น้ำมันเบนซินถูกเคลื่อนย้ายมาให้พวกไป๋อี้ น้ำมันเหล่านั้นถูกแบ่งเพื่อนำไปเติมให้กับรถคันอื่น ๆ จนเต็มถัง แต่ยังคงเหลือถังน้ำมันอีก 3 ถังที่ยังเต็มอยู่ ดังนั้นจึงนำไปเก็บไว้บนรถบรรทุก ในความเป็นจริงแล้วไป๋อี้และเพื่อน ๆ ของเขาต้องการที่จะขนถังน้ำมันเอง แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะดูกระตือรือร้นในการช่วยพวกเขาขนถังน้ำมันไปไว้ที่รถบรรทุกมาก หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นลงมาจากรถบรรทุกเขาก็ได้หันไปพยักหน้าให้กับโจดี้
“ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว วันนี้พวกคุณคงต้องพักกับพวกเราที่นี่” โจดี้ได้กล่าวคำเชิญชวนออกไปด้วยความจริงใจ
แต่ในขณะนั้น ไป๋อี้ก็ได้เห็นผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งส่ายหัวให้เขาอย่างเงียบ ๆ
หากไม่มีการส่งสัญญาณเตือนในครั้งนี้ บางทีไป๋อี้อาจจะเดินออกไปแล้ว เพราะเขาได้มองไปรอบ ๆ และสังเกตทุกอย่างอย่างรอบคอบ เขาเห็นผู้ชายที่เป็นเจ้าของรถน้ำมันคันนั้นพยักหน้าให้กันเล็กน้อย นอกจากนี้บรรยากาศบริเวณนี้ยังแปลก ๆ อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีคนส่งสัญญาณเตือนให้กับพวกเขาอีก ดังนั้นไป๋อี้จึงอยากจะรู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้บ้าง
“ได้แน่นอน ขอบคุณสำหรับที่พัก!” ไป๋อี้กล่าวขอบคุณ
“ไม่ขนาดนั้นหรอก! ต้องขอบคุณพี่ไป๋อี้ต่างหากล่ะ ไม่อย่างนั้นอาหารของเราอาจจะไม่ได้มีมากนัก ฮ่า ๆๆๆ” โจดี้หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
หญิงสาวร่างผอมคนนั้นคิดว่าไป๋อี้ไม่เห็นสัญญาณเตือนของตนเอง เธอจึงทำได้เพียงถอนหายใจเล็กน้อย
ภายในซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้ยังพอมีกระแสไฟฟ้าอยู่บ้าง ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเลยว่าทำไมโจดี้ถึงเลือกที่นี่เป็นฐานที่มั่นเพราะว่าที่นี่มีโรงงานไฟฟ้าขนาดเล็กอยู่ใกล้ ๆ เป็นเรื่องธรรมชาติมากที่มนุษย์จะกลัวความมืด โดยเฉพาะในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้
“เมื่อพวกคุณมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพกอาวุธมาด้วยหรอก!” โจดี้กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นไป๋อี้และเพื่อน ๆ ของเขานำดาบติดตัวมาด้วย
“ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ในความเป็นจริงแล้วพวกเราค่อนข้างที่จะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นที่นิวซีแลนด์ในช่วงนี้เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องพกดาบติดตัวไว้เพื่อความปลอดภัย” ไป๋อี้อธิบายออกมาด้วยรอยยิ้ม จริง ๆ แล้วการทำแบบนี้ค่อนข้างที่จะไม่มีมารยาท แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะนำมีดไปเก็บไว้ โจดี้ยังคงพูดต่ออีกสองสามประโยค ส่วนไป๋อี้ก็ทำเพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น กระนั้นเขาก็ยังคงไม่นำมีดไปเก็บไว้อยู่ดี หลังจากนั้นโจดี้ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
……….
จากนั้นโจดี้ก็ตั้งตัวเป็นเจ้าภาพ โดยการริเริ่มบอกให้พวกเขาเตรียมอาหารเย็นสำหรับเย็นวันนี้อย่างรวดเร็ว เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ อาหารนั้นไม่ได้มากและไม่ได้น้อยจนเกินไป โดยส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อของตัวทากหนวดหมึกและจระเข้ก้ามปูยักษ์ที่ไป๋อี้และเพื่อนของเขานำมา นอกจากนี้ยังมีอาหารส่วนอื่น ๆ อีก ซึ่งจริง ๆ แล้วอาหารเหล่านี้ก็คือเสบียงสำรองของพวกเขานั่นเอง
“เชิญเลย เชิญเลย!” โจดี้ได้กล่าวเชิญพวกเขามารับประทานอาหาร
ไป๋อี้นั้นไม่ได้สนใจกับเนื้อของตัวทากหนวดหมึกและจระเข้ก้ามปูยักษ์เพราะสองวันมานี้เขาทานพวกมันจนชินแล้ว ไป๋อี้มองไปยังเนื้ออื่น ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ในนี้มีผักชนิดหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก …. มันคือผักชนิดใหม่งั้นเหรอ? ทันใดนั้นจู่ ๆ เมย์ริสก็วางมีดและส้อมลงและหันไปส่ายหัวให้กับไป๋อี้ หลังจากที่ไป๋อี้เห็นการกระทำของเมย์ริส เขาก็ได้วางมีดลงเช่นกัน
“มีอะไรอย่างนั้นเหรอ ทำไมพวกคุณถึงไม่ทานล่ะ?” โจดี้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“กระดูกสันหลังส่วนบนของทรวงอกจะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นตั้งแต่ช่วงบนจนถึงช่วงล่าง เพื่อตัดผ่านหัวใจของทั้งสองด้าน มีร่องซี่โครงทั้งด้านบนและด้านล่างตามลำดับ โดยขอบข้างล่างจะเชื่อมกับกระดูกซี่โครง ดังนั้นฉันจึงอยากจะถามว่ากระดูกสันหลังส่วนบนทรวงอกของมนุษย์ทำไมมันถึงมาปรากฏอยู่บนจานอาหารนี้” แววตาของเมย์ริสเกิดความสับสนเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วเธอก็พอจะเดาคำตอบได้ เพียงแต่ยังไม่สามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เท่านั้นเอง และสิ่งที่อยู่บนโต๊ะนี้ต้องเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน
“คุณ .. คุณรู้อย่างนั้นเหรอ!” โจดี้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว
“ฉันเป็นหมอ!” เมย์ริสกล่าวออกมาเบา ๆ เธอนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ศัลยแพทย์ธรรมดาเพียงเท่านั้น แต่เธอยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมนอกจากนี้เธอยังเป็นแพทย์ที่เก่งด้ายอายุรกรรมและศัลยกรรมอีกด้วย สำหรับร่างกายมนุษย์แล้วนั้น เรียกได้ว่าไม่มีใครคุ้นเคยไปมากกว่าเมย์ริสอีกแล้ว
“ลงมือ!” โจดี้ตะโกนออกมาเสียงดัง อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้วางแผนที่จะลงมือภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าพวกของไป๋อี้จะรู้ตัวเร็วขนาดนี้ แต่ในเมื่อสถานการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็คงไม่มีทางเลือก
แต่ก่อนที่โจดี้จะตะโกนออกมา ไป๋อี้ก็ได้วิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะตัวที่ถูกสร้างขึ้นมา ทุกย่างก้าวของไป๋อี้นั้นอยู่ในช่องว่างระหว่างของถ้วยและจาน ไม่มีแม้แต่น้ำซุปที่จะกระเด็นออกมาสักหยด โจดี้นั้นทำได้เพียงแค่อ้าปากค้างและมองไปที่ไป๋อี้ด้วยความตกใจ และทันใดนั้นร่างกายของไป๋อี้ก็ได้กระโดดลงมาอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้โจดี้สามารถมองเห็นถึงสายตาอันเย็นชาของไป๋อี้ได้อย่างชัดเจน
ในความเป็นจริงแล้วไป๋อี้ต้องการที่จะหยุดการกระทำของโจดี้ก่อนที่เขาจะพูดออกมา แต่การเคลื่อนไหวของไป๋อี้ก็ยังคงช้าไป จึงไม่สามารถหยุดเขาได้
จู่ ๆ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงกระสุนปืนดังขึ้น และในเวลานั้นทำให้คนอื่น ๆ ต่างต้องพากันรีบหาที่หลบภัยอย่างรวดเร็ว
หงฉี่ฮว๋าอุ้มโม่โม่ขึ้นมา พวกเธอพากันกลิ้งตัวไปบนพื้นเพื่อหลบลูกกระสุนที่พุ่งมา และก็มาหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งเพื่อหลบภัย หลังจากนั้นกระสุนมากมายก็กระจัดกระจายกันอยู่บนพื้นเป็นจำนวนมาก คนอื่น ๆ ต่างพากับหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็วและหาที่หลบภัยอย่างระมัดระวัง
ครืด … ครืด .. ครืด!
ไป๋อี้ได้ใช้ดาบคะตะนะของเขาฟันลงไปที่อาวุธคล้ายกับเขี้ยวที่อยู่บนมือของโจดี้ ทันใดนั้นก็เกิดประกายไฟขึ้นทันที ผู้ชายคนนี้เคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ทั้งสองโดนพลังบางอย่างทำให้ดีดตัวออกจากกัน พลันเก้าอี้ที่โจดี้นั่งในตอนแรกนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และพลังนี้ทำให้ไป๋อี้ม้วนตัวไปในกลางอากาศในเวลาเดียวกันไป๋อี้ก็ได้เอียงดาบคะตะนะเล็กน้อยและฟันลงตรงเขี้ยวที่คล้ายกับอาวุธนั้นทันที
“อ๊าก!” เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้นเมื่อโจดี้ถูกไป๋อี้ใช้ดาบคะตะนะฟันลงที่นิ้วทั้งสี่
ไป๋อี้ยังคงไล่ล่าและโจมตีอีกฝ่ายแต่ทันใดนั้นรูม่านตาของโจดี้ได้หดตัวลงทันทีที่ดาบถูกยกขึ้นในแนวทแยงมุมขวางหน้าของโจดี้เอาไว้
ชิ้ง! ชิ้ง! ดาบของไป๋อี้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวได้
เสียงกระสุนสองนัดดังขึ้นอีกครั้งและกระทบลงบนใบมีดจนมันเบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง จังหวะนั้นทำให้ร่างกายไป๋อี้กระเด็นออกมาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากใบหน้าของเขา ไป๋อี้กลิ้งตัวกลางอากาศและร่วงลงสู่พื้น หลังจากนั้นเขาก็เด้งตัวหลบไปอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อหลบซ่อนตัวที่หลังกำแพง ไป๋อี้จับที่เอวของตัวเองทำให้เขาสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลออกมา
เหตุการณ์เมื่อสักครู่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงสามารถหลบลูกกระสุนได้เพียงสองนัดเท่านั้น แต่ในส่วนอื่น ๆ เขาไม่สามารถรับมือได้เลย
ไป๋อี้หลับตาลงแล้วค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าปอด หลังจากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมาทันที แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและอารมณ์โกรธอย่างรุนแรง ในความเป็นจริงแล้วไป๋อี้คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ในประวัติศาสตร์จีนในยุคของภัยพิบัติข้าวยากหมากแพงได้มีการบันทึกการเปลี่ยนแปลงการกินของผู้คนอยู่อย่างชัดเจน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การกระทำแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย
ทันใดนั้นเขาก็วิ่งออกไปด้วยความเร็ว ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและผ่านหน้าผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนถือปืนอยู่บริเวณมุมห้อง
หึ หึ เลือดปรากฏอยู่บนคอผู้ชาย คนดังกล่าว และทันใดนั้นเองหัวของเขาก็หลุดและร่วงลงสู้พื้นทันที ไป๋อี้ใช้มือซ้ายจับปืนกลมือของผู้ชายคนนั้นและทำการกราดยิงออกไปยังศัตรูคนอื่น ๆ คนที่รอดชีวิตต่างพากันหนีตายและหาที่หลบซ่อน ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นทำให้วูล์ฟ เฮลัวส์ และมาร์ติน ทั้งสามคนใช้โอกาสนี้รีบหนีออกไป
อาวุธห้ามห่างจากมือเด็ดขาดนี่คือสิ่งที่ไป๋อี้คอยเน้นย้ำกับพวกเขามาโดยตลอดในตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้จริง ๆ
ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาในทางจิตวิทยาแล้ว วูล์ฟและเพื่อนของเขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ในทางร่างกายกลับมีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ นี่คือสัญชาตญาณในการเผชิญหน้ากับอันตราย ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากัน ไม่เว้นแม้แต่หนูน้อยเวอร์เนอร์ แต่เจ้าหมูแคระพูพูกลับกลัวจนตัวสั่นเพราะไม่รู้ว่าจะหลบซ่อนตัวตรงไหน
หงฉี่ฮว๋ารีบออกมาอุ้มโม่โม่และจับโยนออกไปอีกทางหนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็หันกลับมา ครืดครืดครืด … หงฉี่ฮว๋าฟันมีดสั้นคู่นั้นฟันลงบนเหล็กเส้นทันที และในขณะนั้นเองมือทั้งสองข้างของเธอก็ปะทะเข้ากับเหล็กเส้นอย่างรวดเร็วหลายสิบครั้ง มันเป็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถมองได้ทัน จนเกิดเสียงการปะทะระหว่างเหล็กและดาบขึ้น การกระทบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงแกนเหล็กด้านใน หลังจากที่พลังงานบางอย่างถูกปลดปล่อยออกมา หงฉี่ฮว๋าก็กลิ้งไปกลางอากาศหลังจากนั้นก็ตกลงสู่พื้น
ในขณะนั้นเมื่อโม่โม่กำลังจะตกลงสู่พื้น ชาร์ไป่ก็รีบวิ่งออกมารับโม่โม่เอาไว้ได้ทัน เมื่อโม่โม่ขึ้นบนหลังของมัน ก็ได้จับแผงคอไว้อย่างชำนาญ หลังจากนั้นก็มองไปที่หงฉี่ฮว๋าและชายร่างใหญ่คนนั้น ถึงแม้ว่าโม่โม่ยังคงรู้สึกตึงเครียด แต่ว่าหลังจากที่ได้พบกับสัตว์ประหลาดริมแม่น้ำในตอนเที่ยง มันทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับการกลายพันธุ์แบบนี้แล้ว
“ปกป้องโม่โม่!”
“โฮ่ง!” ชาร์ไป่ร้องออกมาและพาโม่โม่วิ่งออกไปจากตรงนั้น
หงฉี่ฮว๋ายืนขึ้น เธอมองไปยังผู้ชายตัวสูงราวสามเมตรที่รูปร่างใหญ่ราวกับช้าง เธอจำได้ว่าเขาชื่อมอริค? เขาคือผู้ชายคนที่ถูกหงฉี่ฮว๋าจับโยนออกไปในก่อนหน้านี้ และตอนนี้เขากำลังถือเหล็กเส้นอยู่ นั่นยิ่งทำให้คนอื่น ๆ ตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้น
………..
หลังจากที่วูล์ฟและคนอื่นอาศัยช่องว่างในการหนีออกมา ทำให้ไป๋อี้ไม่อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกต่อไป แต่เขากลับไล่ต้อนโจดี้ให้เข้าไปภายในแทน นอกจากนี้ยังมีอีกสองคนอยู่บนที่ถนนที่พยายามจะโจมตีไป๋อี้ด้วยปืน แต่ไป๋อี้กลับเคลื่อนที่เร็วขึ้นและยิงปืนกลับไปภายในไม่กี่วินาที
ไป๋อี้ได้ทำการสกัดกั้นโจดี้ไว้บนทางเดิน เขาไม่มัวพูดเรื่องไร้สาระ แต่เล็งปืนกลมือไปที่ผู้ชายคนนี้ จากนั้นเขาก็ทำการเหนี่ยวไกปืน แต่ปรากกฎว่าปืนไม่มีกระสุนอีกแล้ว
อาวุธหนักมักจะเป็นเช่นนี้ เมื่อไม่มีกระสุนมันก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็ก
นิ้วมือทั้งสี่นิ้วของโจดี้ที่ถูกตัดออกไป แต่ในตอนนี้มันกลับมีเคียวเล็ก ๆ งอกออกมาจากมือของเขา อีกทั้งยังคมมากเช่นกัน รวมไปถึงมือซ้ายที่อยู่ภายใต้ผ้าก็มีเคียวงอกออกมาเช่นเดียวกัน จู่ ๆ ปากของเขาก็กลายเป็นปากแหลมใหญ่ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวที่มีความแหลมคมมาก เมื่อเห็นว่าปืนกลมือของไป๋อี้ใช้งานไม่ได้ จึงทำให้เขาไม่วิ่งไปไหนต่อ เขาหอบหายใจเล็กน้อยแล้วหันไปเผชิญหน้ากับไป๋อี้
ไป๋อี้ลุกขึ้นในทันที เขาถือดาบคะตะนะไว้ข้างตัวและเอียงดาบเล่มนั้นเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าโจดี้ยังมีสติอยู่ หลังจากที่เขาได้ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นเขาก็รีบวิ่งออกมา เคียวที่แหลมคมที่อยู่บนมือของเขานั้นลุกโชนไปด้วยความร้ายกาจและดูเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ ทันใดนั้นทั้งสองก็พุ่งเข้าหากัน
เคร้ง !
ดาบคะตะนะในมือของไป๋อี้นั้นยากที่จะสัมผัสได้ถึงการสั่นที่รุนแรงเมื่อถูกปะทะ มองดูแล้วดาบนี้ก็เหมือนเป็นดาบปกติธรรมดาทั่วไป ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บค่อนข้างมาก มือซ้ายของโจดี้หักตั้งแต่ส่วนหัวไหล่จนถึงปลายแขน แม้แต่ส่วนของหน้าอกด้านหน้าของเขาก็ถูกดาบฟันจนเป็นรอยแผลขนาดใหญ่ แววตาของโจดี้แสดงออกชัดเจนว่าเขายังคงเชื่อว่าเคียวบนแขนของเขาต้องแข็งแรงกว่าดาบธรรมดาแบบนั้นอย่างแน่นอน แต่ทำไมเคียวของเขามันถึงแตกได้ มันเป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ
ในอีกด้านหนึ่ง ดาบคะตะนะของไป๋อี้เล่มนี้นั้นเป็นดาบล้ำค่าและหายากมากกว่าดาบในการ์ตูนกำลังภายในอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆๆๆ! คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะร้ายกาจขนาดนี้! ต้องขออภัยด้วย พวกเราไม่ควรมีความคิดไม่ดีต่อพวกคุณจริง ๆ” โจดี้คุกเข่าลงบนพื้นและหัวเราะออกมาเสียงดัง เลือดที่ไหลออกมาจากปากของเขาทำให้เสียงของเขาแปลกไปเล็กน้อย
“ปัญหามันไม่ใช่เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ!” ไป๋อี้เดินมาและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“คุณไม่ควรมาตำหนิหรือกล่าวโทษฉัน สิ่งที่คุณต้องโทษคือโลกที่โหดร้ายใบนี้ต่างหาก! คุณรู้ไหมว่าการหิวแบบนี้ มันเป็นการหิวที่สามารถทำให้บ้าคลั่งได้เลย แม้แต่การกินมนุษย์เข้าไปก็ไม่สามารถเติมท้องให้อิ่มได้” โจดี้พูดออกมาเสียงดัง อารมณ์ของเขาค่อนข้างที่จะพลุ่งพล่านไปด้วยความตื่นตระหนก
“หลังจากนั้น ทุกคนก็จะค่อย ๆ กลายเป็นสัตว์ประหลาด! ใครควรเป็นมนุษย์อย่างนั้นเหรอ หึ! ฉันเห็นอนาคตของโลกใบนี้แล้วล่ะ ทุกคนจะกลายเป็นสัตว์ประหลาด หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นเหยื่อของอีกฝ่าย สุดท้ายก็จะเป็นอาหารไงล่ะ!”
โจดี้มองไป๋อี้ด้วยสายตาที่ดุร้ายและดูบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน
MANGA DISCUSSION