[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 73 การต่อสู้
ไป๋อี้เดินไปหาเบ็นสันทีละก้าวอย่างช้า ๆ เนื่องจากในทุก ๆ ก้าวของไป๋อี้นั้นร่างกายของเขาต้องทนกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่อย่างไรก็ตามในทุก ๆ ก้าวของไป๋อี้ก็ค่อย ๆ สะสมเพิ่มพลังขึ้นเรื่อย ๆ เลือดในกายของเขาลุกพลุ่งพล่านราวกับเปลวไฟ ทำให้ไป๋อี้นั้นรู้สึกว่าร่างกายของเขาร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่าง
ในขณะที่ไป๋อี้เดินไปเรื่อย ๆ เลือดของเขาก็ค่อย ๆ หยดลง ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะขึ้นและปรากฏหมอกควันสีแดงอ่อนขึ้นมา
เบ็นสันมองเห็นการเคลื่อนไหวของไป๋อี้ เขาจะต้องรวบรวมสติให้ดี ในความเป็นจริงแล้วไป๋อี้นั้นถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาเลยทีเดียว
ไป๋อี้พุ่งเข้าใส่เขาในทันทีและในครั้งนี้ก็ใช้ความเร็วมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ไป๋อี้เข้าใจตัวเองดีว่าในการระเบิดพลังเหนือขีดจำกัดเช่นนี้ มันอาจจะเกินขีดความสามารถของร่างกาย ถ้าเขาพุ่งออกไปอาจจะทำให้ร่างกายของเขานั้นได้รับบาดเจ็บได้ เขาสามารถใช้ความเร็วได้มากกว่าปกติและมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ทว่าพลังนี้มันไม่สามารถอยู่ได้นานนัก ฝั่งเบ็นสันก็กำหมัดที่เหลือตั้งท่าพร้อมที่จะสู้ให้ตายกันไปข้าง ถึงแม้จะถูกขังอยู่ภายในที่แห่งนี้ แต่ก็จะไม่ยอมเป็นรองอยู่ในกำมือนายหรอกนะ …….. เบ็นสันตะโกนอยู่ในใจ
หนึ่งดาบและหนึ่งหมัดปะทะเข้าด้วยกันอย่างดุเดือด ดาบคะตะนะของไป๋อี้ลอยไปข้างหลังราวกับไม่ได้รับแรงปะทะใด ๆ เมื่อไป๋อี้คว้าแขนของเบ็นสันได้ก็เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปทันที เขาพุ่งตัวตามแนวแขนเข้าไปหาหัวของเบ็นสัน เบ็นสันชะงักไปเล็กน้อยแล้วรีบหุบปีกลงทันทีเพื่อจะตะปบไป๋อี้ไว้ตรงกลาง
สู้มัน!
สู้ต่อไป …… ฉันจะไม่ยอมแพ้อยู่ที่นี่!
ไป๋อี้ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจ ราวกับพลังทั้งหมดในตอนนี้ได้ถูกรวบรวมไปอยู่ที่ปลายดาบบนมือของเขา ดูเหมือนว่าทักษะการใช้ดาบของไป๋อี้นั้นถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ในเวลานี้ไป๋อี้สามารถรู้สึกได้ถึงดาบคะตะนะที่อยู่บนมือของเขาและความรู้สึกของมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับในเวลาที่เขาถือมีดทำอาหาร มีดทำอาหารถูกใช้ในการจัดการส่วนผสมในการทำอาหารอยู่เสมอ นั่นคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ต้นและมันยังถูกกำหนดคุณสมบัติไว้แล้ว แต่ดาบคะตะนะเล่มนี้ เป็นดาบที่มีไว้ใช้เพื่อการต่อสู้จริง ๆ
ดาบคะตะนะบนมือของไป๋อี้สั่นเล็กน้อยและเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรงเมื่อมันถูกแกว่งในทันที
หนึ่งดาบ!
ทำลายมันให้ฉันซะ!
ไป๋อี้คำรามด้วยความโกรธอยู่ภายในใจ ดาบคะตะนะฟันลงอย่างรุนแรงเมื่อปีกที่แข็งแกร่งของเบ็นสันปะทะกับดาบคะตะนะของไป๋อี้จนเกิดเสียงฉีดขาดดังขึ้นมา ไป๋อี้ในเวลานี้ดูน่ากลัวมาก ดวงตาคู่นั้นดูดุร้ายราวกับสามารถจะกินคนได้ ใบมีดที่แหลมคมฟันลงบนปีกที่แข็งแกร่งจนมันฉีกขาด โครงกระดูก เลือด ขน …… ทุกอย่างฉีกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าของไป๋อี้ หลังจากนั้นไป๋อี้ก็ทะลุผ่านช่องว่างนั้น เขานำความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวพุ่งเข้าใส่เบ็นสัน
นี่คือความรู้สึกอะไร ……. มันคือความรู้สึกอะไรกัน!
เบ็นสันมองดวงตาที่บ้าคลั่งของไป๋อี้คู่นั้น ราวกับถูกดึงดูดเข้าไปภายในจิตใจของไป๋อี้ ภายในจิตใจของไป๋อี้นั้นดูบ้าคลั่งและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ไป๋อี้หัวเราะออกมาพร้อมกับฟันมีดลงไปอย่างแรงที่แขนของเบ็นสันเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้ เมื่อสองพลังอันแข็งแกร่งปะทะกัน ส่งผลให้แขนข้างนั้นถูกดาบเฉือนไปกว่าครึ่ง ส่วนไป๋อี้ก็ถูกแรงมหาศาลอัดเข้าที่หน้าท้องจนร่างของเขากระเด็นออกไป ไป๋อี้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เขาหมุนตัวกลับมาตามแรงแล้วฟันมีดลงไปอีกทันที
สู้มัน!
ต่อสู้ต่อไป
ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่และอยากใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ ที่เหลืออยู่ต่อไป ไม่ว่าศัตรูที่ขัดขวางอยู่ข้างหน้าจะมีพลังที่แข็งแกร่งมากเพียงใด ก็จะไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าโลกใบนี้จะกลายเป็นโลกที่โหดร้ายเพียงใด น่ากลัวแค่ไหน ก็ไม่ต้องกลัว! พวกเราจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าการต่อสู้ต้องแลกด้วยชีวิตก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“หึหึ……!” ไป๋อี้ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปที่เบ็นสันและดาบคะตะนะเล่มนั้นที่ร่วงลงสู่พื้น
เบ็นสันมองไปที่ดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้ที่ราวกับจะสามารถทำให้ทุกคนที่จับจ้องรู้สึกหวาดกลัวกันถ้วนทั่ว อยู่ ๆ สติของเขาก็หลุดลอยและสับสนงุนงงไปหมด ในหัวของเบ็นสันสะท้อนภาพที่เต็มไปด้วยความดุร้ายของไป๋อี้ ทั้งยังมีสีสันลวดลายดึงดูดความสนใจของเขาทั้งหมดผ่านดวงตาทั้งสองของไป๋อี้ จนทำให้ความคิดของเขาจมดิ่งไปกับความงามนั้น
ดาบคะตะนะฟันลงบนหัวของเบ็นสัน และทันใดนั้นก็เกิดเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ขึ้น เลือดมากมายสาดกระเด็นออกมาทันที เบ็นสันกุมหัวของเขาและส่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญออกมาสนั่นด้วยความเจ็บปวด ถ้าไม่ใช่เพราะหัวของเขาแข็งมากพอ ดาบเล่มนี้คงฆ่าเขาตายไปแล้ว
หลังจากที่ไป๋อี้ได้ฟันดาบเล่มนี้ลงไป ทันใดนั้นเองเขาก็ร่วงลงสู่พื้นและนอนแน่นิ่งในทันที
ไป๋อี้ยกมือซ้ายขึ้นมาปิดตาไว้ เลือดมากมายได้พุ่งออกมาจากปากของเขาอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถที่จะหยุดได้ในเวลานี้ ไป๋อี้รู้สึกได้ถึงความเสียดแทงจากความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป เมื่อมองดูปุยขนบนร่างของเขากับเบ็นสันที่สติหลุดลอยไปชั่วขณะแล้ว ไป๋อี้เงยหน้าขึ้นมาและในที่สุดเขาก็เข้าใจ ความสามารถที่เขาได้รับจากการผสานรวมยีนของผีเสื้อ คือ การจำลองธรรมชาติ การสร้างความสับสน!
การจำลองธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ที่สิ่งมีชีวิตจำลองหรือเลียนแบบสิ่งมีชีวิตอื่นหรือวัตถุอื่น ๆ ในสิ่งแวดล้อมเพื่อนำมาใช้ให้ได้มาซึ่งประโยชน์แก่ตน
สีสันเตือนภัย สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติที่เลียนแบบสีสันลวดลายสดใสเพื่อเป็นสัญญาณเตือนผู้ล่าว่าตนมีกลิ่นเหม็นหรือพิษที่ร้ายแรง
สีสันพรางตัว ลักษณะของสัตว์มีความคล้ายคลึงกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อให้เกิดความสับสนและหลีกเลี่ยงคู่ต่อสู้
ไป๋อี้ได้รับการผสมยีนกับผีเสื้อเพียงเท่านั้น ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงและมีพลังอำนาจมาก แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าสิ่งมีชีวิตที่แสนอ่อนแอนี้ก็มีทางเอาชีวิตรอดได้ในแบบของมันเองเช่นกัน
สีของขนปุยในตอนนี้สร้างความสับสนแก่อีกฝ่ายอย่างหนัก เพียงแต่มันยังไม่เพียงพอที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อศัตรู
แต่ความสามารถนี้ เมื่อมารวมยีนกับไป๋อี้ที่มีความพิเศษของเซลล์ดัดแปลงทำให้เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จุดนี้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายไป๋อี้ ……. การเลียนแบบธรรมชาติที่แสดงออกมาและสร้างความสับสนให้กับศัตรูนี้ ส่งผลลามไปถึงดวงตาทั้งสองของไป๋อี้ด้วย
ดวงตาคือหน้าต่างของจิตวิญญาณ และยังเป็นส่วนขยายของจิตวิญญาณด้วย เมื่อลาดลายบนร่างกายของไป๋อี้สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขาด้วยแล้ว จึงส่งผลให้ศัตรูเกิดความสับสนเมื่อได้มองเข้ามาข้างในตาคู่นั้น
ถึงแม้ว่ามันเป็นแค่การป้องกันตัวจากศัตรูที่แข็งแกร่งแบบหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออย่างผีเสื้อ
แต่ทว่า ……. ไป๋อี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผีเสื้อที่สามารถหลบหลีกศัตรูได้เท่านั้น!
…………
ไป๋อี้หลับตาลงช้า ๆ หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องตากับฝ่ายตรงข้ามอย่างเบ็นสันด้วยความดุเดือด เบ็นสันเห็นดวงตาของไป๋อี้ ก็รู้สึกว่าแววตาอาบเลือดของไป๋อี้ดูราวกับว่ากำลังทอแสงอันน่าพิศวงออกมา
ท่ามกลางการต่อสู้ที่ตึงเครียด อยู่ ๆ เบ็นสันก็เหม่อลอยอีกครั้ง …….. จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว!
ไป๋อี้พุ่งเข้าไปหาเบ็นสันที่ยังไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งไป๋อี้หมุนตัวด้วยความเร็วแล้วใช้มีดคาตะนะปักรอบขาของเขาถึง 4 ครั้ง ความเจ็บปวดจากขาซ้ายที่เสียดแทงขึ้นมาเรียกสติเขากลับมาได้ทันที เมื่อร่างของไป๋อี้ไถลไปบนพื้นและหยุดลง ขาซ้ายของเบ็นสันก็หักไปแล้ว เขาจึงต้องคุกเข่าอยู่กับพื้น
เบ็นสันหันกลับไปมองด้วยความเจ็บปวด และพบว่าไป๋อี้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังหอบหายใจอย่างหนักพร้อมกับหลับตาลง
ให้ตายสิ! ฉันสติหลุดในระหว่างการต่อสู้!
เบ็นสันอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก ในตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อครู่นี้ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงสิ่งมีชีวิตที่มีสีสันเตือนภัยและสีสันพรางตัวนั้นจะมีความสามารถทำให้ศัตรูเกิดความสับสนได้ แต่เบ็นสันคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ เพราะหลังจากเซลล์ดัดแปลงผสานรวมกับยีนอื่น ๆ แล้วจะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้
“แกกำลังสำนึกผิดอยู่เหรอ!” เสียงแหบแห้งของไป๋อี้ดังขึ้นข้างหูของเบ็นสัน
เบ็นสันตกใจมาก เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไป๋อี้เข้ามาอยู่ในระยะประชิดขนาดนี้แล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เบ็นสันเหวี่ยงหมัดไปตามทิศทางของเสียงตามสัญชาตญาณ แต่ว่าไป๋อี้กระโดดหลบอย่างคล่องแคล่วว่องไว ในครั้งนี้ไป๋อี้กระโดดสูงมาก เบ็นสันก็ไล่ตามร่างของไป๋อี้และมองขึ้นไปยังท้องฟ้าทันที แต่เขาเพิ่งจะรู้ว่าไป๋อี้นั้นได้กระโดดลงมาจากข้างบนแล้ว ฉากท้องฟ้าจำลองข้างหลังของเขาสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายเจิดจ้า
ภายใต้เงาของแสงอาทิตย์คือดวงตาลวดลายสีสดที่น่าพิศวงของไป๋อี้
สติของเบ็นสันตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง แต่สัญชาตญาณของเขาก็รับรู้ถึงความผิดปกติ เขารีบหลับตาลงทันทีและส่งหมัดขวาขึ้นไปทางท้องฟ้าอย่างแรง นายมันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ส่วนฉันเป็นถึงร่างกลายพันธุ์ LV 2 ฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มทดลองเพียงไม่กี่พันคนของสถาบันวิจัยที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ …… เบ็นสันคำรามอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจเพื่อปลุกใจตัวเอง หมัดขวาที่ทรงพลังได้พุ่งไปยังตำแหน่งที่ไป๋อี้อยู่
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหมัดได้พุ่งไปยังข้างบน มือซ้ายของไป๋อี้ก็คว้าข้อมือของเบ็นสันเอาไว้ ร่างกายไป๋อี้เคลื่อนไหวด้วยความกระฉับกระเฉงและคล่องแคล่วว่องไว หลังจากนั้นก็กระโดดลงมาที่เหนือต้นคอของเบ็นสัน แววตาของไป๋อี้ในตอนนี้เย็นเฉียบและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ไป๋อี้ไม่ได้ดีใจกับการได้รับพลังที่เหมาะสมในการต่อสู้ครั้งนี้มาเลย เพราะความสามารถนี้ได้ถูกปลุกขึ้นมาจากการตายของเพื่อนรวมทีมของเขา
ปลายดาบคะตะนะถูกฟันลงที่หูของเบ็นสันในทันที แต่มันกลับหยุดอยู่แค่นั้นก่อนที่จะพุ่งเข้าไปถึงสมอง เลือดค่อย ๆ ไหลออกจากหูของเบ็นสันช้า ๆ และไหลลงมาที่คอของเขาเรื่อย ๆ
ร่างกายของเบ็นสันไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ในเวลานั้นเขามีเพียงความรู้สึกกลัวความตาย
“มีอะไรจะสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายไหม!” ไป๋อี้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ทำไม….?” เบ็นสันถามออกไปด้วยความสงสัย แต่ไป๋อี้ก็ไม่ได้สนใจที่จะตอบ
“ฆ่าไอ้หยูหานให้ฉันที!” เมื่อเบ็นสันพบว่าไป๋อี้ไม่ต้องการที่จะตอบคำถามเขา เขาจึงปล่อยผ่านไปและบอกตวามต้องการสุดท้ายของเขา ยอมแพ้แล้ว เบ็นสันรู้สึกได้ถึงปลายแหลมของคมมีดนั่นทำให้เขารับรู้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามา ดิ้นรนไปก็สิ้นหวัง เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ ;jkเขาออกมาจากสถาบันวิจัยแฮมินตันทางตอนเหนือ แต่ต้องมาตายในสถาบันวิจัยอื่น
“ด้วยความเต็มใจ!” ไป๋อี้พูดเบา ๆ แล้วออกแรงกดมีดให้เจาะลึกเข้าไปมากกว่าเดิม
ร่างของเบ็นสันสั่นสะท้านไปทั้งตัว หลังจากนั้นเลือดก็ค่อย ๆ ไหลออกจากประสาทสัมผัสทั้งห้า ดาบคะตะนะของไป๋อี้หมุนไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็ดึงมันออกจากหัวของเบ็นสัน ส่วนผสมของของเหลวสีแดงสดและสีขาวน้ำนมค่อย ๆ ไหลจากรูหูขนาดใหญ่และค่อย ๆ ร่วงลงสู่พื้น
ไป๋อี้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยืนขึ้นอีกครั้ง เขามองไปอีกด้านหนึ่งที่เพื่อนร่วมทีมของเขากำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
สู้มัน สู้ให้ถึงที่สุด ต้องมีชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ให้ได้!