[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 6 กลุ่มนักศึกษา
วันที่ 2!
จากวันที่ 23 ก่อนฟ้าสางหลังจากที่เซลล์ดัดแปลงของร่างแม่แบบทดลองกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้างได้เพียงสองวันเท่านั้น ผู้คนทั้งหมดในนิวซีแลนด์มากกว่าครึ่งรับรู้ได้ถึงความน่าทึ่งของการเจริญอาหารและความหิวโหยนี้ การเจริญอาหารทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เหมือนกับหลุมที่ถมอย่างไรก็ไม่มีวันเต็มกินอย่างไรก็กินไม่มีวันอิ่ม ในทุก ๆ ที่เกิดการขาดเเคลนและช่วงชิงอาหารจำนวนมหาศาล
นี่เเหละคือโลกมนุษย์และในธรรมชาติของสัตว์เหล่านั้นกลิ่นคาวเลือดและความโหดร้ายก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าตรู่ของวันที่ 25 รัฐบาลนิวซีเเลนด์ประกาศเปิดแหล่งเสบียงสำรองในช่วงสงคราม ในเวลาเดียวกันก็ปลอบขวัญมวลชนอย่าได้ตื่นตระหนกไปนี่ก็เป็นเพียงเเค่ความหิวโหยเท่านั้น สามารถหาทางแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน ในระบบสังคมสมัยใหม่ สถานการณ์ที่ผู้คนจะไม่มีที่ทำมาหากินเพราะความหิวโหยเหมือนในสมัยโบราณ โดยพื้นฐานแล้วจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งนานาชาติที่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของนิวซีแลนด์เรียบร้อยเเล้วต่างก็พากันตอบรับรวมถึงตระเตรียมการบริจาคสินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ
เมื่อนานาชาติได้รับข่าวสารเหล่านี้ ในที่สุดสถานการณ์ของนิวซีแลนด์ก็ดีขึ้นมาบ้าง แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าความหิวโหยนี้เเตกต่างจากความหิวโหยปกติอย่างสิ้นเชิง
มันยากที่จะอดทนต่อไป อีกทั้งในช่วงระยะนี้เกิดเหตุการณ์สัตว์กินคนอยู่บ่อย ๆ ทำให้รู้ว่าความหิวโหยนี้ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้น แต่สัตว์เองก็หิวโหยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่มีสติปัญญาเเละศีลธรรมที่จะสามารถควบคุมการกระทำของตนได้
แม้ว่าเพิ่งผ่านมาเพียงสองวันแต่การประกอบอาชีพการงานพื้นฐานในประเทศนิวซีแลนด์ยังคงหยุดชะงัก จะเว้นก็เพียงแต่อาชีพเชฟ ซึ่งโดยปกติตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าเพียงแค่คำหนึ่งคำอย่างคำว่า “กิน” นั้นจะมีพลังมากมายขนาดนี้ ความหิวโหยสามารถทำให้ผู้คนวางมือจากงานทั้งหมดได้เพียงเพื่อต้องการให้ท้องของตนอิ่มเท่านั้น
……
“แม่มันสิ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้หิวเร็วขนาดนี้” วูล์ฟสบถอยู่ข้าง ๆ
ตอนนี้นอกเหนือไปจากคนกลุ่มเดิมที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนก็ยังมีภรรยาของซานโตสและลูกชายวัยแปดขวบเพิ่มเข้ามา ส่วนพนักงานอีกคนคือบาเรนต์นั้นเป็นชายโสด คนเหล่านี้รีบมาที่นี่ตั้งแต่เช้าเพราะพวกเขากินวัตถุดิบอาหารพื้นฐานที่บ้านไปจนหมดแล้วจึงได้ติดต่อมาหาวูล์ฟ และหลังจากที่ได้รู้ว่าตลาดแห่งนี้ยังมีอาหารให้กินเหลืออยู่ไม่น้อยทั้งหมดจึงเดินทางมาที่นี่
เขาทั้งหลายห้อมล้อมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อติดตามข่าวสาร นั่นทำให้พวกเขาโล่งใจที่ได้รู้ว่ารัฐบาลนิวซีแลนด์ได้เปิดแหล่งเสบียงสำรองในช่วงสงคราม มีเพียงไป๋อี้เท่านั้นที่กำลังประเมินวัตถุดิบอาหารที่เหลืออยู่ในร้านและคำนวณว่าจะอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่
แหล่งเสบียงสำรองในช่วงสงครามเปิดให้ใช้อย่างแน่นอน แต่คาดว่าจะยังไม่ถูกส่งมาที่นี่และความหิวโหยยังคงไม่สิ้นสุด ประเด็นสำคัญคือเรื่องนี้มันผิดปกติ ซึ่งถ้าหากไม่บอกว่าสาเหตุคืออะไรไป๋อี้ก็ยังไม่เชื่อ
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาไป๋อี้ยังติดต่อกับเมย์ริสและซาร่าเพื่อเเจ้งให้ทราบถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย เมย์ริสคือแพทย์หญิงที่ช่วยโม่โม่ไว้ในห้องฉุกเฉิน ส่วนซาร่าคือพยาบาลสาวที่เคยกล่าวหาไป๋อี้ หลังจากที่ไป๋อี้ตัดสินใจรับเลี้ยงโม่โม่พวกเขาก็มีส่วนให้ความช่วยเหลือไป๋อี้เป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาในฐานะนักท่องเที่ยวจะสามารถรับเลี้ยงทารกที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นงานเชฟของไป๋อี้ที่มหาวิทยาลัยไวกาโต้ก็ได้เมย์ริสช่วยแนะนำให้
————————————————
ในเวลานี้กลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยไวกาโต้กำลังคุยกันว่าจะหาอาหารได้จากที่ไหน พวกเขาทั้งหมดเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันเป็นอย่างดีซึ่งมีกันทั้งหมดสิบเอ็ดคน โดยเก้าคนเป็นนักศึกษาต่างชาติ
“ตลาดขายอาหารที่ใกล้ที่สุดคือตลาดวอร์สเตอร์ ถ้าต้องการหาอาหารเราควรไปที่นั่น ถึงแม้ว่าจะมีการปล้นสะดมอาหารมากมายเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ตาม แต่ก็ต้องมีอาหารส่วนที่เหลืออยู่ที่นั่นบ้าง พวกเราจะไม่ขโมยของตราบใดที่ราคาไม่สมเหตุสมผลจนเกินไป แม้ราคาสูงขึ้นหลายเท่าฉันก็จะจ่าย” ฉินข่ายรุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจบนเวที
“มีใครอยากกล่าวอะไรเพิ่มเติมไหม พูดออกมาเลยพวกเราจะได้เสริมเติมข้อคิดเห็น”
หยูหานมองฉินข่ายรุ่ยบนเวทีในใจก็แอบอิจฉาเขาอยู่ลึก ๆ เขาเป็นนักเรียนที่มีความสามารถ เป็นถึงประธานสมาคมชาวจีนในต่างแดน เขามีพื้นฐานครอบครัวที่ดี หน้าตาดี แถมยังหุ่นดีอีกด้วย เขาจึงสามารถยืนบนเวทีได้อย่างมั่นใจ หยูหานรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองแต่ก็ทำได้เพียงแค่ไม่มั่นใจต่อไปเท่านั้น สถานะของเขาในตอนนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดา ธรรมดากว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
“ฉันมีความคิดเห็น!” หยูหานพูดพร้อมกับยกมือขวาขึ้น
“หยูหานไม่ทราบว่ามีความคิดเห็นอะไร?”
“เราต้องการคนเพิ่มอีกหนึ่งคน … เชฟ! ฉันคิดว่าในหมู่เราคงไม่มีใครที่มีฝีมือในการทำอาหารมากนัก เราสามารถหาวัตถุดิบได้แต่จะมีใครในพวกเราไหมที่มั่นใจว่ามีฝีมือในการทำอาหาร? สำหรับเชฟที่จะแนะนำก็มีอยู่คนหนึ่ง เชฟที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีเชฟไป๋อี้!” หยูหานกล่าว
“ยอมรับว่านี่เป็นข้อเสนอที่ดี เชฟนั้นสำคัญมาก” ฉินข่ายรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล
ไป๋อี้เองก็เป็นคนจีน เขามักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอและเขาสนิทสนมกับคนที่นี่เป็นอย่างดี หากคำแนะนำของหยูหานคือไป๋อี้ แน่นอนว่าไม่มีใครโต้แย้ง
“ทุกคนยังมีความคิดเห็นอื่น ๆ อีกไหม พูดออกมาเลยก่อนที่เราจะจัดระเบียบแบบแผนและเตรียมตัวให้พร้อม จากนั้นพวกเราจะมุ่งหน้าไปที่ตลาดวอร์สเตอร์กัน” ฉินข่ายรุ่ยถามต่อ
“ฉันเป็นคนเสนอเรื่องไป๋อี้ ดังนั้นเรื่องการตามหาเขาให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ แล้วก็ขอให้คนไปกับฉันด้วยหนึ่งคน” หยูหานกล่าวเมื่อการประชุมสิ้นสุดลง
“ไม่มีปัญหา เธออยากให้ใครไปกับเธอ”
“ทีน่าจะไปกับฉัน”
เบลลิก้าทีน่าเป็นแฟนสาวของหยูหานเธอเป็นคนนิวซีแลนด์ เธอไม่ได้มีหน้าตาสะสวยนัก รูปร่างค่อนข้างอ้วน ใบหน้ามีสิวเล็กน้อย
แน่นอนว่าผู้ชายส่วนมากนั้นชอบสาวสวย แต่นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง สถานการณ์ที่ผู้หญิงสวย ๆ จะมาชอบผู้ชายหน้าตาธรรมดา ๆ นั้นเกิดขึ้นแค่ในโลกจินตนาการเท่านั้น รูปร่างหน้าตาอย่างหยูหานสามารถมีแฟนได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จะคิดอยากได้สาวสวยอย่างดอกไม้งามได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเบลลิก้าทีน่าจะไม่ได้สวยขนาดนั้นแต่ว่าเธอก็รักหยูหานอย่างแท้จริงและจริงใจ
ไม่มีข้อสงสัยในการเลือกของหยูหาน ใคร ๆ ก็รู้ว่าทั้งสองเป็นแฟนกัน หลังจากตัดสินใจเลือกคนแล้วก็มาปรึกษาหารือตกลงกันว่าจะไปเอาของอะไรบ้างและนัดหมายเวลากลับมารวมตัวกัน
……
หยูหานกับเบลลิก้าทีน่าเคาะเรียกอยู่หน้าประตูบ้านของไป๋อี้ พวกเขารอมานานแล้วแต่ก็ไม่มีการตอบรับ
“ดูเหมือนจะไม่อยู่”
“ฉันเดาว่าเขาคงออกไปหาอาหารเช่นกัน ไป๋อี้ให้ความสำคัญกับโม่โม่มาก เขาต้องไม่ยอมปล่อยให้โม่โม่หิวโหยแน่นอน” เบลลิก้าทีน่าเข้าใจไป๋อี้เป็นอย่างดี ปกติโม่โม่ก็จะถูกเลี้ยงจนอ้วนอยู่แล้ว ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“งั้นก็ยุ่งล่ะสิ พวกเรารอมานานเกินพอแล้ว” หยูหานขมวดคิ้ว
“ฉันมีเบอร์โทรศัพท์ของโม่โม่นะ” เบลลิก้าทีน่าหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาขณะบอกกับหยูหาน
หยูหานคิดไม่ถึงว่าเบลลิก้าทีน่าจะมีเบอร์โทรเจ้าหนูอ้วนตัวน้อย พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันถึงขนาดนั้นเลยหรือนี่
“โม่โม่พ่อของหนูอยู่ข้าง ๆ ไหม?” เบลลิก้าทีน่าถาม
“อยู่ค่ะ”
“เอาโทรศัพท์ไปให้ลุงไป๋คุยได้ไหมจ๊ะ พี่มีเรื่องจะคุยกับเขา” เบลลิก้าทีน่ากล่าว
ที่มหาวิทยาลัยไวกาโต้นักศึกษาต่างชาติจากประเทศจีนมักเรียกว่าลุงไป๋ แต่ในความเป็นจริงไป๋อี้มีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น ซึ่งมีอายุมากกว่านักศึกษากลุ่มนี้ไม่มากนัก แต่เพราะเห็นว่าไป๋อี้มีลูกสาวแล้วและให้ความรู้สึกเหมือนคนที่มีอายุมากกว่า ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าลุงไป๋ แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงชื่อที่เรียกแสดงความนับถือยกเว้นเสียแต่เบลลิก้าทีน่าที่มักจะเรียกชื่อไป๋อี้ตรง ๆ
“ค่ะ” โม่โม่พยักหน้า
“ทีน่าเหรอ ที่โทรมาหาตอนนี้ไม่ใช่เพราะอยากให้ฉันไปช่วยพวกเธอทำอาหารใช่ไหม” ไป๋อี้หัวเราะออกมาทันทีที่นึกได้ว่าเบลลิก้าทีน่าต้องโทรมาด้วยเรื่องนี้แน่ ๆ
“ลุงไป๋นี่ฉลาดจริง ๆ พวกเราได้ตั้งทีมขึ้นมาชั่วคราวเพื่อหาวัตถุดิบ แต่กลับพบว่าไม่มีเชฟที่พอจะสนิทสนมด้วย ก็เลยนึกถึงลุงไป๋ขึ้นมา” เบลลิก้าทีน่าพูดอย่างไม่อ้อมค้อม แต่เธอก็ไม่ได้ถามว่าไป๋อี้อยู่ที่ไหน ถ้าหากไป๋อี้ยินดีที่จะเข้าร่วมทีมถึงตอนนั้นค่อยถามก็ยังไม่สาย
“พวกเธอมีวัตถุดิบงั้นเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ตอนนี้ยังไม่มี แต่จะไปซื้อที่ตลาดวอร์สเตอร์”
“กลุ่มของพวกเธอมีกันทั้งหมดกี่คน เป็นคนที่ไหน?” ไป๋อี้ถาม อันที่จริงวัตถุดิบที่นี่ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่ต้องทราบก่อนว่ากลุ่มนี้มีคนอยู่มากน้อยแค่ไหน หากมีคนเยอะเกินไปวัตถุดิบที่นี่ก็จะมีไม่พอ อย่าเพิ่งให้ความช่วยเหลือคนอื่นถ้ายังเอาตัวเองไม่รอด เรื่องอย่างนั้นไป๋อี้รู้ดีแต่คงทำไม่ลง
“11 คนค่ะ ทุกคนเป็นนัดศึกษาจากมหาวิทยาลัยไวกาโต้ มีหยูหาน ฉินข่ายรุ่ย หงฉี่ฮว๋า ……” เบลลิก้าทีน่าบอกรายชื่อไปทีละคน
“เข้าใจแล้ว ฉันขอลองถามเพื่อนดูก่อน” ไป๋อี้พยักหน้า ถ้าเป็นคนอื่นจะไม่สนใจก็ได้ แต่ว่านี่เป็นกลุ่มสมาคมชาวจีนในต่างแดน จะไม่ให้ความช่วยเหลือได้อย่างไร
“ค่ะ” เบลลิก้าทีน่าพยักหน้า
ในไม่ช้าไป๋อี้ก็ได้คุยกับวูล์ฟเรื่องกลุ่มนักศึกษา ถึงแม้วูล์ฟจะชื่นชมมหาวิทยาลัยไวกาโต้แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกลังเล ในสถานการณ์แบบนี้หากเพิ่มจำนวนสมาชิกเข้ามาอีกวัตถุดิบก็อาจมีไม่เพียงพอ
“วูล์ฟ คุณคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ปกติไหม?” ไป๋อี้ถาม
“จะปกติได้ยังไง” วูล์ฟอาจจะดูอืดอาดเชื่องช้าไปหน่อยแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ หากบอกว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในนิวซีเลนด์ไม่มีต้นสายปลายเหตุ บอกผีผีก็ยังไม่เชื่อเลย ไม่เช่นนั้นเพราะอะไรจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแค่ในนิวซีแลนด์เท่านั้น ประเทศอื่น ๆ ไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้น
“ฉันก็คิดอย่างนั้นวูล์ฟ วัตถุดิบที่นี่มีเพียงพอให้พวกเราประทังชีพได้อีก 4-5 วัน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราเองก็ต้องออกไปหาอาหาร พูดตามตรงอันที่จริงฉันมีความตั้งใจจะช่วยพวกนักศึกษาเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นฉันคิดว่าการรวมกลุ่มกับกลุ่มนักศึกษาที่รู้หน้ารู้ใจกันอยู่แล้วจะปลอดภัยกว่าการไปรวมกลุ่มกับคนแปลกหน้า แล้วคุณล่ะคิดว่าอย่างไร?” ไป๋อี้อยากจะอธิบายวูล์ฟตบไปที่บ่าของไป๋อี้เบา ๆ
“พอแล้ว พอแล้ว ฉันฟังไม่เข้าใจไป๋ คุณว่ายังไงก็ว่าตามนั้นแหละฉันเชื่อใจคุณ”
ไป๋อี้ยิ้ม เจ้านี่ไม่กลัวคนอื่นหักหลังเอาเสียเลย เมื่อวูล์ฟพูดเช่นนั้นไป๋อี้ก็โทรกลับหาเบลลิก้าทีน่าและบอกเธอว่าตัวเขาอยู่ที่ตลาดวอร์สเตอร์
“ตลาดวอร์สเตอร์!” เบลลิก้าทีน่าบอกกับหยูหาน
“ที่แท้ก็ไปที่นั่น วัตถุดิบอาหารพื้นฐานในบริเวณนี้ล้วนมาจากตลาดวอร์สเตอร์ ในฐานะเชฟของมหาวิทยาลัยแล้วเขาคงคุ้นเคยสนิทสนมกับคนในตลาดวอร์สเตอร์เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปหาอาหารที่นั่น” หยูหานชี้แจงพลางขมวดคิ้วไปด้วยกับท่าทางที่ดูฉลาด แม้ว่าเหตุเกิดแล้วจูเก่อเหลียงค่อยมา
(สำนวนหมายถึงเรื่องจบแล้วถึงเพิ่งออกโรง **จูเก่อเหลียงเป็นตัวละครในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก) แต่ไม่ว่าอย่างไรในสายตาของคนรักก็มองเห็นความดีงามของอีกฝ่ายอยู่เสมอ รูปลักษณ์ของหยูหานยังคงดึงดูดและมีเสน่ห์ในสายตาของเบลลิก้าทีน่า
ทั้งสองคนกลับไปและจัดการเก็บของของตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นทั้ง 11 คนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาขับรถคันเล็กมาสามคันเตรียมตัวที่จะมุ่งหน้าไปยังตลาดวอร์สเตอร์ สิ่งที่ทุกคนนำติดตัวมามีไม่มากเพราะในสายตาของทุกคนคิดว่านี่ก็แค่การไปซื้อวัตถุดิบเท่านั้น หยูหานก็เช่นกัน แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากห้องของตัวเอง เขาก็เหลือบเห็นกระเป๋าที่แขวนอยู่ตรงผนัง คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะคว้ามันติดมือไปด้วย
ข้างในกระเป๋ามีดาบอยู่ นั่นคือดาบที่เรียกว่าดาบแห่งยุคถัง ดาบญี่ปุ่น ดาบชนชาติแม้ว … ดาบหลากประเภทล้วนถูกบรรจุอยู่ในนั้นทั้งสิ้น มันเป็นสมบัติที่หยูหานได้มาโดยบังเอิญ
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809