[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 56 การแลกเปลี่ยน
ร้านกาแฟรกระเกะระกะมาก และอาหารก็คงจะไม่มีเหลือแล้วแน่นอน แต่ไม่มีใครเอาพวกสิ่งของไป ไป๋อี้รีบใช้เครื่องมือที่นี่เพื่อชงกาแฟให้ทุกคน ในเวลานี้คนอื่น ๆ กำลังจัดเก็บของในร้านกาแฟอยู่ ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นการดื่มกาแฟอุ่น ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอาจทำให้รู้สึกดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“นี่มันกลิ่นอะไรกัน กลิ่นแปลก ๆ!” มาร์ตินพูดพร้อมกับขมวดคิ้วหลังจากจิบกาแฟไปหนึ่งจิบ
“กาแฟขี้ชะมด เป็นสมบัติล้ำค้าของโยชิโมโตะเจ้าของเดิม ฉันก็ยังไม่เคยดื่มเหมือนกัน” ไป๋อี้พูด
“มันคงเป็นของสะสม นี่มันไม่ใช่กาแฟธรรมดาที่ฉันดื่มประจำ” มาร์ตินส่ายหัว
“กาแฟขี้ชะมดผลิตในอินโดนีเซีย เมล็ดกาแฟเป็นอาหารของชะมด แต่เมล็ดกาแฟไม่สามารถย่อยได้หมดในระบบย่อยอาหารของมัน เมล็ดกาแฟจะถูกหมักในกระเพาะของชะมดแล้วขับออกทางอุจจาระ โดยเมล็ดกาแฟจะถูกนำออกจากอุจจาระผ่านกรรมวิธี นั่นจึงเรียกว่ากาแฟ “ขี้ชะมด” กาแฟชนิดนี้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และว่ากันว่าผลผลิตแบบนี้หายากมาก …… ” หงฉี่ฮว๋าต้องการพูดต่อ ในขณะที่มาร์ตินและซาร่าฉีดสเปรย์ไปทั่ว
ชะมด กาแฟขี้ชะมด?
“งานอดิเรกของพวกคุณแปลกจริง ๆ” เห็นได้ชัดว่ามาร์ตินไม่สามารถดื่มมันได้อีกต่อไป
“มนุษย์มักชอบครอบครองของหายากเป็นสมบัติแสดงให้เห็นถึงรสนิยมและสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้มีมูลค่าสูงขนาดนั้นก็ตาม อันที่จริงฉันไม่คิดว่าฉันจะชอบรสชาติแบบนี้” ไป๋อี้ขมวดคิ้ว แต่ก็ดื่มกาแฟจนหมด การไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ อาหารเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของเชฟ
“ก็อย่างนั้นแหละ เมื่อก่อนฉันเห็นในทีวี ในงานปารีสแฟชั่นวีค ฉันเห็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่นางแบบสวมใส่ซึ่งมีเพียงผ้าขี้ริ้วไม่กี่ชิ้นพันเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่ามันเป็นพรมแดนของแฟชั่นสิ่งที่เป็นที่นิยมชมชอบของคนอื่น ยังไม่เห็นสวยเท่าเสื้อผ้าของฉันในตอนนี้ด้วยซ้ำ” วูล์ฟพูดพร้อมกับอวดเสื้อผ้าที่เขาสวมอย่างไม่อ้อมค้อม
ทุกคนมองไปที่วูล์ฟอย่างเอือมระอา
“ทำไมล่ะ ทำไมทุกคนมองฉันอย่างนั้น”
“เปล่า ไม่มีอะไร ฉันก็แค่คิดไม่ถึงว่าบางทีวูล์ฟก็พูดความจริงออกมาซื่อ ๆ” ไป๋อี้พูด จากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น และคนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา ในความเป็นจริงทุกคนเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ พวกนี้มากมาย แต่พวกเขาขี้เกียจที่จะพูดถึงเรื่องนี้
“อบอุ่นร่างกายของพวกคุณในเย็นนี้ แล้วพวกเราค่อยมาดูกันว่ามีน้ำมันเบนซินเหลืออยู่หรือไม่” ไป๋อี้พูดกับทุกคน
……
หลังจากดื่มกาแฟเสร็จ ไป๋อี้ก็แบ่งพวกเขาออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มไป๋อี้และมาร์ติน กลุ่มของวูล์ฟและเฮลัวส์ ทั้งสองกลุ่มไปในเมืองเพื่อตามหาน้ำมันเบนซิน ส่วนหงฉี่ฮว๋าและคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ดูแลความเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขามีน้ำมันไม่เพียงพอ หากไม่มีน้ำมันเบนซินพวกเขาคงต้องเดินเพื่อไปยังอุทยานแห่งชาติตองการิโรเท่านั้น
เมืองนี้เงียบวังเวงมาก แต่ท้ายที่สุดที่นี่ก็ไม่ใช่ฉากวิกฤตกาลแดนชั่วร้ายเหมือนในภาพยนตร์ ไวรัสร้ายทั้งสองชนิดก็ไม่เหมือนกัน ความตะกละและความอดอยากทำให้ผู้คนที่ยังรักษาสติสัมปชัญญะของตัวเองได้ต้องออกจากเมืองโดยไม่มีอาหาร
หลังจากออกค้นหากว่าสองชั่วโมงไป๋อี้และมาร์ตินก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้น เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ามืดลงแล้วพวกเขาก็กลับไปที่ขบวนรถ ทุกคนกำลังรอวูล์ฟและเฮลัวส์ แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่งไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็มองไปทางที่วูล์ฟและเฮลัวส์แยกออกไปค้นหา และต่างพากันขมวดคิ้ว
ยังไม่กลับมากันอีก!
“ขับรถเข้าไปไว้ในป่า ปิดซ่อนมันให้ดี จากนั้นทุกคนก็ออกไปหาพวกวูล์ฟกัน …… ” ขณะที่ไป๋อี้กำลังคิดว่าอาจจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับทั้งสอง ชาร์ไป่ก็เห่าขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็เห็นวูล์ฟและเฮลัวส์วิ่งกลับมาทางด้านนี้โดยมีอีกสองคนตามมาข้าง ๆ
“ไป๋อี้ ฉันพบน้ำมันเบนซินแล้ว แต่อีกฝ่ายต้องการบางอย่างที่จะแลกเปลี่ยน” เฮลัวส์เดินออกมาสองก้าวยืนอยู่ข้าง ๆ ไป๋อี้และกระซิบบอกเขา
“นายเป็นผู้นำทีมนี้เหรอ?” หนึ่งในนั้นมองไปที่ไป๋อี้และพวกเขาทั้งหมด แล้วจึงพูดกับไป๋อี้
“ใช่ ฉันเป็นผู้นำ” ไป๋อี้พยักหน้าขณะที่สังเกตทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ
“เรามีแค่น้ำมันเบนซิน นายอาจจะหาได้ยากในเมืองนี้ ถ้านายต้องการมัน นายสามารถเอาของมาแลกเปลี่ยนได้”
“ของอะไร”
“อาหาร นี่เป็นสิ่งที่จำเป็น หรือจะเป็นอาวุธก็ได้เช่นกัน”
“มีเกณฑ์อะไรในการแลกเปลี่ยน”
“ไม่มีวิธีการแลกเปลี่ยนที่ตายตัวอย่างไรก็ตามมันแตกต่างจากเมื่อก่อน ตราบใดที่เราทั้งคู่รู้สึกว่ามันเหมาะสม ก็สามารถแลกเปลี่ยนกันได้เลย นายรีบตัดสินใจหน่อยก็แล้วกัน ถ้านายคิดว่ารับข้อเสนอนี้ได้ ก็ตามพวกเรามา” ผู้ชายคนนี้ดูผอมและอ่อนแอ เหมือนไม่มีอาหารตกถึงท้องมาสองสามวันแล้ว อย่างไรก็ตามเขามีแบบแผนที่ชัดเจนมาก
“ไปแลกเปลี่ยนกันที่ไหน?”
“แน่นอนว่าก็ต้องไปที่ของพวกเรา ใครจะหอบน้ำมันวิ่งหนีกัน”
“งั้นก็ได้ พวกนายนำทางได้เลย” ไป๋อี้พยักหน้า อย่างน้อยในขณะนี้อีกฝ่ายก็ดูเป็นปกติดี แต่เมื่อไป๋อี้หันกลับมาเขาก็พยักหน้าให้หงฉี่ฮว๋าอย่างมีนัยสำคัญ ในฐานะผู้นำทีม ไป๋อี้เข้าไปเจรจาแลกเปลี่ยนกับทั้งสองคน ขณะที่หงฉี่ฮว๋าหลังจากเห็นท่าทางของไป๋อี้เธอก็แอบสื่อสารให้คนอื่น ๆ ระวังตัวให้ดี
“พวกเขาดูไม่เหมือนคนเลวนะ” มาร์ตินกล่าว
“มีคำกล่าวในประเทศจีนว่าหัวใจที่จะปกป้องผู้อื่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้!” หงฉี่ฮว๋ากล่าว ในความเป็นจริงเธอมีอะไรที่ยังพูดไม่หมด ชายทั้งสองคนนั้นดูผอมเกินไปราวกับสุนัขที่ผอมโซ อีกทั้งทั้งสองยังมีลักษณะคล้ายมนุษย์มากกว่า 90% และดูเหมือนพวกเขาไม่มียีนของสิ่งมีชีวิตอื่น หรือกล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับสารอาหารไม่เพียงพอที่จะให้เซลล์ดัดแปลง กล่าวง่าย ๆ คือ พวกเขากินอาหารไม่เพียงพอ
แม้ว่ามาร์ตินและคนอื่น ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่ตามคำอธิบายของหงฉี่ฮว๋าทุกคนต่างก็จับอาวุธเตรียมป้องกันตัวเองอย่างลับ ๆ
ไป๋อี้ให้เนื้อแห้งสองห่อและพยายามเป็นมิตรกับพวกเขาอย่างสุดความสามารถ ทั้งสองคนใช้เวลาเพีียงไม่นาน ก่อนที่พวกเขาจะปรับทุกข์อะไรกันไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนหิวมาก หลังจากได้รับเนื้อวัวที่ไป๋อี้ให้มา พวกเขาก็ไม่เกรงใจและเริ่มลงมือกินอย่างตะกละตะกลามในรถคันนั้น จากนั้นพวกเขาก็ได้พูดคุยกับเรื่องอื่น ๆ กับไป๋อี้
พวกเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมือง ตอนแรกทุกคนคิดว่าจะไปหาอาหารข้างนอก แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยเมื่อออกจากเมืองไปแล้ว ป่ากลายเป็นที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง แม้ว่าในเมืองจะมีอาหารน้อยมาก แต่ก็ยังคงเป็นดินแดนของ ‘มนุษย์’ คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเมืองแม้ว่าอาหารจะถูกบริโภคจนหมดเกลี้ยง แต่ก็มีการรวบรวมปัจจัยวัตถุอื่น ๆ ไว้มากมาย
“ถึงแล้ว!” หนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นมา
ไป๋อี้หยุดรถและมองไปที่ฐานที่มั่นแห่งนั้น สถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก เพียงข้ามแม่น้ำวังกานุยมา อยู่ข้างสถานีพลังงานน้ำขนาดเล็ก เดิมทีเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ติดกับร้านดอกไม้ แต่ในเวลานี้มีคนอีกกลุ่มหนึ่งออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนใหญ่ดูผอมอ่อนแอ พวกเขาดูมืดมนและสิ้นหวังมาก
คนทั้งสองกลุ่มมองหน้ากันไปมา พลางคิดอะไรอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ
“ยินดีต้อนรับ ชายแปลกหน้า……” ชายที่มุ่งหน้ามาทางเขาดูแล้วยังนับว่าปกติอยู่ เขาสูง 2.5 เมตรมีกล้ามเนื้อที่มีหนามแหลมเม่นงอกที่คอ เขามีเขี้ยวสองข้างยาวสิบกว่าเซนติเมตรยื่นออกมาจากปาก ……. เคียวเกี่ยวเหมือนตั๊กแตนตำข้าวงอกขึ้นที่มือขวา ในขณะที่มือซ้ายเป็นกระจุกขนาดใหญ่ห่อด้วยเสื้อผ้าทำให้มองเห็นได้ยาก
“ไป๋อี้”
“คุณไป๋อี้ใช่ไหม ฉันชื่อโจดี้” โจดี้คนนี้ดูกระตือรือร้นมาก เขาเข้ามาใกล้ไป๋อี้มากขึ้นและเมื่อแนะนำตัวเองแล้วเขาก็มองไปที่กลุ่มของไป๋อี้ เอ่อ เจ้าสุนัขตัวใหญ่นี่มันเป็นสัตว์ประหลาดนี่นา …… เมื่อคนกลุ่มนั้นเห็นชาร์ไป่เข้า พวกเขาก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว บางคนถึงกับหยิบปืนขึ้นมา
“หยุด!” โจดี้บอกกับทุกคน
“ขออภัย สุนัขตัวนี้น่ากลัวเกินไป พวกเขาเลยแสดงปฏิกิริยาที่ตื่นตระหนกกันไปหน่อย ฉันได้ยินบาร์ลินบอกว่าคุณต้องการน้ำมันเบนซินอย่างนั้นหรือ” โจดี้กล่าวขอโทษเล็กน้อย แต่ก็ยังมองไปที่ชาร์ไป่อย่างระแวดระวัง พวกเขาโล่งใจเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าชาร์ไป่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรมากเป็นพิเศษ
“ใช่ เราต้องการน้ำมันเบนซิน” ไป๋อี้พยักหน้า
“เชิญเข้ามา น้ำมันเบนซินนั้นอยู่ที่นี่ ตอนที่กำลังหาอาหารเราถือโอกาสรวบรวมมันมาด้วย…… ” โจดี้เดินไปข้างหน้า ในขณะที่ไป๋อี้เดินตามไป ทั้งสองกลุ่มมองหน้ากัน ฝั่งโน้นมีคนเยอะมากประมาณ 20 กว่าคน แต่ครึ่งหนึ่งดูผอมและอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเพราะกินอาหารไม่เพียงพอมาเป็นเวลานาน ส่วนกลุ่มคนอื่น ๆ ที่ดูแข็งแรงดีค่อนข้างดูโหดร้ายกว่าเล็กน้อย
มีคนต้องการตรวจสอบรถบรรทุกของพวกไป๋อี้ แต่จู่ ๆ หงฉี๋ฮว๋าก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ คน ๆ นั้นและคว้ามือขวาของผู้ชายที่หวังจะเปิดประตูรถเอาไว้
“คิดจะทำอะไร?” หงฉี่ฮว๋าถามอย่างเงียบ ๆ
“สาวน้อยหลีกไปน่า แค่ดูหน่อยไม่ได้เหรอ” ผู้ชายคนนี้สูงกว่าวูล์ฟถึงสามเมตร เขาโบกมือไปมาเหมือนกับช้าง ขณะที่ชายคนนี้โบกมือหงฉี่ฮว๋าก็ใช้กำลังปะทะใส่ ในเวลาเดียวกันนั้นมือทั้งสองของเขาก็ถูกรวบเข้าหากัน อย่างไรก็ตามผู้ชายคนนี้ที่ดูร่างกายใหญ่โตกว่าหงฉี่ฮว๋าถึงห้าคนก็ลอยออกไปในอากาศสี่หรือห้าเมตร แล้วตกลงกับพื้นอย่างแรง
มีเสียงตูมดังขึ้นราวกับเสียงแผ่นดินไหวขนาดย่อม ๆ
ทุกคนถูกดึงดูดความสนใจไปกับเสียงที่เกิดขึ้นและต่างพากันมองตรงไปที่นั่น ทางด้าของไป๋อี้เองก็มองไปที่โจดี้อย่างไม่ลดละ
“ขอโทษ ขอโทษนะมอริคใจร้อนเกินไป เขาแค่อยากเห็นว่าพวกคุณมีอะไรกินบ้าง ไม่มีอะไรเป็นอันตรายหรอก แต่ฉันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีพละกำลังมากขนาดนี้” โจดี้หัวเราะออกมาพร้อมทั้งอธิบายให้ฟัง
“อย่างนั้นเหรอ ถ้าแค่ต้องการดูก็ไม่เป็นอะไรหรอก คุณสามารถแลกเปลี่ยนมันกับน้ำมันเบนซินได้ มันเป็นเรื่องง่ายมาก” ไป๋อี้กล่าว
“เอาล่ะมอลลอรี่ นายไปเอาน้ำมันเบนซินออกมา” โจดี้พยักหน้า
ไป๋อี้พยักหน้าให้หงฉี่ฮว๋า จากนั้นก็เอาเนื้อของหนวดหมึกและจระเข้ก้ามปูยักษ์ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วออกมา เนื้อของตัวทากหนวดหมึกนั้นไม่ค่อยอร่อยนัก แต่มันอยู่ท้องมาก ในขณะที่เนื้อจระเข้ก้ามปูยักษ์มีรสชาติดีกว่า แต่คุณค่าทางโภชนาการอยู่ในระดับปานกลาง ประมาณการณ์ว่ามันคล้ายกับเนื้อวัวในตอนที่โลกยังเป็นปกติที่มนุษย์คุ้นชิน กล่าวได้ว่าเนื้อสัตว์ประหลาดเกิดการกลายพันธุ์มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากกว่าวัตถุดิบธรรมดามากทีเดียว
ในไม่ช้าโจดี้ก็เคลื่อนย้ายน้ำมันออกมา ไม่เพียงแต่น้ำมันเบนซินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงน้ำมันอื่น ๆ อีกหลายชนิดด้วย จากนั้นไป๋อี้และโจดี้ก็ได้เจรจาต่อรองเรื่องอัตราส่วนของธุรกรรมครั้งนี้
ดูเหมือนว่า …… โจดี้คนนี้จะคุยได้ไม่ยาก แม้ว่าเขาจะต้องการเนื้อมากกว่านี้ แต่ก็ยังอยู่ในการยอมรับได้ของไป๋อี้ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็บรรลุข้อตกลงกันซึ่งกันและกัน นั่นถือว่าเป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จอย่างมีความสุข …… อย่างนั้นเหรอ!?