LV1-1:
ระยะหิวโหย เป็นระยะที่เมื่อเซลล์ชีวภาพถูกกระตุ้นพวกมันจะเริ่มผลิตพลังงานพิเศษขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากสารอาหารทุกชนิดในร่างกายถูกนำไปใช้เพื่อผลิตพลังงานพิเศษนี้ ดังนั้นพวกเขาจะรู้สึกหิวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและต้องการอาหารจำนวนมาก สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการในขั้นตอนนี้จะกินทุกอย่างที่กินได้และเข้าสู่ระยะหิวกระหาย
————————————————————
“วูล์ฟ!” ไป๋อี้ใช้เวลาไม่นานก็หาเขาเจอ เขากำลังกินอาหารไปพลาง ชี้นิ้วสั่งพนักงานในร้านไปพลาง
“ไป๋อี้ มาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่า?”
ไป๋อี้เหลือบมองไปยังโกดังเก็บอาหารที่ยังมีอาหารเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง แต่ถ้าดูจากยอดขายที่เร็วขนาดนี้คาดว่าคงจะหมดในไม่ช้า
เดิมทีไป๋อี้ต้องการเพียงซื้อวัตถุดิบอาหารเพิ่มและกินให้อิ่ม แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้เห็นสถานการณ์ที่ดุเดือดและแปลกประหลาดในตลาด ไป๋อี้ก็รู้สึกว่าเขาควรวางแผนเตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ หลังจากที่ไป๋อี้ส่งสัญญาณบอกใบ้ให้วูล์ฟวางสิ่งของในมือลง ทั้งสองก็พากันมายังห้องเล็ก ๆ ที่แยกออกมา
“วูล์ฟคุณไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นเหรอ?” ไป๋อี้เปิดประเด็น
“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?”
“คุณรู้สึกหิวมากใช่ไหม กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่ได้สังเกตนัก แต่ว่ารู้สึกหิวเร็วขึ้น”
“ฟังฉันนะวูล์ฟ วันนี้ตลอดช่วงบ่ายฉันเอาแต่ทำอาหารและกินอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่อิ่ม ในตอนแรกฉันก็นึกว่ามีแค่ตัวฉันกับลูกสาวเท่านั้นที่มีปัญหานี้ แต่มาตอนนี้มันชัดเจนว่าไม่ได้เป็นแค่พวกฉัน คุณไม่รู้สึกเหรอว่าสถานการณ์ตลาดในตอนนี้แปลกเกินไป ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็หิวโหย” ไป๋อี้อธิบาย
“คุณจะหมายความว่า?”
“หยุดการขายวัตถุดิบอาหารเถอะ ตอนนี้สถานการณ์มันแปลก ๆ ประเมินจากความหิวโหยและปริมาณอาหารแล้วคาดว่าอาหารและวัตถุดิบต่าง ๆ ในตลาดจะมีไม่เพียงพอ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไป๋อี้ คุณเป็นกังวลมากไปแล้ว ตลาดวอร์สเตอร์เป็นตลาดที่ใหญ่มาก อีกอย่างถ้าฉันขายหมดก็ไม่เห็นเป็นไร ฉันสามารถไปซื้อที่ตลาดข้างเคียงได้” วูล์ฟหัวเราะดังลั่นและคิดว่าไป๋อี้กังวลเกินกว่าเหตุ
“ถ้าตลาดข้างเคียงก็ประสบกับสถานการณ์แบบเดียวกันล่ะ ไม่สิ ต้องบอกว่าทั่วทั้งแฮมิลตันเลยต่างหาก หรือบางทีแม้แต่ทั่วทั้งนิวซีแลนด์?” ไป๋อี้ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องตลกและพูดอย่างเคร่งขรึม จากที่วูล์ฟกำลังแสดงสีหน้าขำขันออกมาในตอนแรกกลับเปลี่ยนไปเมื่อเห็นท่าทีของไป๋อี้ รอยยิ้มของเขาก็ค่อย ๆ เจื่อนลง
“ฉันจะโทรไปถามดู” วูล์ฟกล่าว
ไป๋อี้พยักหน้ารับ แม้ว่ากิจการของวูล์ฟจะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่เขาก็อยู่ในวงการทำอาหารและมีสายข่าวจากหลายแหล่ง ดังนั้นใช้เพียงเวลาไม่นาน วูล์ฟก็ได้รับข่าวสารจากที่อื่น ๆ ไม่เพียงแต่ในตลาดวอร์สเตอร์หรือในแฮมิลตันเท่านั้น รวมไปถึงทั่วทั้งนิวซีแลนด์ ผู้คนทั้งหลายล้วนตกอยู่ในระยะหิวโหยไม่ต่างกันและเริ่มพากันซื้ออาหารอย่างบ้าคลั่ง
ให้ตายเถอะ ไป๋อี้คาดการณ์ถูกจริง ๆ!
ไป๋อี้ดูจากสีหน้าของวูล์ฟที่แสดงให้เห็นว่าเป็นไปตามที่ตัวเองได้ประเมินสถานการณ์ไว้จริง ๆ
“ฉันจะรีบไปบอกให้พนักงานหยุดการขาย”
“รอเดี๋ยว!” ไป๋อี้รั้งวูล์ฟเอาไว้ “ถ้ารีบหยุดการขายทันทีแบบนี้ต้องมีเรื่องขัดแย้งกับลูกค้าเหล่านั้นแน่ ๆ เอาแบบนี้แล้วกัน เพิ่มราคาให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ลดปริมาณอาหารลงด้วย ทำเหมือนว่าวัตถุดิบต่าง ๆ มีไม่พอ จากนั้นค่อยบอกกับลูกค้าว่าขายหมดแล้ว” ไป๋อี้ให้คำแนะนำวูล์ฟ
“ไป๋ แกนี่เป็นจอมเจ้าเล่ห์ตัวจริง!” หลังจากวูล์ฟได้ฟังไป๋อี้พูดเช่นนั้นเขาก็ยกนิ้วโป้งให้ไป๋อี้ทันที
“ขออภัยครับ เนื่องจากการซื้อขายที่ดุเดือดมาก และทางร้านของเราได้ทำการจำหน่ายจนหมดแล้ว หากต้องการซื้ออาหารเชิญไปซื้อที่ร้านอื่นได้เลยครับ” ไม่กี่อึดใจต่อมาทางร้านก็รีบทำตามคำแนะนำของไป๋อี้ แม้ว่าลูกค้าเหล่านั้นจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ในเมื่อทางร้านบอกว่าไม่มีอาหารแล้ว รออยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงค่อย ๆ พากันทยอยจากไป
“ไป๋อี้ รู้ไหมว่านี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?” วูล์ฟถามไป๋อี้
“ฉันเพิ่งรู้ว่ามันแปลก ๆ ก็เพราะเอาแต่กินตลอดแต่กลับไม่อิ่ม ดังนั้นก็เลยคิดจะออกมาซื้ออาหารเยอะ ๆ แต่กลับพบว่าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น หยุดคุยกันก่อนได้ไหม ว่าแต่ห้องครัวอยู่ไหน ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” ไป๋อี้พูดกับวูล์ฟ วูล์ฟรู้ดีว่าไป๋อี้ต้องการจะเติมเต็มกระเพาะของเขา ทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่แล้ว ยิ่งได้รับคำแนะนำเมื้อสักครู่นี้จากไป๋อี้ด้วยแล้ว ดังนั้นเรื่องเล็กแค่นี้จึงไม่เป็นปัญหา
……
เขายุ่งกับเรื่องอาหารการกินมาตลอดจนถึงเวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ ซึ่งพวกเขาแต่ละคนก็กินกันได้ไม่อิ่มท้องนัก หรืออาจกล่าวได้ว่าอิ่มท้องได้ไม่นาน เพียง 1-2 ชั่วโมงต่อมาท้องพวกเขาก็เริ่มร้องคำรามอีกแล้ว ในช่วงเวลานี้ตลาดได้เปลี่ยนจากสถานการณ์ที่คึกคักดุเดือดเป็นความกังวล ผู้คนทั้งหลายต่างพากันหวาดผวากับความหิวโหยและความต้องการอาหารอย่างรุนแรงนี้
โดยปกติข้าวปลาอาหารที่สำรองไว้สำหรับคนในครอบครัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน แต่ด้วยความอยากอาหารและความหิวโหยในตอนนี้ คุณสามารถกินมันทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน เมื่อผู้คนกินอาหารที่สำรองไว้จนหมดแล้ว ต่อไปจะกินอะไร? และประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของความหิวโหยเช่นนี้ แต่ยังรวมถึงสัตว์ด้วย …… ใช่แล้ว สัตว์!
สัตว์แตกต่างจากมนุษย์ตรงที่พวกมันอาจจะพอมีอาหารสำรองอยู่บ้างเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มันไม่พอแน่ ๆ หลังจากที่พวกมันกินอาหารที่สำรองไว้จนหมด พวกมันจะกินอะไร?
ขณะนี้ความเคลื่อนไหวในโลกอินเตอร์เน็ตล้วนเกี่ยวกับความอยากอาหารและความหิวโหยที่ผิดปกติทั้งสิ้น แต่เรื่องนี้กลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจน นอกจากคนวงในแล้วคนธรรมดาทั่วไปไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกันในคอมพิวเตอร์ของวูล์ฟมีการรายงานถ่ายทอดสด ดูเหมือนว่าฝูงชนกำลังปล้นสะดมอาหารเพื่อบรรเทาความหิวโหย ทำให้เกิดการประทุษร้ายมีคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากมนุษย์แล้วสัตว์เองก็มีบทบาทในการแย่งชิงด้วย กลุ่มหนูตาแดงผู้หิวโหยที่ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหนเริ่มคลานตรงไปยังกลุ่มฝูงชนและเริ่มกินคน
ไป๋อี้และวูล์ฟทั้งสองดูรายงานถ่ายทอดสดแล้วหันมามองหน้ากัน จนท้ายที่สุดคน ๆ นั้นก็ถูกหนูกลุ่มใหญ่รุมทึ้งทั่วทั้งตัว ภาพที่เห็นผู้คนกรีดร้องและล้มลงกับพื้นเป็นภาพที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกตัวหนาวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ๊ากกก ช่วยด้วย ช่วยด้วย!” ในเวลานี้จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างนอก
วูล์ฟรีบออกไปทันที ส่วนไป๋อี้หยิบมีดสับกระดูกติดไปด้วย ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ไป๋อี้ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่โม่โม่ที่มีอายุเพียงสี่ขวบก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป
เมื่อไป๋อี้ออกมาก็พบกับสุนัขตัวใหญ่สองตัวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน พนักงานกำลังถูกฉีกกระชากอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ข้าง ๆ มีหม้อพลิกคว่ำอยู่ซึ่งในนั้นมีซุปและเนื้อจำนวนหนึ่งหกราดอยู่บนพื้น
จมูกของสุนัขนั้นไวต่อการรับรู้มาก เห็นได้ชัดว่าสุนัขทั้งสองตัวนั้นมีอาหารหิวโซ ดังนั้นพวกมันจึงวิ่งมาถึงที่นี่หลังจากที่ตามกลิ่นอาหารมา อย่างไรก็ตามพนักงานของที่นี่ไม่มีความคิดที่จะเลี้ยงสุนัขแน่ ๆ พวกเขาจึงต้องการขับไล่มันออกไป แต่คาดไม่ถึงว่าสุนัขตัวใหญ่ที่ปกติจะซื่อสัตย์และมีท่าทีเป็นมิตรต่อคนจะตรงเข้ามากัดคนอย่างไม่ลังเล ไม่สิ ไม่ใช่การกัดเท่านั้น …… ไป๋อี้เห็นอย่างชัดเจนว่าสุนัขตัวใหญ่กำลังฉีกชิ้นเนื้อออกจากต้นขาของพนักงานอย่างรุนแรงจากนั้นก็กลืนลงไปทันที
คิดไม่ถึงว่ามันจะกินคน!
“ชาร์ไป่ ปกป้องโม่โม่ให้ดี!” ไป๋อี้รีบบอกกับเจ้าชาร์ไป่ทันที
วูล์ฟเห็นสุนัขสองตัวกำลังขย้ำพนักงานของเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา การกัดในลักษณะนี้หมายจะฆ่าคนชัด ๆ เขาคว้าเอาไม้ที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไร วูล์ฟนำไปทุบตีสุนัขอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามสุนัขตัวใหญ่ที่ถูกทุบตีก็กระโดดเพื่อหลบหนีในขณะที่มันส่งเสียงร้องครวญครางไปด้วย ทันใดนั้นเองสุนัขตัวใหญ่ท่าทางดุดันก็พุ่งเข้ามาหาวูล์ฟอย่างจัง ปากใหญ่ ๆ ของมันที่เพิ่งกัดคนมายังคงมีเนื้อแดงสดเปรอะอยู่
วูล์ฟตาเบิกโพลงตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น มันไม่ได้เปลี่ยนไปจากสัญชาติญาณของมันก่อนหน้านี้ สุนัขที่ไหนดุร้ายขนาดนี้ ดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่าเสียอีก ไป๋อี้ที่เห็นวูล์ฟตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น หากเขาถูกสุนัขตัวนี้กัดมีหวังเขาคงตายแน่ เพราะความสูงของสุนัขที่โผเข้ามานั้นตรงกับบริเวณลำคอพอดี
ในช่วงเวลากระชั้นชิดนั้นเอง ไป๋อี้ก็กระแทกวูล์ฟจากทางด้านข้างให้ออกไปพร้อมกับยกมีดสับกระดูกในมือขึ้น
ร่างกายที่ดูผิดแปลก ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน ขาหน้าทั้งสองข้างของสุนัขตัวใหญ่ถูกตัดออก ในขณะเดียวกันบริเวณลำคอมีแผลที่ถูกเปิดออกเป็นรูขนาดใหญ่ เลือดสด ๆ กระเซ็นใส่ไป๋อี้และวูล์ฟ เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ทำให้ผู้คนและสัตว์ในบริเวณนั้นตกตะลึง ครู่ต่อมา หมาอีกตัวก็ผละออกจากพนักงานคนนั้น มันส่งเสียงครางและตรงมายังไป๋อี้
“ระวัง!” ทันใดนั้นสุนัขตัวใหญ่ก็พุ่งมาอย่างดุดันหมายจะกัดไป๋อี้
ในขณะเดียวกันไป๋อี้สงบสติอารมณ์และขยับมือถือมีดสับกระดูกในมือให้มั่น สุนัขตัวใหญ่พุ่งมายังเขา ในใจของเขาตอนนี้คิดถึงแต่ขั้นตอนการจัดการกับวัตถุดิบในการทำอาหาร ไม่เกินสามคมดาบ สุนัขตัวใหญ่ก็ล้มลงตามรอยเพื่อนมันไปติด ๆ
วูล์ฟตกใจจนทรุดลงกับพื้นด้วยความหวาดผวา
เขายังไม่ทันได้สงบสติอารมณ์ ทันใดนั้นก็มีเสียงครางอย่างดุดันดังขึ้นข้างหูเขา วูล์ฟตัวสั่นเทา พอเขาหันไปถึงได้พบว่าเจ้าชาร์ไป่ที่ไป๋อี้พามากำลังส่งเสียงคำรามอย่างดุดัน จากนั้นก็ตะปบหนูตัวใหญ่ที่พื้นซึ่งอยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่าเซนติเมตร ทว่าในเงามืดยังมีเหล่าหนูตาแดงจด ๆ จ้อง ๆ ชิ้นเนื้อและเลือดที่นองอยู่ตรงพื้น
เจ้าชาร์ไป่ย่อตัวลงเล็กน้อย คอยเฝ้าดูแลโม่โม่ มันแยกเขี้ยวและส่งเสียงอย่างดุดันอยู่ข้าง ๆ
เจ้าชาร์ไป่ในเวลานี้ ไม่มีท่าทีเซ่อ ๆ ซ่า ๆ อย่างเจ้าชาร์ไป่ตัวเดิมอีกแล้ว แต่มีท่าทีราวกับสุนัขที่ดุดัน ท่าทีเช่นนั้นทำให้วูล์ฟผวาอีกครั้ง เฮ้อ มันยังเป็นสุนัขปกติ แม้ว่ามันจะเป็นสุนัขของไป๋อี้ แต่ถ้ามันเป็นเหมือนเจ้าหมาสองตัวนั่นล่ะจะทำอย่างไรดี? เหล่าหนูในเงามืดถอยกลับไปเพราะแรงกดดันจากเจ้าชาร์ไป่และรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว ที่นี่คือตลาดขายอาหารและเป็นที่ที่มีอาหารอีกมากมายดังนั้นพวกมันจึงไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง
หลังจากที่หนูวิ่งหนีไป คนในร้านถึงเพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เดิมทีมีพนักงานในร้านสามคน แต่ตอนนี้มีคนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งคนที่โดนสุนัขสองตัวเมื่อสักครู่กัด ตอนนี้เขาได้สิ้นใจไปแล้ว
“มีคนตาย ……!” วูล์ฟทำอะไรไม่ถูก
“ก่อนที่จะสนใจเรื่องนี้ ทำแผลก่อนเถอะหรืออยากจะรอความตาย ที่นี่มีวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหรือเปล่า” ไป๋อี้เห็นท่าทีของวูล์ฟจึงพูดดึงสติเขา หลังจากที่ไป่อี้พูดไปอย่างนั้น วูล์ฟกับพนักงานอีกสองคนถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บมีรอยแผลเหวอะหวะ
“จริงสิ ใช่ ใช่ ต้องทำแผลก่อน รอตำรวจมาถึงค่อยอธิบายว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อ” วูล์ฟกล่าวพร้อมกับกุมบาดแผลที่เปรอะไปด้วยเลือดที่ไหล่ของเขา พนักงานอีกสองคนไปที่ห้องด้านในเพื่อค้นหาสิ่งต่าง ๆ สำหรับพันแผล เมื่อเดินผ่านไป๋อี้พวกเขาตื่นตัวมาก พวกเขาทั้งสองกลัวสุนัขตัวใหญ่สองตัวนั้น
หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป พวกเขามีท่าทีตื่นตัวระแวดระวังเจ้าชาร์ไป่อยู่เสมอ พวกเขาทั้งสองกลัวว่าจะถูกกัดอย่างที่เจ้าสุนัขใหญ่สองตัวนั้นกัด
“ไป๋อี้ ฉันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านายจะเก่งกาจขนาดนี้ นั่นคือวิชากังฟูของจีนเหรอ?” วูล์ฟเป็นคนไม่คิดอะไรมาก หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็นึกถึงตอนที่ไป๋อี้ฆ่าสุนัขตัวใหญ่เมื่อสักครู่นี้ขึ้นมา
“NO!”
“มันไม่ใช่วิชากังฟูอะไรทั้งนั้น มันก็เหมือนกับการจัดการกับวัตถุดิบทั่วไป ดังนั้นเมื่อรู้ถึงกระดูกและจุดอ่อนของสุนัข ฉันก็แค่ถือว่าสุนัขตัวใหญ่สองตัวเป็นส่วนผสมที่รอการปรุง” ไป๋อี้อธิบาย อย่างไรก็ตามคำอธิบายนี้ทำให้วูล์ฟยิ่งตะลึงงันเข้าไปอีก
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809
MANGA DISCUSSION