หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว ทุกคนก็มารวมตัวกันที่โต๊ะ บนโต๊ะมีสิ่งมีชีวิตที่ไป๋อี้หาพบในวันนี้วางไว้ ซึ่งมันสามารถนำมาผสานรวมยีนได้ นั่นคือ มด นกฮัมมิ่งเบิร์ด ตะขาบ แมงมุม ….. นอกจากนี้ยังมีแมวอีกตัวหนึ่งซึ่งถูกค้นพบโดยหงฉี่ฮว๋าในอาคารเรียน อีกทั้งมันยังมีลักษณะพิเศษของหนูผสมอยู่ไม่น้อย มันคือแมวหนูอย่างนั้นเหรอ?
แม้ว่าจะได้อธิบายถึงการผสานรวมยีนด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ในเวลานี้ทุกคนก็เอาแต่นิ่งเงียบ ถึงไป๋อี้อยากจะเป็นผู้นำก็ตาม แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถผสานรวมยีนอื่น ๆ ได้อีกแล้วและมันก็ไร้ประโยชน์ที่จะลอง
“ฉันเอง!” หงฉี่ฮว๋าเอ่ยขึ้น
“ฉันจะเริ่มผสานรวมยีนก่อน พวกคุณรอดูผลก่อนเป็นเวลาสองวัน ถ้าหากวิธีนี้มันได้ผล ทุกคนก็ค่อยลองทำตาม”
“เธอเล่นตลกอะไรอยู่ ความคิดริเริ่มในการผสานยีนเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นด้วย ฉันจะปล่อยให้เธอเสี่ยงได้ยังไง ส่วนเรื่องการผสานรวมยีนนั้นทุกคนจะทำพร้อมกัน” วูล์ฟกล่าว แม้ว่าโดยปกติแล้ววูล์ฟจะค่อนข้างเชื่องช้าเล็กน้อย แต่ในเวลานี้เขากลับค่อนข้างตรงไปตรงมา
“วูล์ฟพูดถูก เธอจะรับความเสี่ยงคนเดียวได้ยังไง เราทำมันด้วยกันเถอะ” เฮลัวส์พยักหน้าเช่นกัน
“เอาล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ทุกคนจะผสานรวมรวมยีนพร้อมกัน แต่ก่อนอื่นยีนแรกที่ฉันขอแนะนำคือยีนของมด ส่วนยีนอื่น ๆ ลองเลือกกันดูตามอัธยาศัย” ไป๋อี้กล่าว
“แล้วจะทำการผสานรวมยีนอย่างไร?” ซาร่าถาม นั่นทำให้ทุกคนจ้องเขม็งมาที่มาร์ตินอีกครั้ง
“มันง่ายมาก เพียงแค่สัมผัสกับของเหลวจากร่างกายของมันเท่านั้น” มาร์ตินกล่าว
การสัมผัสกับของเหลวในร่างกายของมันนั้นเป็นวิธีที่ง่ายมาก เมย์ริสใช้เข็มฉีดยาหลายเข็มดูดของเหลวจากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ แยกกันเข็มละชนิด จากนั้นเธอก็เจาะเข้าไปที่แขนของทุกคนและฉีดของเหลวชีวภาพที่พวกเขาเลือกเพื่อผสานรวมยีน
พวกเขาทั้งหมดได้ผสานรวมกับยีนของมด ในขณะที่หงฉี่ฮว๋าเลือกยีนของนกฮัมมิ่งเบิร์ดและแมว ซาร่าและเฮลัวส์ก็เลือกยีนของแมวด้วยเช่นกัน เพราะพวกเธอเคยเห็นหนิงเสวี่ยมาก่อน แม้จะกล่าวได้ว่าพวกเธอต้องการจะผสานรวมกับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ร่างแมวสาวก็ค่อนข้างเป็นสิ่งที่สามารถยอมรับได้ง่ายกว่า
มาร์ตินเลือกยีนของแมงมุม ผู้ชายคนนี้วางแผนจะออกล่าสิ่งแปลก ๆ หรืออย่างไรกัน
หนูน้อยเวอร์เนอร์มองไปที่หงฉี่ฮว๋า และเขาเลือกตามหงฉี่ว๋านั่นก็คือยีนของมด นกฮัมมิ่งเบิร์ด และแมว เบลลิก้าทีน่าบอกให้เขาติดตามหงฉี่ฮว๋าให้ดี แต่เธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะเรียนรู้ตามหงฉี่ฮว๋าไปเสียทุกอย่าง
ไป๋อี้และโม่โม่ยังคงไม่ยอมแพ้ ไม่ใช่เพียงการทดลองเท่านั้นแต่เขาอยากจะลองดูสักตั้งว่าเขากับโม่โม่ไม่สามารถผสานรวมยีนกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้อีกแล้วจริงหรือ
หลังจากที่ทุกคนทำเสร็จแล้ว พวกเขาก็มองหน้าซึ่งกันและกันสักพักจากนั้นก็หัวเราะออกมา หากมีแต่เพียงหงฉี่ฮว๋าคนเดียวเท่านั้นที่เริ่มทำการผสานรวมยีน สถานการณ์คงไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน” ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์ของการผสานรวมยีนด้วยตนเองจะเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อทุกคนต่างทำด้วยกัน นั่นจึงทำให้รู้สึกว่ายังมีเพื่อนอยู่เคียงข้าง
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มสรุปเรื่องเหล่านี้กันเถอะ โดยจะบันทึกด้วยคอมพิวเตอร์และสมุดบันทึก เรียบเรียงได้ตามอัธยาศัย แต่ฉันก็หวังว่าทุกคนจะจำใส่ใจไว้เช่นกัน ว่าแต่ใครอาสาจะรับผิดชอบหน้าที่จดบันทึกลงในสมุด” หลังจากหัวเราะสนุกสนานกันแล้ว ไป๋อี้ก็กล่าวกับทุกคน
“ฉันเอง ฉันเคยทำเวชระเบียนในโรงพยาบาลมาก่อน” เมย์ริสกล่าว ไป๋อี้พยักหน้า ในเมื่อที่นี่คือโรงเรียนในไม่ช้าเขาก็สามารถหาสมุดบันทึกปกหนาอย่างดีและปากกาสองสามด้ามได้อย่างง่ายดาย
“ทำไมต้องจดบันทึกลงในสมุดด้วย?”
“จากประสบการณ์ที่เคยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลอาจเสียหายได้ง่าย การบันทึกลงในสมุดด้วยจะเป็นการดีกว่า” ไป๋อี้อธิบายอย่างง่าย ๆ
“เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างในนิวซีแลนด์ อาจพูดได้ว่านอกจากกลุ่มคนที่ทำหน้าที่เป็นนักวิจัย …… ไม่สิ หรือแม้แต่กลุ่มคนที่วิจัยเซลล์ดัดแปลงออกมา ฉันเกรงว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่านิวซีแลนด์เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง” ไป๋อี้กล่าว
“แม้ว่าในอนาคตเรื่องนี้จะยังเป็นสิ่งที่ไม่รู้แน่ชัด แต่โอกาสก็สงวนไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอ ในเมื่อทุกคนได้รวมตัวเป็นทีมเดียวกันแล้ว ดังนั้นทุกคนก็ต้องช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง หงฉี่ฮว๋า ก่อนอื่นเธอใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเพื่อบันทึกและจัดระเบียบข้อมูลก่อน จากนั้นจึงส่งให้เมย์ริสคัดลอก” ไป๋อี้บอกกับหงฉี่ฮว๋าและเมย์ริส แม้ว่าเมย์ริสจะเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถและแข็งแกร่งมาโดยตลอด รวมถึงก่อนหน้านี้ไป๋อี้ยังมองว่าเมย์ริสนั้นค่อนข้างขี้กลัว แต่ตอนนี้ไป๋อี้ก็ไม่ต้องมานั่งกังวลอะไรอีกแล้ว
นี่คือทัศนวิสัยที่แท้จริงของการเป็นผู้นำ!
“ฉันจะไม่พูดซ้ำในสิ่งที่ฉันค้นพบมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคือสิ่งที่ฉันค้นพบในวันนี้ และนี่เป็นเพียงการคาดการณ์ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะถูกต้องหรือไม่”
“1.เนื่องจากระยะหิวโหยและการผสานรวมยีนทำให้ห่วงโซ่ทางชีววิทยาของนิวซีแลนด์ขาดสมดุลอย่างสิ้นเชิง สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ตายอย่างรวดเร็วเมื่อพวกมันล่ากันเอง และส่วนใหญ่ก็จะค่อย ๆ สูญพันธุ์ ในทำนองเดียวกัน สิ่งมีชีวิตที่สามารถดำรงชีพอยู่ได้นั้น คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่า 2.เซลล์ดัดแปลงที่แฝงตัวเป็นปรสิตในพืช ทำให้มันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและเกิดการกลายพันธุ์ที่ผิดแปลกไป บางทีที่นี่อาจจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการประคับประคองห่วงโซ่ทางชีววิทยาของนิวซีแลนด์เพื่อการดำรงอยู่สืบไปก็ได้ 3.สิ่งมีชีวิตที่มีปรสิตแอบแฝงจากเซลล์ดัดแปลง ไม่จำกัดแต่เพียงมนุษย์เท่านั้น และสามารถยกระดับสติปัญญาได้อย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ในเบื้องต้นพวกมันยังสามารเข้าใจคำสั่งและความหมายง่าย ๆ ได้แล้ว 4.หลังจากสิ่งมีชีวิตผสานเข้ากับยีนของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แล้ว ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจาก ‘จิตใต้สำนึก’ ที่ร่างกายก่อตัวขึ้นมาเป็นระยะเวลานานจึงไม่สามารถควบคุมความสามารถเหล่านี้ได้ในทันที แต่ต้องทำความคุ้นเคยและเรียนรู้ที่จะควบคุมสิ่งนี้อย่างอิสระ” ไป๋อี้ระบุ 4 สิ่งที่เขาค้นพบในวันนี้
“หากใครมีข้อสงสัย สามารถถามได้” ไป๋อี้บอกกับทุกคน
“4 ข้อนี้ ……” แม้ว่าคนอื่น ๆ จะยังรู้สึกประหลาดใจ แต่พวกเขาก็ยังคงมีคำถาม ไป๋อี้ได้อธิบายตามความเข้าใจของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ทุกคนได้ใช้เซลล์สมองในการค้นหาและรับรู้รายละเอียดต่าง ๆ ที่มากขึ้น
“แล้วสิ่งที่เรียกว่า ‘จิตใต้สำนึก’ ที่ก่อตัวมาเป็นเวลานานแล้วนั้น เอ่อ ……” ท้ายที่สุดไป๋อี้ก็ได้อธิบายให้วูล์ฟฟังอีกครั้ง เจ้าบื้อคนนี้ เขาจำอะไรไม่ได้เลย
“พูดง่าย ๆ คือ ตอนนี้นายไม่มีปีก ถ้ายีนของนกอีแร้งผสานรวมยีนทำให้นายมีปีกงอกออกมาจริง ๆ นายคิดว่านายจะสามารถบินได้ทันทีหรือไม่ แม้แต่คนธรรมดาก็ต้องมีกระบวนการเรียนรู้ในการขับรถ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสามารถที่แต่เดิมนายไม่เคยมี นายเข้าใจไหมว่าฉันหมายถึงอะไร” ไป๋อี้มองไปที่วูล์ฟ แต่กลับเห็นเพียงแววตาที่ไร้เดียงสาใสแป๋วราวกับ ‘น้ำ’
“เจ้าบื้อ ฟังไม่เข้าใจก็ไม่ต้องฟังแล้ว” ไป๋อี้ถอดใจ
“เฮลัวส์ช่วยพูดให้ฉันเข้าใจหน่อยสิ”วูล์ฟโพล่งขึ้นมา
หลังจากได้ยินสิ่งที่วูล์ฟพูด เฮลัวส์ก็ชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มและนั่งลงข้าง ๆ วูล์ฟ ไป๋อี้ยิ้มออกมาที่เห็นวูล์ฟคนเขลาคนนี้เสแสร้งแกล้งทำอย่างชัดเจน อันที่จริงเห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่ในห้องสังเกตการณ์เมื่อบ่ายวันนี้แล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะใช้วิธีนี้ในการตามจีบสาว ซึ่งดูจากท่าทีของเฮลัวส์แล้วดูเหมือนว่าเธอเองก็จะไม่ปฏิเสธ
“ต่อไป นำอาวุธมีดของตัวเองออกมา!” หลังจากที่ทุกคนหัวเราะกันอยู่ ไป๋อี้ก็พูดขึ้นมาทันที
ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็หยิบอาวุธมีดดาบที่พวกเขาเลือกมาจากห้องเก็บอาวุธเก่าของลุงฮาร์วีย์มาถือไว้ในมือ โม่โม่ยังเด็ก เธอมีอายุเพียงสี่ขวบ แต่ในเวลาแบบนี้ไป๋อี้ก็ไม่ได้ช่วยเหลือเธอ ในทางกลับกันเขาปล่อยให้โม่โม่ยกดาบคะตะนะที่เธอแบกไว้บนหลัง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตรออกมาอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ
“ฉันเดาว่าทุกคนคงยังสงสัยอยู่ว่าทำไมฉันให้พวกคุณแต่ละคนต้องเลือกอาวุธมีด” ไป๋อี้พูด
“บางทีพวกคุณอาจจะพอเดาได้ไม่มากก็น้อย แต่ฉันจะบอกกับพวกคุณให้ชัด”
“เหตุผลข้อที่ 1 เป็นเพราะกระสุนปืนนั้นมีจำนวนจำกัด ตอนนี้ในนิวซีแลนด์นอกจากคลังแสงของทหารแล้วมันเป็นการยากมากที่จะหากระสุนมาเติมได้”
“เหตุผลข้อที่ 2 เป็นเพราะอานุภาพของปืนนั้นคือเครื่องจักรกลและดินปืน ดังนั้นอานุภาพของปืนเหล่านี้จึงคงที่ หากเป็นก่อนหน้านี้ปืนเหล่านี้คงจะเป็นเครื่องมือสังหารสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในภายภาคหน้า ด้วยวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ที่นับวันยิ่งพัฒนามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ บทบาทของปืนเหล่านี้จึงยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ เช่นกัน แต่อาวุธเบานั้นแตกต่างกันออกไป อานุภาพของอาวุธเบานั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของของมันเป็นหลัก หากเป็นก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าอาวุธเบานั้นคงไม่สามารถสู้อาวุธหนักได้ แต่ตอนนี้ด้วยการยกระดับศักยภาพพื้นฐานต่าง ๆ ของเรา ทำให้เราสามารถใช้พลังที่เหนือจินตนาการได้” ไป๋อี้พูดพร้อมกับดึงดาบคะตะนะของเขาออกมา
ทุกคนมองไปที่ไป๋อี้ ในเวลานี้ ไป๋อี้ทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเขากับโต๊ะที่อยู่ข้างหน้า ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดาบคะตะนะของไป๋อี้อยู่ห่างจากโต๊ะประมาณ 20 เซนติเมตร
ทุกคนเห็นกล้ามแขนของไป๋อี้ตึงขึ้นอย่างช้า ๆ และทันใดนั้นเขาก็ฟันดาบออกมาพร้อมกับเสียงดังฟึ่บ ดาบของไป๋อี้ฟันผ่านอากาศ และจากนั้นมันก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
เสียงดังฟึ่บเบา ๆ ก่อให้เกิดรอยบากกว่าสิบเซนติเมตรปรากฏขึ้นบนโต๊ะ รอยบากนี้ไม่ลึกมาก และมันก็ไม่ได้ปรากฏเด่นชัดบนโต๊ะ เดิมทีโดยปกติแล้วพวกเขาไม่เคยเห็นไป๋อี้ในบริบทนี้ แต่ตอนนี้ทุกคนได้เห็นฉากการกวัดแกว่งดาบของไป๋อี้กับตาของตัวเองแล้ว
ดาบไม่ได้สัมผัสโดนเลย!
ปลายดาบคะตะนะของไป๋อี้ที่อยู่ห่างจากโต๊ะไป 20 เซนติเมตร
หลังจากกวัดแกว่งดาบ สีหน้าของไป๋อี้ก็เปลี่ยนไป ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อยซาร่าจึงรีบเข้าไปประคองไป๋อี้ทันที
“ไม่เป็นไร มันสะเทือนถึงบาดแผลฉันเท่านั้นเอง ฉันจะระวัง” ไป๋อี้ปฏิเสธการประคับประคองของซาร่า
“Chinese kongfu!” ดวงตาของวูล์ฟเบิกกว้างอย่างกะทันหัน
“นี่ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้กังฟูของจีนหรอกนะ แต่เป็นการประยุกต์ใช้พลังทางกายภาพในระดับหนึ่งเท่านั้น อันที่จริงแล้วในยุคโบราณที่ให้ความสำคัญกับอาวุธเบา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ มันคือการกวัดแกว่งดาบด้วยความเร็วสูงในการขับเคลื่อนผ่านอากาศ จนเกิดรอยฟันสุญญากาศขึ้น ฉันเคยคิดว่าผู้เฒ่าผู้แก่แค่ล้อเล่น แต่ฉันไม่คิดว่าตอนนี้จะสามารถสัมผัสถึงขอบเขตมันได้จริง ๆ” ไป๋อี้อธิบายช้า ๆ จากนั้นก็โบกมือ
“ทุกคนได้เห็นการเคลื่อนไหวของฉันเมื่อครู่นี้แล้ว ดาบคะตะนะของฉันไม่ได้สัมผัสกับพื้นโต๊ะเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็เกิดรอยแตกบนโต๊ะ แม้ว่ารอยแตกนั้นจะเล็กมากและความลึกของรอยแตกนั้นเปรียบไม่ได้กับเด็กที่ใช้ดาบฟันลงมาด้วยซ้ำ แต่นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่าอาวุธเบาที่อยู่ในมือของพวกเราผู้ที่ผสานรวมกับเซลล์ดัดแปลงแล้ว จะก่อให้เกิดพลังอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน”
“ลำดับต่อไป สิ่งที่ฉันอยากบอกกับทุกคนก็คือ……”
“The skill of knife!”
“ว้าว……” ไป๋อี้ถูกขัดจังหวะด้วยความตื่นเต้นของวูล์ฟ นั่นทำให้ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะหน้าม่อยคอตก
“หุบปากซะเถอะนายน่ะ” แม้ว่าปากเขาจะตำหนิ แต่เขาก็ตำหนิออกไปอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงไป๋อี้ไม่ได้รู้สึกโกรธวูล์ฟเลยแม้แต่น้อย
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^
https://www.kawebook.com/story/6809
MANGA DISCUSSION