[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 31 ชัยชนะที่จวนเอาชีวิตไม่รอด
อีกด้านหนึ่งหลังจากที่วูล์ฟได้ยินคำพูดของไป๋อี้ เขาก็เผยรอยยิ้มอันซีดเผือดออกมาทั้ง ๆ ที่ยังคงมีเลือดไหลออกจากริมฝีปาก ฮ่า ๆๆ มันเป็นสไตล์ของไป๋อี้จริง ๆ เวลาแบบนี้ยังให้เขาต่อกรกับสัตว์ประหลาดอีก ถ้าเป็นตัวเขาเองคงหมดความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ไปนานแล้ว วูล์ฟรู้ดีว่าการที่ตัวเองถูกแทงห้อยอยู่ข้างบนกับเดือยกระดูกของมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีชีวิตรอด
“ได้ยินไหมวูล์ฟ!” ไป๋อี้ตะโกนถาม
จระเข้ก้ามปูยักษ์หันหัวมาตามเสียง ในขณะที่คนอื่น ๆ พยายามอยู่ห่างจากไป๋อี้ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยู่ที่นี่พวกเขาไม่ต้องการเจอกับสถานการณ์เช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ที่วูล์ฟส่งเสียงออกมาจนทำให้ถูกเจ้าจระเข้ก้ามปูยักษ์โถมเข้าใส่ แม้ว่าจระเข้ก้ามปูยักษ์จะติดแหง็กอยู่ตอนนี้ก็ตามแต่ยังไงพวกเขาก็ไม่ต้องการเสี่ยง
“เป็นอะไรที่ฝืนใจฉันจริง ๆ แต่ฉันจะลองดู” วูล์ฟพูดด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ไป๋อี้พยักหน้าให้หงฉี่ฮว๋า จากนั้นเธอจึงใช้มือกะน้ำหนักของเหล็กเส้นแล้วเริ่มหมุนวนอย่างระมัดระวังเพื่อหามุมที่เหมาะสม คนอื่น ๆ ที่อยู่ในระยะไกลออกไปกลั้นหายใจอย่างไม่ทั่วท้องเพราะกลัวว่าลมหายใจของพวกเขาอาจจะส่งผลกระทบต่อหงฉี่ฮว๋า
หยูหานมองไปยังสถานการณ์ข้างหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา ทำไมหงฉี่ฮว๋าถึงไม่ยอมติดตามเขามันน่าหงุดหงิดนัก!
ตอนนี้แหละ!
ทันใดนั้นหงฉี่ฮว๋าก็เหวี่ยงแท่งเหล็กออกไปในแนวทแยง โดยที่นั้นแท่งเหล็กมีความยาวราว 1.5 เมตร ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หงฉี่ฮว๋าคงจะต้องออกแรงด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ในตอนนี้เธอสามารถยกมันได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เห็นได้ชัดว่าพลังงานพิเศษที่มาร์ตินพูดไม่ใช่แค่เรื่องน่าขำ แม้ว่ามันจะไม่สามารถสัมผัสได้หรือควบคุมได้อย่างอิสระแต่ก็เป็นการเสริมสร้างร่างกายมนุษย์จากจุดพื้นฐานที่สุด
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างในขณะที่วูล์ฟถึงกับกลั้นหายใจ
แท่งเหล็กลอยละลิ่วบินไปทางวูล์ฟและเขาก็คว้ามันไว้ในมือทันที ไป๋อี้กำหมัดขวาอย่างคนมีชัย รับได้แล้ว เพียงเท่านี้จากจุดบอดที่วูล์ฟอยู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว หลังจากหยุดหายใจไปชั่วขณะวูล์ฟก็หายใจเข้าลึก ๆ
“ย๊ากกกกกก……!” พลันการแสดงออกขอวูล์ฟก็แปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน ก่อนจะพุ่งแท่งเหล็กเข้าไปในดวงตาของจระเข้ก้ามปูยักษ์ทันที
“อ๊ากกกกกก……!”
มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น จระเข้ก้ามปูยักษ์ดิ้นอย่างทุรนทุราย ทันใดนั้นมันก็ใช้ก้ามหนีบเข้าต่อสู้ มันไม่สามารถหนีบวูล์ฟได้ แต่ครึ่งหนึ่งของแท่งเหล็กที่โผล่ออกมาด้านนอกถูกหนีบเอาไว้
ด้วยระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของวูล์ฟมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของจระเข้ก้ามปูยักษ์ ขณะนี้แท่งเหล็กที่สอดเข้าไปถูกมันดึงออกมาในทันที
“แม่มันเถอะ ไปตายซะ ย๊ากกกก ……!” วูล์ฟตะโกนอย่างดุดัน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลง กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาปูดนูนและเลือดพุ่งออกมาจากบาดแผลอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามแม้ว่าวูล์ฟจะพยายามอย่างเต็มที่แต่ช่องว่างของความแข็งแกร่งที่ต่างกันนี้แน่นอนว่าไม่สามารถเสริมสร้างขึ้นได้ด้วยพลังของเขาเท่านั้น
ทันใดนั้นหงฉี่ฮว๋าก็ก้าวออกไปอย่างกะทันหันแต่ไป๋อี้จับไหล่เธอเอาไว้เสียก่อน หงฉี่ฮว๋ามีความเด็ดเดี่ยวมากแต่มันอันตรายเกินไป ในช่วงที่มันกวัดแกว่งก้ามหนีบทั้งสองข้างไปมาทำให้เธอไม่กล้าขึ้นไป แต่เมื่อตอนนี้ก้ามข้างหนึ่งหนีบเหล็กเส้นไว้จึงทำให้พอมีช่องว่างอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปวูล์ฟคงไม่สามารถฆ่าจระเข้ก้ามปูยักษ์ได้
“ฉันมาแล้ว!” ไป๋อี้พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจทานทนอีกต่อไป
หงฉี่ฮว๋ามองไปที่ไป๋อี้ด้วยความประหลาดใจ ไป๋อี้คว้าแท่งเหล็กอีกอันจากมือของหงฉี่ฮว๋าจากนั้นก็รีบตรงไปที่จระเข้ก้ามปูยักษ์ ไป๋อี้วิ่งไปด้วยความเร็วสูงและในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาก็วิ่งไปถึงบริเวณด้านหน้าของจระเข้ก้ามปูยักษ์ จากนั้นเขาก็แทงแท่งเหล็กไปยังดวงตาที่มืดบอดของมัน จากการวิ่งด้วยความเร็วสูงของไป๋อี้ส่งผลให้มีแรงส่งให้แท่งเหล็กแทงทะลุเข้าไปอย่างรุนแรง
แกตาย!
ฉึก เหล็กแท่งยาวแทงเข้าไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นจระเข้ก้ามปูยักษ์ก็หยุดชะงักไป จากนั้นก้ามหนีบอีกข้างหนึ่งก็กวัดแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง ไป๋อี้ไม่ได้วิ่งออกมาเพื่อหลบหลีกแต่เขากลับวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วและจับตรงเดือยกระดูกของจระเข้ก้ามปูยักษ์เอาไว้
จุดบอดของมัน!
ไป๋อี้รู้ดีว่าหากเขาหนีทันทีหลังจากโจมตีมันเขาจะไม่สามารถหลบหนีได้อย่างแน่นอน เพราะยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างความสามารถในการเคลื่อนไหวของเขากับสัตว์ประหลาดตัวนี้ หนทางเดียวที่จะอยู่รอดคือขึ้นไปตรงจุดบอดของมัน จุดที่วูล์ฟติด
ตอนนี้ไป๋อี้และวูล์ฟกำลังห้อยอยู่ตรงจุดบอดของมัน ขณะที่จระเข้ก้ามปูยักษ์กวัดแกว่งก้ามหนีบของมันไปมานั่นเอง พวกเขาทั้งสองก็เกือบที่จะโดนก้ามหนีบขนาดใหญ่หนีบเข้าอยู่หลายครั้งหลายคราด้วยกัน ในทุก ๆ ครั้งมันก็เฉียดผ่านพวกเขาไปเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทางด้านของไป๋อี้ เขารู้ตัวว่าเขาไม่น่าจะโดนมันหนีบได้ แต่สถานการณ์เช่นนี้ในสายตาของคนนอก พวกเขารู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะกระดอนขึ้นมาถึงลำคอเลยก็ว่าได้
“อ๊ากกก……อ๊ากกก……!” เสียงร้องที่บ้าคลั่งค่อย ๆ กลายเป็นเสียงโอดครวญที่ราวกับกำลังจะสิ้นลม และสุดท้ายเสียงก็เงียบไป ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีจระเข้ก้ามปูยักษ์ที่ถูกโจมตีก็หยุดเคลื่อนไหวและตายลงในที่สุด
หงฉี่ฮว๋า โม่โม่ และชาร์ไป่ รีบวิ่งเข้าไปทันที โม่โม่ยังเด็กมากจึงทำได้แค่ยืนร้องไห้ ส่วนหงฉี่ฮว๋าก็รีบเข้าไปช่วยไป๋อี้กับวูล์ฟลงมา แต่เธอก็ยังไม่กล้าเคลื่อนตัวพวกเขาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
เมื่อไป๋อี้ลงมาบนพื้นเป็นที่เรียบร้อย หงฉี่ฮว๋ก็พบว่าหน้าอกและหน้าท้องของไป๋อี้มีบาดแผลลึกจำนวนมากจนเห็นไปถึงกล้ามเนื้อสีแดงสด และด้านนอกก็ยังมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองไปที่เดือยกระดูกที่ยาวไม่กี่เซนติเมตรบนหัวของจระเข้ก้ามปูยักษ์ หงฉี่ฮว๋าก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในเวลานี้คนอื่น ๆ ก็ทยอยวิ่งเหยาะ ๆ กันเข้ามา และมองไปยังจระเข้ก้ามปูยักษ์ในระยะใกล้อย่างระมัดระวัง เมื่อมองในระยะใกล้ผิวสีดำของกระดองและกระดูกเดือยที่น่าเกลียดรวมทั้งก้ามหนีบที่น่ากลัวเหล่านั้นยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
“ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร เขาถูกแทงเป็นสองรูขนาดใหญ่และมีบาดแผลมากมาย” เบลล่าก็วิ่งตามมาด้วยเช่นกัน มือเล็ก ๆ ของเธอวุ่นอยู่ที่ร่างกายของวูล์ฟ แต่เลือดก็ยังคงไหลซึมออกมาจากแผลของวูล์ฟอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง ซึ่งไม่สามารถห้ามเลือดได้
“ขอโทษนะไป๋อี้!” วูล์ฟยิ้มอย่างน่าเวทนาโดยที่เลือดก็ยังคงไหลออกจากปากของเขา
“ไอ้เลว!” ไป๋อี้หันหน้าไปทางสัตว์ประหลาดอย่างขัดเคือง สีหน้าของเขาที่แสดงออกถึงความโมโหอย่างบ้าคลั่งนั่นทำให้ทุกคนหันมามอง นี่หรือว่าเขาต้องมาตายแบบนี้ นี่หรือว่าต้องยอมแพ้ทั้ง ๆ อย่างนี้ ทันใดนั้นไป๋อี้ก็เหลือบไปเห็นชาร์ไป่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา เพียงไม่ถึงหนึ่งวันแผลของชาร์ไป่ก็หายแทบจะสนิทแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่หายดีแต่ก็เกือบจะเป็นปกติ
“วูล์ฟนายหิวไหม!” จู่ ๆ ไป๋อี้ก็ถามขึ้นมา
“อะไรนะ!” วูล์ฟไม่รู้ว่าไป๋อี้หมายถึงอะไร
“หงฉี่ฮว๋า ขอวัตถุดิบเนื้อนกอีแร้งหางงูเจ็ดหัวและมีด” ไป๋อี้กล่าว
“ไป๋อี้นายคิดจะทำอะไร?” หยูหานถามเสียงดัง
“ฉันจะลงมือเดี๋ยวนี้แหละ สิ่งเดียวที่นายต้องทำคือกินเนื้อของนกอีแร้งหางงูเจ็ดหัวและเนื้อของจระเข้ก้ามปูยักษ์ตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นแบบดิบหรือสุกก็ตาม” ไป๋อี้ไม่สนใจคนอื่น ๆ แต่หันหน้าไปทางวูล์ฟและบอกกับเขา
“ไป๋อี้นายนาย……บ้าไปแล้ว!” วูล์ฟงุนงงอยู่สักพักจากนั้นจึงตอบกลับเขา
“ฟังคำฉันก็พอ!” ไป๋อี้ไม่ได้โต้กลับหรืออธิบายใด ๆ
ขณะเดียวกันหงฉี่ฮว๋าก็ได้นำเนื้อนกอีแร้งหางงูเจ็ดหัวมาเป็นจำนวนหนึ่งห่อ ไป๋อี้หยิบมีดหั่นเนื้อเป็นชิ้นขนาดเท่ากำปั้นทันที จากนั้นเขาก็เอาชิ้นเนื้อยัดเข้าปากของวูล์ฟ
“กินมัน!”
คนอื่น ๆ อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เมื่อพวกเขาเห็นดวงตาสีเลือดของไป๋อี้พวกเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ วูล์ฟไม่ได้ถามอะไรมากเพราะเขามีความไว้วางใจไป๋อี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว แม้ว่าเนื้อในปากของเขาจะยังดิบอยู่แต่วูล์ฟก็เคี้ยวมันคำใหญ่และกลืนมันลงไป
“หงฉี่ฮว๋ามาช่วยฉันดึงวูล์ฟออกมา” ไป๋อี้พูดกับหงฉี่ฮว๋า
“โอเค!” หงฉี่ฮว๋าเหลือบมองไป๋อี้และพยักหน้า
“เขาถูกเดือยกระดูกแทง ถ้าดึงออกเขาจะมีเลือดออกมากจากนั้นเขาก็จะตาย” เบลล่ารีบห้ามปรามทันที อย่างไรก็ตามไป๋อี้และหงฉี่ฮว๋าก็ไม่ได้ให้ความสนใจเธอเลย อันที่จริงไป๋อี้และหงฉี่ฮว๋ารู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วแต่ความคิดของพวกเขาต่างจากเบลล่าอย่างสิ้นเชิง
วูล์ฟกัดฟันแน่นเมื่อไป๋อี้และคนอื่น ๆ พยุงเขา แต่เมื่อเขาถูกดึงออกมาร่างกายของเขาก็ยังคงติดแน่นอยู่ ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันใด พร้อมทั้งรูม่านตาของเขาก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว และเนื้อในปากออกมา อย่างไรก็ตามไป๋อี้และหงฉี่ฮว๋าก็ไม่ลดละยกตัววูล์ฟขึ้นทันทีและถอดออกจากเดือยกระดูกนั่น
ทั้งสองวางวูล์ฟลงบนพื้น ไป๋อี้มองไปที่วูล์ฟที่แม้ว่าเขากำลังจะตายแต่เขาก็ยังมีลมหายใจอยู่
“เบลล่าช่วยพันแผลให้วูล์ฟที ใช้อะไรก็ได้ที่จะสามารถปิดแผลไว้ได้ วูล์ฟนายกินมันเถอะนะกินทุกอย่าง” ไป๋อี้พูดพลางกรอกปากของวูล์ฟด้วยเนื้อสดชิ้นใหญ่อีกครั้ง
“ฉันมาแล้วลุงไป๋ คุณก็ต้องทำความสะอาดแผลด้วย” หงฉี่ฮว๋ากล่าว
“ได้” ไป๋อี้เห็นด้วย
แม้ว่าบาดแผลบนร่างกายของไป๋อี้จะไม่น่ากลัวเท่าวูล์ฟ แต่ตอนที่เขาต่อสู้กับเจ้าสัตว์ประหลาดเดือยกระดูกเล็ก ๆ เหล่านั้นก็ทิ้งรอยแผลไว้มากมายบนร่างกายของเขา ไป๋อี้ฉีกเสื้อผ้าที่ขาดออกอย่างลวก ๆ จากนั้นก็พันไว้รอบตัว เขามองไปที่วูล์ฟอย่างเป็นห่วงและมีความหวัง …
เซลล์ดัดแปลง!
ไป๋อี้พนันชีวิตของวูล์ฟไว้กับเซลล์ดัดแปลง หากเซลล์ดังกล่าวมีพลังมากพอ
“ไป๋อี้ ถ้าทำแบบนี้เขาจะเกิดการผสานรวมยีนนะ” มาร์ตินเตือนสติ
ไป๋อี้เงยหน้าขึ้นมามองทุกคนอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไร มาร์ตินไม่สบายใจกับสายตาของไป๋อี้ที่ราวกับว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขากำลังหดหายไป ในทางกลับกันหยูหานมองไปที่ไป๋อี้ด้วยความรู้สึกที่อยากเอาชนะ ดวงตาของเขาสงบมากพร้อมกับมีแสงประกายจากนัยน์ตาที่อธิบายไม่ได้
“ไป๋อี้ พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ การเคลื่อนไหวเมื่อกี้และกลิ่นเลือดจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ” หยูหานและไป๋อี้มองหน้ากันสักพักก่อนที่หยูหานจะพูดขึ้นมา เห็นได้ว่าสิ่งที่หยูหานพูดไม่ใช่การเรียกร้องความคิดเห็นของไปอี้แต่เป็นเพียงการบอกข้อเท็จจริง หลังจากพูดจบหยูหานก็ไม่สนใจไป๋อี้อีก แต่เริ่มสั่งการให้คนอื่นจัดระเบียบสิ่งของที่สามารถใช้งานได้บนรถสองคันที่เหลือและเตรียมออกเดินทางต่อ
“ฉินข่ายรุ่ยล่ะ?” ในขณะนั้นเองไต้ยู่เหยาที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถามขึ้นมา จากสิบเอ็ดคนตอนที่พวกเขาออกมาจากมหาวิทยาลัยตอนนี้มีเหลือเพียงหกคนเท่านั้น
“ฉินข่ายรุ่ยเขาหนีไปแล้ว!” เบลลิก้าทีน่าพูดอย่างโกรธเคือง
“เขาทำแบบนี้ได้ยังไง!” ไต้ยู่เหยาไม่เห็นตอนที่ฉินข่ายรุ่ยหนีไป ดังนั้นเธอจึงโกรธมากที่รู้ว่าฉินข่ายรุ่ยทิ้งพวกเธอไว้แล้วหนีไปคนเดียว
“เขากำลังรนหาที่ตายด้วยตัวของเขาเอง ตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในนิวซีแลนด์ เขาก็ดูโง่เขลาอย่างกับหมู ฉันไม่รู้ว่าเขาได้รับผลกระทบจากยีนของหมูหรือเปล่า” หยูหานพูดอย่างเย้ยหยัน ในยุคสงบสุขก่อนหน้านี้หยูหานถูกฉินข่ายรุ่ยเยาะเย้ยมามาก ในยุคนั้นเขาไม่ได้ใช้ความสามารถในการต่อสู้แต่เป็นประวัติครอบครัวที่ดีเลิศ ซึ่งหยูหานไม่มีโอกาสชนะฉินข่ายรุ่ยอย่างแน่นอน
ไต้ยู่เหยาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้
ตราบใดที่คนสมองน้อยสามารถเห็นได้ว่าประสิทธิภาพของฉินข่ายรุ่ยแย่แค่ไหนในช่วงเวลานี้ ซึ่งไม่มีความสอดคล้องกับตัวตนเดิมของเขาโดยสิ้นเชิง ในความเป็นจริงยกเว้นหยูหาน ไป๋อี้ และหงฉี่ฮว๋า คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หยูหานเรียกว่า ‘เหมือนหมู’ และไต้ยู่เหยาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^
https://www.kawebook.com/story/6809