[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 7 สัตว์ประหลาดจากการทดลอง
ณ ทางตอนเหนือของแฮมินตัน ภายในห้องทดลอง มีนักวิจัยคนหนึ่งรู้สึกหิวจนแทบจะทนไม่ไหว ในขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าพอจะมีอาหารเหลืออยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง และสถานที่แห่งนั้นก็คือในห้องทดลองนั่นเอง มันเป็นอาหารที่เดิมทีได้เตรียมไว้ให้กับพวกร่างทดลอง และเมื่อเขานึกถึงอาหารหน้าตาแปลกประหลาดเหล่านั้นก็เผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
ของพวกนั้น สามารถกินได้ไหมนะ?
บางครั้งความคิดของคนเรา เพียงแค่ต้องคิดต่างสักเล็กน้อยก็จะสามารถสร้างทางเลือกในการทำสิ่งแปลกใหม่ขึ้นมาได้
ความหิวโหยขั้นสุดนั้น ทำให้นักวิจัยไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก เขาจึงได้วางแผนที่จะเอาอาหารออกมาบางส่วน แม้ว่าอาหารเหล่านั้นจะมีรูปลักษณ์ที่ดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ด้านในยังคงมีบางส่วนที่ดูเป็นเนื้อสัตว์ปกติ
ช่วงเช้ามืดของวันที่ 25 ชานเมืองของแฮมินตันทางตอนเหนือ บ้านที่ดูธรรมดาหลังหนึ่งอยู่ ๆ ก็ถล่มลงมา เงาขนาดใหญ่ที่ดูบิดเบี้ยวปีนออกมาจากข้างใน ร่างนั้นคลานอยู่บนพื้น มีขาขนาดมหึมาแปดขา แต่ละขาล้วนยาวประมาณ 4-5 เมตร มีหางเป็นงูเหลือมพาดอยู่กลางหลัง แต่ร่างกายครึ่งบนของมันกลับเป็นมนุษย์ และแขนของเขามีลักษณะคล้ายกับแขนรูปเคียวของตั๊กแตน
ร่างทดลองจากการผสมกันระหว่างยีนของสัตว์แต่ละชนิดที่แตกต่างกันทำให้ได้สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างลักษณะเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง!
ร่างนั้นปีนออกมาและหายเข้าไปในความมืดอย่างว่องไว แต่ภายในโพรงนั้นยังมีเงาบิดเบี้ยวของสัตว์ประหลาดต่างชนิดกันปีนออกมาไม่หยุด สถาบันวิจัยแฮมินตันทางตอนเหนือคือหนึ่งในสถาบันวิจัย 121 แห่งของนิวซีแลนด์ซึ่งภายในมีร่างทดลองอยู่ถึง 3,311 ตัว
ท่ามกลางกลางคืนที่แสนมืดมิด!
————————————————
กลุ่มนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากมหาวิทยาลัยไวกาโต้พากันขับรถไปยังตลาดวอร์สเตอร์ แล้วก็ต้องพบว่าสถานการณ์ที่นี่วุ่นวายกว่าที่คิด ร้านรวงหลายร้านตรงหน้าล้วนคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนอย่างหนาแน่นที่กำลังทำการปล้นสะดมอาหารอยู่ ขณะที่การซื้อของด้วยการจ่ายเงินแบบปกติกลับมีไม่มากนัก
สถานการณ์แบบนี้จะสามารถซื้อของได้จริง ๆ หรือ?
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ล้วนรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก ตลาด ณ เวลานี้ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนปกติเลยแม้แต่น้อย สิ่งของต่าง ๆ ล้วนต้องแย่งชิงเพื่อให้ได้มา แต่เมื่อคนเราหิวจนถึงจุด ๆ หนึ่งผู้คนล้วนสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไรก็ตามการปล้นขโมยอาหารแล้วติดคุกก็ยังดีกว่าการต้องมาหิวตาย อีกทั้งตอนนี้ตำรวจก็งานยุ่งมากจนไม่สามารถมาได้เสียด้วย
……
พวกเขาขับรถมาจนถึงร้านที่ไป๋อี้บอกไว้ แต่กลับเจอเพียงบานประตูที่แกว่งโงนเงนไปมา ราวกับว่าเพียงแค่สายลมพัดผ่านมันก็พร้อมที่จะร่วงหล่นลงมาทุกเมื่อ เปรียบเทียบที่นี่กับที่อื่น ๆ บริเวณรอบ ๆ แล้วจะเห็นได้ว่าที่นี่เงียบสงัดผิดปกติ ใครที่ได้เห็นสภาพเช่นนี้ต่างก็ต้องคิดว่าที่นี่ถูกปล้นจนหมดเกลี้ยงแล้วแน่ ๆ
ถูกปล้นจนเกลี้ยงแล้วจริงหรือ?
นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มาถึงนั้นนอกจากพวกที่เป็นหนอนหนังสือขั้นสุดแล้วก็ไม่มีใครเป็นพวกโง่เขลาสักคน ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองจะช้าไปสักหน่อย แต่ก็ครุ่นคิดได้อย่างรวดเร็วถึงสาเหตุที่ทำให้ร้านแห่งนี้ดูร้างและทรุดโทรมขนาดนี้ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ หลังจากเด็กกลุ่มนี้เดินเข้าไปถึงด้านในสุดก็พบว่าอาหารจำนวนไม่น้อยได้ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว และไป๋อี้ก็ยังคงวุ่นอยู่ข้างใน
แม้จะหิวมากแค่ไหน แต่กลุ่มนักศึกษาก็ยังคงรออย่างมีมารยาท ไม่มีใครเริ่มกินก่อน จนเมื่อไป๋อี้นำอาหารมาวางบนโต๊ะครบทุกจานแล้ว ทุกคนจึงจะเริ่มกินกัน
ขณะกินข้าวอยู่นั้น ทุกคนก็พูดคุยกันถึงเรื่องปรากฏการณ์ความหิวโหยและความน่ากลัวของความอยากอาหารครั้งนี้ว่ามีใครที่พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้บ้างไหม ขณะที่กำลังครุ่นคิดกันอยู่นั้น ไป๋อี้เหมือนจะได้ยินเสียงกรีดร้องเบา ๆ เขาหันไปมองทางทิศเหนือ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน นี่ฉันฟังผิดไปหรือเปล่า? ไป๋อี้มองอีกครั้งและหันไปมองคนอื่น ๆ ทุกคนยังคงกินอาหารกันอยู่ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
“วูล์ฟ นายได้ยินเสียงร้องไหม?” ไป๋อี้ถาม
“อะไร?” วูล์ฟตอบกลับด้วยความงงงวย
“เหมือนฉันได้ยินเสียงคนกรีดร้องมาจากทางทิศเหนือ …..” ไป๋อี้ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องมาจากทิศนั้นอีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เสียงที่มาจากคนคนเดียว แต่เป็นเสียงตะโกนและกรีดร้องจากคนนับไม่ถ้วนจนรวมเป็นเสียงเดียวกัน ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงไป๋อี้คนเดียวที่ได้ยิน แม้แต่คนอื่น ๆ ที่กำลังกินอาหารอยู่ก็ได้ยินเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น?
ซานโตสกับไป๋อี้วิ่งออกไปข้างนอกทันที ในขณะที่คนอื่นยังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปาก พวกเขาก็หันออกไปมองตามเสียงข้างนอกเช่นกัน ยังดีที่ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย ความสามารถในการมองเห็นทัศนีภาพยังกว้างไกล ก่อนที่ทั้งสองคนจะวิ่งไปถึงข้างนอก พวกเขาก็มองเห็นนกประหลาดบนทองฟ้าที่มีปีกยาวประมาณ 10 กว่าเมตร นกประหลาดที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์โฉบลงมาจากท้องฟ้าอย่างดุร้าย มันจับคนไปได้สองคน จากนั้นก็เริ่มฉีกกระชากร่างพร้อมกับกลืนกินร่างนั้นลงไป
“เจ้านี่มันคือตัวอะไรเนี่ย!” ซานโตสพึมพำออกมาขณะที่มองเจ้านกยักษ์นั่นตาค้าง
ไป๋อี้ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แต่ว่าการตอบสนองของเขานั้นเร็วกว่า เขาไม่ได้ยืนบื้ออยู่ที่เดิมแต่รีบรุดตัวกลับเข้าไปข้างในทันที
“เร็ว ไม่ต้องกินแล้ว รีบขึ้นรถ เราต้องรีบไปจากที่นี่” เมื่อไป๋อี้เข้ามาด้านในก็รีบตะโกนบอกทุกคนทันที
“ลุงไป๋ เกิดอะไรขึ้น?” หงฉี่ฮว๋าถามขึ้นอย่างสงสัย
“แย่แล้ว แย่แล้ว ข้างนอกมีสัตว์ประหลาดหัวมนุษย์ ตัวที่ใหญ่สุดยาวเกือบ 10 กว่าเมตรมันกำลังกินคนอยู่” ซานโตสที่ตอนนี้ก็วิ่งกลับมาเหมือนกันรีบตะโกนออกมา ถึงตอนนี้ก็ไม่ต้องให้ไป๋อี้อธิบายอะไรอีกแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงอยู่ในอาการมึนงง สัตว์ประหลาดหัวมนุษย์ ….. นี่กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่?
ทันใดนั้นเองก็มีปีกยาวราว 4-5 เมตรกว่าของเจ้า …… มังกร? กำลังบินโฉบผ่านจากด้านข้างร้านพอดี มันถลาลงมาที่พื้นอย่างดุร้าย เสียงกรีดร้องจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงดังสนั่นเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ไม่ต้องมีใครพูดอะไรอีกแล้ว สีหน้าของทุกคนที่อยู่ภายในลานร้านเล็ก ๆ แห่งนั้นเปลี่ยนเป็นความตะลึงงันไปชั่วขณะ หลังจากนั้นทุกคนก็รีบพากันวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก ในเวลานี้คงจะดีถ้ามีขาเพิ่มขึ้นมาอีกสองขา ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีโดยได้ละทิ้งภาพลักษณ์ที่สง่างามไปจนสิ้น
“เพี๊ยะ” หยูหานตบหน้าของฉินข่ายรุ่ยอย่างแรง
ทุกคนตกใจกับการกระทำของหยูหานเป็นอย่างมาก จากนั้นถึงได้รู้ว่าฉินข่ายรุ่ยวิ่งกลับไปที่รถและเตรียมจะสตาร์ทรถหนีไปคนเดียว โดยไม่สนใจแม้แต่เจียงหลินหลินซึ่งเป็นแฟนสาวของเขาเอง
“ตอนนี้พวกเรารวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ถ้านายทิ้งพวกพ้องแบบนี้อีก ฉันจะฆ่านาย!” หยูหานพูดอย่างเย็นชา ซึ่งในขณะเดียวกันมีดดาบยาวในมือของเขาได้ถูกชักออกมาครึ่งฝักและวางพาดอยู่บนคอของฉินข่ายรุ่ยด้วยท่าทีดุดัน
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ หยูหานมีภาพลักษณ์ด้านนี้ด้วยหรือ?
“ฉันแค่จะสตาร์ทรถเท่านั้น แม่แกสิ จะมาทำร้ายฉันทำไม” ฉินข่ายรุ่ยแทบจะบ้า เขาถูกตบหน้าอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทั้งยังถูกปัดหมวกลงมาใส่หน้าอีก
แต่ทว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน ทุกคนล้วนตระหนักขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เวลานี้ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว ทุกคนต่างพุ่งขึ้นรถจากนั้นก็สตาร์ทรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว เดิมทีพวกเขา 11 คนนั่งรถมาด้วยกัน 3 คันพอดีกับจำนวนคน อีกทั้งวูล์ฟยังมีรถขนส่งสินค้าอีกคันหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้มีที่นั่งเพียงพอสำหรับทุกคน
“เร็วสิ รีบติดสิ ไอบ้าเอ๊ย อยากตายรึไง?” ครอบครัวของซานโตสและบาเร็นต์นั่งอยู่บนรถขนส่งสินค้าที่ยังสตาร์ทไม่ติดซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความลนลานหรือเพราะรถที่มีปัญหากันแน่
“ซานโตส เร็วเข้า …..!”
วูล์ฟยื่นหน้าออกมานอกหน้าต่างเพื่อส่งเสียงเร่งเขา เป็นผลให้เจ้ามังกรที่มีหัวพิลึกพิลั่นถลาลงมาข้างล่าง กรงเล็บขนาดใหญ่ของมันจิกอยู่บนหลังคารถอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมันก็อ้าปากกว้างหมายจะงับสิ่งตรงหน้า เสียงของวูล์ฟติดอยู่ในลำคอ ….. จบเห่แล้ว ทุกคนต่างใจสลายเป็นขี้เถ้า ด้วยไม่คิดว่าพวกซานโตสจะยังสามารถรอดกลับมาได้
ไป๋อี้ก็มองเหตุการณ์นี้จากกระจกมองหลังอยู่เช่นกัน ภายในใจก็รู้สึกเศร้าเสียใจ เขาสตาร์ทรถอย่างช่ำชองแล้วรีบขับพุ่งออกไปที่ถนนอย่างรวดเร็ว
ไป๋อี้นั่งรถที่ตัวเองเป็นคนขับและวูล์ฟเองก็นั่งอยู่บนรถคันนี้ด้วย เหลือแค่บาเร็นต์และครอบครัวซานโตสที่ยังนั่งอยู่ในรถส่งสินค้าคันนั้น
บนถนนเต็มไปด้วยความอลหม่าน หลายคนเห็นสัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็ตื่นกลัวจนวิ่งสะเปะสะปะไปทั่ว แต่ทว่ายิ่งตื่นตระหนกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดความผิดพลาดได้มากเท่านั้น ตอนนี้รถจึงติดเต็มท้องถนนจนไม่สามารถผ่านไปได้
ไป๋อี้เหยียบเบรกอย่างกะทันหันขณะที่จวนจะชนกับรถคันข้างหน้า ให้ตายเถอะ นี่หรือว่าเราจะต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่ ไป๋อี้คิดว่ากลุ่มของพวกเขาคงต้องพึ่งสองเท้าของตัวเองถึงจะหนีจากเจ้าพวกสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ ตอนนั้นเอง ไป๋อี้ก็เหลือบไปเห็นทางด้านข้างที่มีรถบรรทุกคันหนึ่งอยู่ และยังมีร้านผุ ๆ อยู่ข้าง ๆ
“โม่โม่ลงรถ วูล์ฟตามมา!” ไป๋อี้บอกกับโม่โม่ หลังจากนั้นตัวเองก็เปิดประตูรถและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
โม่โม่เป็นเด็กฉลาด ทันทีที่เปิดประตูก็รีบวิ่งลงไปตามไป๋อี้ทันที พร้อมกับชาร์ไป่ที่ตามโม่โม่ไปติด ๆ อย่างแสนรู้ มีก็แต่วูล์ฟเท่านั้นที่ยังงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง พอเห็นว่าไป๋อี้วิ่งไปทางรถบรรทุกคันนั้นถึงได้รีบลงรถตามไป
ในตอนนั้นรถอีกสามคันที่ตามมาข้างหลังก็จอดด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างก็หันไปมองสัตว์ประหลาดทางด้านหลังที่ตามมาซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในใจของพวกเขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้แท้จริงแล้วมันคือตัวอะไรกันแน่ นี่ไม่ใช่เป็นการแสดงหนังสัตว์ประหลาดอยู่ใช่ไหม
ไป๋อี้เปิดประตูรถบรรทุกและส่งโม่โม่ขึ้นไปก่อน หลังจากนั้นก็ปีนขึ้นไปที่นั่งคนขับ ครั้งนี้วูล์ฟรีบตามขึ้นมานั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างว่องไว ไป๋อี้ตรวจสอบดูอยู่ครู่หนึ่ง เป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ คนขับรถคันนี้รีบหนีจนลืมดึงกุญแจออกไปด้วย
ไป๋อี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วจึงเริ่มสตาร์ทรถ
“โม่โม่ กอดหลังพ่อไว้!” ไป๋อี้พูด แล้วจึงขับรถพุ่งไปชนร้านที่อยู่ข้าง ๆ ทันที จะกล่าวว่าโครงสร้างของร้านนี้แข็งแรงก็ไม่ใช่ จะว่าเปราะบางก็ไม่เชิง มันถูกสร้างไว้แค่เพื่อขายของได้อย่างสะดวกเท่านั้น แน่นอนว่าเทียบกับโครงสร้างของบ้านพักอาศัยทั่วไปไม่ได้ หากรถเล็กปกติมาชนเข้าคนขับอาจถึงแก่ความตายได้ แต่กับรถบรรทุกนั้นต่างออกไป
รถเกิดการสั่นสะเทือนทันทีที่พุ่งชนราวกั้นตรงหน้าร้านจนมันพังลงมาเสียงดังสนั่น จากนั้นรถบรรทุกคันนี้ก็ยังคงพุ่งชนต่อไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
หยูหานและคนอื่น ๆ ที่กำลังมองเหตุการณ์นี้อยู่ด้านหลัง ต่างรู้สึกตกตะลึงนิ่งอึ้งไปสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นถึงได้รู้สึกตัว ไม่ต้องมีใครมาสั่งหงฉี่ฮว๋าก็สตาร์ทรถและขับตามหลังรถบรรทุกพุ่งตรงไปข้างหน้าทันที เวลานี้เขาไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ตราบใดที่ยังมีโอกาสมีชีวิตรอดเพียงน้อยนิดก็ควรที่จะคว้ามันไว้สุดกำลัง ในเมื่อไป๋อี้เปิดทางให้พวกเขาแล้วพวกเขาก็ควรเห็นคุณค่าของมัน
รถสองสามคันพุ่งโผล่ออกมาจากบ้านที่พังยับเยินหลังหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงถนนสายปกติเสียที
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809