าหาญมากในเวลาอย่างนี้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถเจาะผ่านผิวหนังที่หนาของมันได้ มันเพียงแค่ขยับขาสั้น ๆ ของมันและกระแทกใส่ทุกที่ทุกอย่าง ในขณะที่ชาร์ไป่มีความดุร้ายเพิ่มขึ้น มันวิ่งและกระโดดด้วยความเร็วสูง ปากที่ใหญ่และกรงเล็บอันแหลมคมสามารถคร่าชีวิตสัตว์ประหลาดหนูไปได้มากมาย
ใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบวินาทีสัตว์ประหลาดหนูเกือบร้อยตัวก็ได้ตายไปแล้วกว่าหนึ่งในสามของพวกมันทั้งหมด ในเวลานี้เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้งมาจากท้องฟ้าอันห่างไกล ไป๋อี้พลาดท่า ดวงตาของเขาสบกับสัตว์ประหลาดหนู มีดทำครัวสับหัวของมันโดยตรงจากนั้นก็มองไปที่สัตว์ประหลาดหนูสองตัวที่บินมาในอากาศ
จะว่าอย่างไรดี!
เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นถูกผสานเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตที่สามารถบินได้ หนูอีกตัวที่ยืนอยู่บนหลังของมันมีความสูงมากกว่าหนึ่งเมตร มันสวมชุดมนุษย์และถือไม้เท้าด้วย หนูตัวอื่น ๆ นั้นถือได้ว่าเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่ผสานกับยีนทางชีววิทยาอื่น ๆ อย่างยุ่งเหยิง ส่วนหนูตัวนี้ก็คือตัวจริง ใช่แล้ว มันเป็นเช่นเดียวกับหนูในเกมพวกมันมีสติปัญญามากขึ้น
หลังจากที่มนุษย์หนูส่งเสียงเรียกอีกครั้ง สัตว์ประหลาดหนูที่ยังคงต่อสู้อยู่ก็ถอยกลับไป ก่อนถอยจากไปพวกมันไม่ลืมที่จะนำส่วนหนึ่งของซากศพประเภทเดียวกันออกไปด้วย
หลังจากพบว่าพวกมันเกิดการสูญเสีย มนุษย์หนูก็สั่งให้ถอยทัพทันที
“อ่าฮ่าฮ่า กลุ่มหนูเหล่านี้คิดอยากจะสู้กับพวกเรา แต่ดูสิพวกมันรนหาที่ตายแท้ ๆ” วูล์ฟคว้าง้าวของเขาด้วยความตื่นเต้น สำหรับวูล์ฟง้าวในมือที่มีขนาดหนึ่งเมตรครึ่งนั้นยาวราวกับมีดสั้นปกติเท่านั้น ง้าวที่มีน้ำหนักมากจึงหมุนได้อย่างคล่องตัว หลังจากการเผชิญหน้าหลายครั้งหนูตัวหนึ่งที่มีขนาดเท่ากับวูล์ฟถูกผ่าครึ่งออกเป็นสองท่อนด้วยง้าวเล่มเดียว ความประมาทและเลือดที่ไหลนองเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะบรรยายได้
ขณะที่หนูเหล่านี้กำลังวิ่งหนี วูล์ฟก็ไล่ตามพวกมันทันที แม้แต่รถที่ถูกทิ้งข้างหน้าก็ยังถูกวูล์ฟเตะจนปลิวออกไป เขาตามฆ่าสัตว์ประหลาดหนูอีกหลายตัว
“วูล์ฟ ไม่ต้องตามไล่ล่ามันแล้ว!” ไป๋อี้กล่าว
แต่วูล์ฟไม่สนใจเสียงของไป๋อี้ ตรงกันข้ามเขากลับยิ่งหยิ่งผยองและตื่นตัวมากขึ้นไปอีก ไป๋อี้ขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้กำลังเข้าสู่สภาวะไร้การควบคุมแบบนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ หากหาวิธีเรียกเขากลับมาไม่ได้ ก็คงไม่มีใครที่จะสามารถดึงวูล์ฟกลับมาได้อีก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะเสียสติสัมปชัญญะไปโดยปริยาย ไม่เพียงแต่วูล์ฟเท่านั้น แม้แต่ชาร์ไป่ก็ยังไล่ล่าตามเขาไป ในขณะที่โม่โม่จับหางของชาร์ไป่ไว้เมื่อมันวิ่งผ่านไปและพลิกตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะขึ้นขี่หลังของชาร์ไป่
สามคนนี้!
เป็นเพียงไม่กี่คนที่อยู่นอกการควบคุมในสถาบันวิจัย เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขาได้พูดคุยกับไนท์ไม่ใช่เรื่องตลก เมื่อเขาต้องตกอยู่ในสภาวะดุร้ายรุนแรงเป็นครั้งแรก เขาจะตกอยู่ในสภาพนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และหากอยู่ในสภาวะนั้นหลายครั้งเกินไปก็จะสูญเสียความนึกคิดของตัวเองอย่างแท้จริง และจะรู้จักเพียงการต่อสู้และล่าเหยื่อ …… จนกลายเป็นสัตว์ร้ายอย่างแท้จริง
ไป๋อี้เห็นคนหลายคนไล่ตามเขาไป เขาก็เร่งความเร็วขึ้นอีกอย่างกะทันหันและออกไล่ล่าไปยังทิศทางที่สัตว์ประหลาดหนูกำลังหนี แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็ตามเขาไปอีกที
วูล์ฟไม่ได้วิ่งไปไกลมาก ในที่สุดเขาก็หยุด หลังจากที่เขาฆ่าสัตว์ประหลาดหนูได้ เขาก็พบว่าไม่มีคู่ต่อสู้เหลืออยู่อีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดหนูเหล่านี้คุ้นเคยกับเมืองที่ยุ่งเหยิงแห่งนี้ หลังจากที่วิ่งหนีไปมาไม่กี่รอบพวกมันก็หายลับเข้าไปในเมืองโดยสิ้นเชิง ชาร์ไป่กับโม่โม่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเพราะไม่นานต่อมาคู่ต่อสู้ของพวกเขาก็หายลับไปเช่นกัน
หลังจากทั้งคู่ไล่ตามคู่ต่อสู้ วูล์ฟและชาร์ไป่ก็มองหน้ากัน ในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง วูล์ฟกระชับง้าวในมือของเขาและค่อย ๆ เดินไปหาชาร์ไป่ช้า ๆ ในขณะที่ชาร์ไป่ก็เดินเข้าหาวูล์ฟเพื่อไม่แสดงออกถึงความพ่ายแพ้ แม้แต่โม่โม่ก็คว้ามีดสั้นและโชว์ฟันเสือน้อยอันแหลมคมของเธออย่างดุดัน
“ทุกคนสงบ!” จู่ ๆ ไป๋อี้ก็เข้ามาคั่นกลางระหว่างทั้งสองและทันใดนั้นลวดลายในดวงตาของเขาก็เปิดออก
เพวกเขาตื่นตัวเล็กน้อย ซึ่งพวกเขายังไม่ถือว่าไร้เหตุผลอย่างสมบูรณ์ หลังจากได้ยินเสียงของไป๋อี้และถูกชักจูงโดยม่านตาจำลองธรรมชาติ วูล์ฟ ชาร์ไป่และโม่โม่ก็ค่อย ๆ สงบลง จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้อย่างสยดสยองว่าพวกเขาคิดทำอะไรลงไป เมื่อครู่นี้เขาต้องการต่อสู้กับเพื่อนของพวกเขาจริง ๆ ถ้าดูจากทักษะปัจจุบันของพวกเขาหากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริง ๆ หากพวกเขาไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
ในเวลานี้ทุกคนได้ค้นพบถึงความร้ายแรงจากเรื่องดังกล่าวแล้ว
ตามข้อมูลของไนท์โดยทั่วไปความดุร้ายของกลุ่มทดลองเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนรวมระยะเวลากว่าครึ่งปีหลังจากการผสานรวมตัวของเซลล์ดัดแปลง จากนั้นช่วงเวลาที่ดุร้ายก็กินเวลานานกว่าสามปี ในสถาบันวิจัยช่วงเวลาที่สั้นที่สุดของความดุร้ายคือมนุษย์ ชายชราที่มีความเชี่ยวชาญในวิชามวยไทเก็กของจีนมีช่วงเวลาที่เข้าสู่ระยะดุร้ายเพียงสามปีเท่านั้นและเขาแทบไม่สูญเสียสติความนึกคิดไปเลย ความจริงที่ว่าวิชามวยไทเก็กสามารถขับเคลื่อนการบ่มเพาะจิตวิญญาณ จึงได้รับการยืนยันจากร่างกายของเขาเป็นที่เรียบร้อย
ในความเป็นจริงไป๋อี้และคนอื่น ๆ ได้รวมตัวกับเซลล์ดัดแปลงมาเป็นเวลานานกว่าสองเดือน คิดไม่ถึงว่าวูล์ฟและชาร์ไป่จะเริ่มสูญเสียการควบคุมแล้ว เห็นได้ชัดว่าจากการต่อสู้ที่น่าสยดสยองในสถาบันวิจัยก่อนหน้านี้ที่ทำให้เกิดการกระตุ้นเข้าสู่ระยะดุร้ายเร็วเกินไป
หลังจากที่ได้เห็นพฤติกรรมของวูล์ฟ ชาร์ไป่และโม่โม่ ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็รู้สึกจริงจังมากขึ้น ตอนนี้เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมสภาวะของคนเหล่านี้ให้ได้ มิฉะนั้นเรื่องนี้อาจจะสายเกินแก้
1.อย่าผสานรวมยีนกับสิ่งมีชีวิตอื่น
2.ยาคลายเครียดและยากล่อมประสาท (ยาในโลกธรรมดาใช้ไม่ได้ผล มีเพียงพืชที่ผสานรวมกับเซลล์ดัดแปลงจนเกิดการวิวัฒนาการเท่านั้น) ตอนนี้มีเพียงภูตผีเท่านั้นที่จะรู้ว่าพืชที่วิวัฒนาการเหล่านั้นมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าจะลองลิ้มรสพืชสมุนไพรกว่าร้อยชนิดในตอนนี้ก็คงไม่ทันการณ์แล้ว เพราะตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว
3.ฝึกฝนเทคนิคการบ่มเพาะจิตวิญญาณด้วยการออกกำลังกาย ค่อย ๆ บ่มเพาะ อดทนเพื่อขับเคลื่อนจิตวิญญาณ
พวกเขาเดินทางมาโดยตลอดและพวกเขาไม่ได้ฝึกฝนวิชามวยไทเก็กมากนัก ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนจริง ๆ