“จุ๊ ๆ!” ไป๋อี้ส่งสัญญาณให้เงียบเสียงเอาไว้ขณะซ่อนตัวอยู่ในที่ลับบนชั้น 10 พร้อมกับวูล์ฟ เสียงกรีดร้องเสียงแหลมของมันแสดงให้เห็นว่าปีศาจอสรพิษยักษ์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก และยังคงเจาะมุดตัวอยู่รอบ ๆ ตึก ไป๋อี้และวูล์ฟอกสั่นขวัญแขวนใจกระดอนขึ้นมาถึงลำคอ กลัวว่ามันจะหาพวกเขาพบ
ทันใดนั้นพวกเขาทั้งสองก็รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนและเริ่มสัมผัสได้ว่าพื้นเริ่มค่อย ๆ เอียงลง
โอ้! โอ้ โอ้ …… ซวยแล้ว!
ทั้งสองคนจ้องตากัน ดวงตาของวูล์ฟเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเพราะปีศาจอสรพิษยักษ์กำลังมุดตัวผ่านเสาค้ำยันของอาคารจนพังทลาย และตอนนี้ตึกทั้ง 20 กว่าชั้นก็กำลังทิ้งตัวไปทางทิศตะวันออกอย่างช้า ๆ ขณะนี้ทั้งสองอยู่ที่ความสูงชั้น 10 ของตึก ถ้าหากตกลงไปทั้งอย่างนี้คาดว่าคงต้องตายสถานเดียว
ตายแน่!
ฉันไม่อยากตายแบบนี้ ฉันไม่อยากตายแบบนนี้เป็นอันขาด ไป๋อี้รู้สึกถึงความโกรธคุกรุ่นอยู่ในใจ จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าต่างทางทิศตะวันตก
“ทำตามฉันสักครั้ง ถึงเราจะมีโอกาสหนีรอดเพียงน้อยนิด แต่ฉันก็ไม่อยากมาตายแบบนี้” ไป๋อี้พูดเบา ๆ นัยน์ตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ไป๋อี้ไม่ได้มองไปที่วูล์ฟ แต่พุ่งความสนใจไปที่ปีศาจอสรพิษยักษ์ที่กำลังเดือดดาลอยู่ทุกชั่วขณะ ยิ่งโลกวุ่นวายมากเท่าไหร่ ไป๋อี้ก็ยิ่งไม่อยากมาตายแบบนี้มากเท่านั้น โม่โม่มีอายุเพียง 4 ขวบ หนูน้อยจะอยู่ในโลกที่สับสนวุ่นวายนี้ได้อย่างไรโดยปราศจากความดูแลของไป๋อี้
วูล์ฟมองไปที่ไป๋อี้ด้วยความตกตะลึง ถึงตอนนี้เขายังไม่ละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่!
วูล์ฟพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ และรอฟังคำแนะนำจากไป๋อี้
ไป๋อี้เฝ้ามองพื้นที่เอียงลงไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ เมื่อตึกเอียงทำมุม 30 องศา เขาก็ชี้ไปทางทิศตะวันตกทันที ซึ่งในตอนนี้มีลักษณะตั้งเป็นมุมทแยงขึ้นไปด้านบน
“วิ่ง!”
เพียงคำคำเดียว ไป๋อี้และวูล์ฟก็รีบพุ่งตัวไปทางทิศตะวันตกทันที เสาคานของตึกนี้มีขนาดใหญ่มาก โดยที่ตึกนี้มีทั้งหมด 30 ชั้น อีกทั้งมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ เมื่อทั้งสองรีบวิ่งไปที่หน้าต่างทางทิศตะวันตก ขณะที่พื้นทำมุมเกือบ 45 องศา ระหว่างทางไป๋อี้คว้าเก้าอี้จากพื้นขึ้นมากระแทกเข้ากับหน้าต่างด้านทิศตะวันตกจนเกิดเสียงกระจกแตก
เพล้ง!
“ออกไป วิ่งขึ้นไปด้านบน!”
ไป๋อี้กล่าว เขาปีนออกไปก่อน จากนั้นก็วิ่งตรงไปทางทิศตะวันออกบนกำแพงที่ลาดเอียง ตัวอาคารเอียงไปทางทิศตะวันออกและในเวลานี้ตึกค่อย ๆ เอียงลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นด้านนอกตึก ผนังที่เดิมทีเป็นแนวตั้งก็ค่อย ๆ ระนาบลงเป็นแนวนอนมากขึ้นเรื่อย ๆ วูล์ฟไม่เคยคิดมาก่อนว่าไป๋อี้จะบ้าคลั่งและคิดแผนการนี้ขึ้นมา เหตุผลที่เขาไม่วิ่งลงไป แต่กลับขึ้นไปข้างบนเพราะที่ชั้น 9 และชั้นที่ 10 ของตึกนั้นกำลังพังทลายลงมาจึงไม่สามารถวิ่งลงไปข้างล่างได้
วูล์ฟรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังจะบ้าคลั่งและเขาเองแทบจะบ้าเต็มที ทั้งสองคนหอบเหนื่อยอย่างหนักและวิ่งไปที่ด้านบนสุดของตึก ซึ่งในเวลานี้ตึกทลายลงอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกขณะจนเกือบจะอยู่ในแนวราบ และกำลังจะร่วงลงสู่พื้น
“กระโดด!” ไป๋อี้พูดด้วยเสียงอันแหบกร้าน
ในเวลานี้วูล์ฟไม่ได้คิดหาเหตุผลว่าทำไม เมื่อสิ้นเสียง เขาและไป๋อี้ก็กระโดดทันที
เสียงดังโครมครามอึกทึกไปทั่ว ตึกพังทลายลงมากระแทกกับพื้น ตึกทั้งหลังร่วงลอยลงมาและกระจกต่าง ๆ ทั้งหลายก็พร้อมกันแตกกระจายทันที ในตอนนี้หากพินิจให้ดี จะพบว่าถึงไป๋อี้และวูล์ฟจะไม่ได้กระโดดสูงมากนัก แต่พวกเขาก็ผละออกจากกำแพงของตึกได้พอดิบพอดี เพราะช่องว่างเล็ก ๆ นี้เองที่ทำให้ทั้งสองสามารถหลีกหนีจากแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้
ทว่าเขากระโดดออกมาได้ยังไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็ต้องล้มลงอีกครั้ง ไป๋อี้โซซัดโซเซล้มลงบนกำแพงจากนั้นก็กลิ้งกลุกกลักไปทางทิศตะวันออกซึ่งเดิมทีเคยเป็นหลังคามาก่อน แต่ในตอนนี้ได้พังทลายและร่วงลงสู่พื้นเป็นที่เรียบร้อย วูล์ฟเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขากลิ้งลงไปพร้อมกับไป๋อี้
พวกเขาสองคนไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองได้ ทำได้เพียงกลิ้งไปตามขอบเรื่อย ๆ จนเศษกระจกที่แตกและกำแพงที่พังทลายทำให้พวกเขาสองคนได้รับบาดแผลนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง
ทันใดนั้นร่างของไป๋อี้ก็สูญเสียแรงโน้มถ่วงและตกลงไปข้างนอก ซึ่งมีระดับความสูงจากพื้นดินถึง 4-5 ชั้น
แต่ก่อนที่เขาจะร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างกลับมีมือหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างของไป๋อี้ถูกคว้าเอาไว้ได้ เจ้าของมือปริศนาที่ช่วยฉุดรั้งไป๋อี้เอาไว้คือวูล์ฟนั่นเอง ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
“ฮ่าฮ่าฮ่า เราหายกันแล้ว” วูล์ฟหัวเราะร่วน
“บ้าเอ๊ย นายยังหัวเราะออกอีกเหรอ ฮ่าฮ่า ……” ไป๋อี้ดูเหมือนกำลังดุวูล์ฟ แต่เขาก็หัวเราะออกมาเช่นกัน อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่ตาย นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองคน
ด้วยความช่วยเหลือจากมือขวาของวูล์ฟ ไป๋อี้ก็ลุกขึ้นและกลับไปยึดกำแพงไว้ ก่อนที่วูล์ฟจะได้พูดอะไรไป๋อี้ก็เอามือปิดปากไว้และพูดกับวูล์ฟเบา ๆ ว่า “เงียบ ๆ !”
บ้าจริง หลังจากที่ปีศาจอสรพิษทำลายตึกทั้งหลัง มันก็สูญเสียการตามร่องรอยของไป๋อี้ไปโดยปริยาย ในเวลานี้มันกำลังมุดเจาะไปรอบ ๆ ไม่ไกลจากทางด้านหน้าของพวกเขานัก โชคดีที่มันนั้นหันหลังให้พวกเขาทั้งสองคน หากมันหันหัวมาละก็ ไป๋อี้คงวิ่งไม่ออกหากเขาถูกมันพบในเวลานี้
ทั้งสองเดินไปด้านบนสุดของตึกที่ตอนนี้พังทลายกระแทกอยู่ที่พื้นจากนั้นก็วิ่งข้ามซากปรักหักพังเหล่านั้นไป
พวกเขาปีนลงมาจากตึกที่มีความสูงประมาณ 4-5 ชั้น โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ นี่เป็นสิ่งที่เขาสองคนคาดไม่ถึงว่าจะทำได้ แต่ว่าตอนนี้หลังจากประสบกับการพังทลายของตึก พวกเขารู้สึกว่าสามารถทำมันได้เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้เช่นนี้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองคนต้องลำบากอยู่ไม่น้อย แต่พวกเขาก็ลงมาจากตึกที่ถล่มได้ถึงพื้นอย่างปลอดภัย จนถึงเวลานี้วูล์ฟรู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะหยุดอยู่ตรงนี้
เมื่อออกมาไกลจนมองเห็นตึกถล่มอยู่ไกลลิบตา ไป๋อี้และวูล์ฟก็ค่อย ๆ หยุดพัก พวกเขาหายใจกระหืดกระหอบ ในขณะที่ไป๋อี้ได้หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาซึ่งเหลือเพียงชิ้นส่วนที่แตกหักเสียหายเท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาหยิบซิมการ์ดโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็รีบพลิกดูร่างของผู้ชายที่บังเอิญเสียชีวิตอยู่ข้าง ๆ จนพบโทรศัพท์จากชายคนนั้น คนสมัยใหม่แทบจะมีโทรศัพท์มือถือติดตัวกันทุกคน จึงหาเครื่องทดแทนได้ไม่ยากนัก
หลังจากเปลี่ยนซิมการ์ดโทรศัพท์ไป๋อี้ก็โทรหาโม่โม่ทันที
อีกด้านหนึ่ง โม่โม่ที่กำลังถูกอุ้มไว้โดยหงฉี่ฮว๋าก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“โม่โม่ ตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน?”
“พ่อ พ่อยังมีชีวิตอยู่ ฮือฮือฮือ!” เมื่อโม่โม่ได้ยินเสียงของไป๋อี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เขายังมีชีวิตอยู่! หงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ไป๋อี้รอดชีวิตจากสถานการณ์นั้นมาได้จริง ๆ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นโชคชะตาหรือไม่ก็พรหมลิขิต เมื่อเห็นว่าโม่โม่ยังคงร้องไห้ด้วยความตื่นตระหนก หงฉี่ฮว๋าจึงรับโทรศัพท์มาจากโม่โม่
“ลุงไป๋ เรากำลังมุ่งไปทางทิศใต้ พวกเราจะไปที่โอฮาวโปก่อน” หงฉี่ฮว๋ากล่าว
“เสียงนี้คือหงฉี่ฮว๋าใช่ไหม เรื่องโม่โม่ต้องรบกวนพวกเธอแล้วล่ะ ฉันจะรีบตามไปนะ” เมื่อไป๋อี้ได้ยินเสียงนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ตราบใดที่โม่โม่มีคนรู้จักอยู่รอบตัวก็ดูจะไม่เลวร้ายเกินไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มาพูดให้มากความ เขาคุยกันต่อเพียงไม่กี่คำ หลังจากปรึกษาหารือกันเรื่องจุดนัดพบแล้วก็วางสายโทรศัพท์ไป
หลังจากที่ไป๋อี้คุยโทรศัพท์เสร็จเขาก็พบว่าวูล์ฟหารถมาได้แล้ว ไป๋อี้ยิ้มให้วูล์ฟและตบฝ่ามือซึ่งกันและกันเพื่อเป็นการฉลองอย่างเรียบง่ายแด่การหนีเอาชีวิตรอดของพวกเขา จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถโดยมีวูล์ฟเป็นคนขับ โดยมุ่งหน้าไปยังโอฮาวโป
ระหว่างทางพวกเขาบังเอิญเจอผู้คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าข่าวของสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตอนเหนือของแฮมิลตันนั้นแพร่กระจายไปโดยทั่วแล้ว ระหว่างทางไป๋อี้ขอให้วูล์ฟหยุดรถหลายต่อหลายครั้งเพื่อเก็บวัตถุดิบและส่วนผสมที่คนเหล่านั้นทำตกเอาไว้ เวลานี้สถานการณ์ไม่ได้วิกฤตเกินไป ไป๋อี้จึงกล้าที่จะทำเช่นนี้ ไป๋อี้รู้ดีว่าการตกอยู่ในความหิวโหยขั้นสุดนั้นมันทรมานเพียงใด
……
“หยุดรถ หยุดรถ!” เมื่อเขามาถึงทางหลวงก็พบกับชายวัยกลางคนร่างผอมโกรกโบกมืออยู่ข้างทาง แต่ในขณะที่ทุกคนเอาแต่หนีจากทางตอนเหนือกันอย่างบ้าคลั่ง มีหรือจะสนใจชายที่ไหนก็ไม่รู้ จึงมีบ่อยครั้งที่ชายคนนี้เกือบจะถูกรถชน ขณะที่ชายคนนั้นกำลังท้อแท้หมดแรงใจ ทันใดนั้นรถคันเล็กก็หยุดอยู่ตรงหน้าเขา ชายคนนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบมาที่ประตูรถทันทีด้วยท่าทีประหลาดใจ
“ขึ้นรถสิ” ไป๋อี้เปิดประตูรถในขณะที่บอกให้ชายคนนั้นขึ้นมา
“ขอบคุณมาก ๆ ฉันชื่อมาร์ตินแอนเดอร์สัน!” ชายคนนั้นแนะนำตัวเองขณะที่เขาเบียดกายเข้าไปกับกองอาหารในรถ
“ฉันชื่อไป๋อี้และเขาชื่อวูล์ฟ”
“ขอบคุณพวกคุณมากจริง ๆ คนอื่น ๆ ที่น่ารังเกียจพวกนั้นไม่มีใครเห็นใจฉัน ไม่มีใครหยุดรถให้ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีใครรู้ว่าหลังจากช่วยฉันไว้มันจะส่งผลดีกว่าการเอาแต่หลบหนีที่อลหม่านยุ่งเหยิงแบบนี้มากแค่ไหน ถ้าเอาแต่หนีแบบนี้ ตราบใดที่ยังไม่ออกไปจากนิวซีแลนด์ไม่ช้าก็เร็วมันจะถึงทางตัน” หลังจากมาร์ตินขึ้นรถเขาก็เริ่มสาธยายไม่หยุด
ตอนแรกไป๋อี้ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่หลังจากได้ยินมาร์ตินพูดคำเหล่านี้เขาก็เกิดความฉงนขึ้นมาทันที ผู้ชายคนนี้ … ต้องการสื่ออะไร หรือเขาจะรู้ต้นสายปลายเหตุของการกลายพันธุ์ในนิวซีแลนด์ รวมทั้งการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดเหล่านี้?
“Hi มาร์ตินคุณช่วยพูดให้ชัดเจนได้ไหม จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่หนีออกจากนิวซีแลนด์ ที่บอกว่าไม่ช้าก็เร็วมันจะถึงทางตัน มันจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ไป๋ คุณฉลาดมาก เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันจะบอกอะไรบางอย่างกับคุณ”
“ฉันเป็นนักวิจัยอยู่ที่สถาบันวิจัยแฮมิลตันทางตอนเหนือ ถ้าไม่รู้ว่าสถาบันนี้คือสถาบันวิจัยแห่งไหนก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะได้รู้เองเร็ว ๆ นี้ เห็นสัตว์ประหลาดพวกนั้นแล้วใช่ไหม ถูกต้อง พวกมันออกมาจากสถาบันวิจัยแฮมิลตันทางตอนเหนือเป็นจำนวน 3,311 ตัว” มาร์ตินพูดช้า ๆ แต่วูล์ฟถึงกับผงะและเหยียบเบรกรถดังเอี๊ยด
ปึง เสียงหน้าผากของมาร์ตินกระแทกเข้ากับเบาะหน้าอย่างจัง เขาโอดครวญด้วยความเจ็บ
“เจ้าบ้า ขับรถประสาอะไรเนี่ย”
“ฉันจะขับอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับคุณ เมื่อกี้คุณบอกว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากคุณงั้นเหรอ?” วูล์ฟถามอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นว่าทั้งสองมีแนวโน้มที่จะโต้เถียงกัน ไป๋อี้ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปห้ามพวกเขา
“วูล์ฟ มีสมาธิในการขับรถหน่อย ฉันเกรงว่านายจะถูกสัตว์ประหลาดพวกนั้นแซงหน้าไป มาร์ตินบอกสิ่งที่คุณรู้ทั้งหมดมา” น้ำเสียงของไป๋อี้เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกลง
คำพูดของไป๋อี้ ทำให้วูล์ฟค่อนข้างรู้สึกมั่นใจขึ้น ในตอนแรกมาร์ตินคิดที่จะโต้แย้งกลับสักคำสองคำ แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาสีเลือดของไป๋อี้ เขาก็พูดอะไรไม่ออกเสียอย่างนั้น
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809
MANGA DISCUSSION