[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 20 ความรู้ความเข้าใจที่แตกต่าง
บัดซบ!
อีกฝ่ายอยากจะพ่นคำด่าออกมาสักคำสองคำ ถึงพวกเขาฆ่าคนมาแล้วก็จริง แต่นั่นเป็นตอนที่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งอาหาร อย่างมากพวกเขาก็แค่ใช้มีดฟันที่ลำตัว แขน หรือไม่ก็ใช้ไม้เบสบอลตีที่หัว ไม่ใช่มาถึงก็ฟันที่หัวฆ่าตายไปเลยแบบนี้
อย่าได้มองว่าพวกเขาโหดร้ายเพราะเมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้นเอง ฉากหัวของคนกระเด็นหลุดออกจากบ่ามันน่ากลัวมากจริง ๆ จนทำให้กลุ่มคนที่เตรียมจะพุ่งเข้ามาโจมตีถึงกับผงะชะงักอยู่กับที่
“ฆ่ามัน!”
ไป๋อี้ตะโกนออกมาอย่างดุดัน เลือดที่ไหลอาบหน้าไป๋อี้ทำให้ตอนนี้เขาดูคล้ายกับสัตว์ร้ายบ้าคลั่ง
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามที่ยังคงตกใจกับฉากที่ไป๋อี้ตัดหัวคนอยู่นั่นเอง แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามดังแทรกเข้ามา ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นก็เริ่มมีคนหันหลังวิ่งหนีออกไป จากหนึ่งคนเป็นสองคนและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวจนฉี่แทบเล็ด ในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีผู้คนก็ต่างวิ่งหนีหายไปกันหมด ส่วนกลุ่มของไป๋อี้ยังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ที่เดิม
“ไป๋อี้นายฆ่าคนไปแล้ว!” ฉินข่ายรุ่ยพูดออกมาอย่างหวาดกลัว ขณะที่พูดตัวของเขาเองยังสั่นอยู่เลย
เลือดที่สาดกระเซ็นอยู่บนตัวทำให้ไป๋อี้ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก เมื่อไป๋อี้หมุนตัวกลับมา ฉินข่ายรุ่ย ไต้ยู่เหยา เบลลิก้าทีน่า และหนิงเสวี่ย ทุกคนกลัวจนเผลอก้าวถอยหลังทันที มีแค่หงฉี่ฮว๋า วูล์ฟ และมาร์ตินเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งเหมือนเดิม ดูแล้วคงมีแค่ไม่กี่คนที่เข้าใจว่าทำไมไป๋อี้ต้องโหดร้ายแบบนี้
“วูล์ฟรับไป!” ไป๋อี้เอามีดของคนที่เขาฆ่าไปยื่นให้กับวูล์ฟ
“ทุกคนถืออาวุธของตัวเองให้ดี ๆ แล้วไปหยิบอาหารออกมา พวกเราจะเดินทางไปทางใต้ของเมืองกัน” ไป๋อี้สั่ง
หลังจากได้ยินคำสั่งของไป๋อี้ หงฉี่ฮว๋ากับคนอื่น ๆ ก็ลงมือทำตามทันที วูล์ฟถือมีดขึ้นมาแกว่งไปมาสองครั้งแล้วหัวเราะออกมา ส่วนหยูหานก็ดึงดาบออกมาจากศพแล้วเช็ดเลือดที่เปื้อนออก คนที่เหลือยังคงอยู่ในความสับสน พวกเขายังปรับตัวไม่ทันกับภาพโหดร้ายเมื่อครู่ นั่นรวมไปถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบกะทันหันของไป๋อี้
“นายฆ่าคน นายฆ่าคนไปแล้วนายรู้บ้างไหม ….” ไต้ยู่เหยาตะโกนออกมา
ไป๋อี้ได้ยินดังนั้นจึงมองไปที่เธอ ไต้ยู่เหยาและคนอื่น ๆ ต่างพากันตัวสั่นขึ้นมา ดูเหมือนพวกเขาจะยังคงหวาดกลัวอยู่ หงฉี่ฮว๋าใช้ตัวปกป้องโม่โม่ไว้ข้างหลังและใช้มือปิดตาของเธอไว้ ส่วนเจ้าชาร์ไป่ที่ยืนอยู่ข้างโม่โม่เมื่อมันเห็นไป๋อี้มองมาก็กระดิกหางให้อย่างเอาใจ
“ไม่ต้องบัง ให้โมโม่ดูเอาไว้” ไป๋อี้พูดกับหงฉี่ฮว๋า
หงฉี่ฮว๋าได้ยินดังนั้นก็มองไปที่ไป๋อี้ด้วยความประหลาดใจ ส่วนฉินข่ายรุ่ยกับคนอื่น ๆ นั้นประหลาดใจยิ่งกว่า พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ไป๋อี้คิดอะไรอยู่กันแน่ โม่โม่เพิ่ง 4 ขวบเองนะ พ่อแม่ปกติที่ไหนจะอยากให้ลูกสาววัย 4 ขวบมาเห็นฉากนองเลือดแบบนี้กัน แต่แม้จะตกใจยังไงหงฉี่ฮว๋าก็ปล่อยมืออยู่ดี เพาะถึงอย่างไรไป๋อี้ก็เป็นพ่อของโม่โม่นี่นา
เมื่อไม่มีอะไรมาบังสายตาของโมโม่แล้ว เธอจึงได้เห็นภาพศพสองศพบนพื้น ศพหนึ่งที่ถูกหยูหานแทงท้องโดยที่ทั้งลำไส้และเลือดยังไหลอยู่เต็มพื้นและอีกหนึ่งศพที่ดูน่าสงสารที่สุด ส่วนหัวและตัวของเขาต่างแยกกันอยู่บนพื้น
เมื่อเห็นภาพนี้ร่างกายของโม่โม่ก็สั่นเล็กน้อยอย่างคุมไม่อยู่ก่อนที่เธอจะมองไปที่ไป๋อี้
“เห็นรึยัง?”
“เห็นแล้ว!” ดวงตาของโม่โม่ยังคงดูใสซื่อแม้จะปะปนไปด้วยความสับสนอยู่ข้างใน
“จำเอาไว้โลกในตอนนี้ไม่เหมือนกับโลกที่สงบสุขเมื่อก่อนแล้ว ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น” ไป๋อี้เดินมาอยู่ข้างหน้าโม่โม่ คุกเข่าลงข้างหนึ่งและมองเข้าไปในดวงตาของโม่โม่พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง ความจริงแล้วชีวิตที่ผ่านมาโม่โม่ก็พบเจอภัยอันตรายมามากมาย แค่มันไม่ได้เกิดผลกระทบโดยตรงกับตัวเองเหมือนตอนนี้เท่านั้นเอง
พูดตามตรงว่าหลังจากที่ได้เจอพวกปีศาจอสรพิษยักษ์กับนกแร้งหางงูเจ็ดหัวแล้ว ไป๋อี้ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถปกป้องอยู่ข้างกายโม่โม่ได้ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเขาพลาดตายไปไป๋อี้ก็หวังว่าโม่โม่จะสามารถเข้มแข็งและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วยตัวเอง
โม่โม่มองเข้าไปในดวงตาของไป๋อี้ ข้างในนั้นสะท้อนเงาภาพของเธอ ถึงแม้ว่าตัวเธอจะไม่ได้เข้าใจที่ไป๋อี้พูดเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อนั้นเป็นคำพูดของพ่อเธอก็จะจำมันเอาไว้ โม่โม่จึงพยักหน้าตอบกลับอย่างจริงจัง
ไป๋อี้เอื้อมมือไปลูบหัวโม่โม่อย่างอ่อนโยน บนใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เร็วเข้ารีบเก็บข้าวของ ทุกคนเก็บอาวุธไว้ให้ดี จากนี้พวกเราจะเริ่มเดินทางไปเมืองทางใต้กัน” ไป๋อี้ลุกขึ้นยืนและเริ่มหันไปสั่งการทุกคน คำพูดที่อธิบายไปเมื่อครู่แม้ว่าโม่โม่เหมือนจะเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นโม่โม่ก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง จะมาเข้าใจคำพูดมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือพวกนักศึกษาบางคนที่ยังคิดว่าตัวเองยังอยู่ในโลกที่สงบสุขเหมือนเมื่อก่อน
“เรียบร้อยแล้ว!” หงฉี่ฮว๋าตอบกลับ
ทุกคนหันไปมองและถึงได้รู้ว่าหงฉี่ฮว๋าใช้เสื้อผ้าที่เอามาจากไหนไม่รู้มาห่อเนื้อของนกอีแร้งหางงูเจ็ดหัวก้อนใหญ่ไว้ข้างในแล้วสะพายไว้ข้างหลัง ส่วนในมือของเธอก็ถือไม้เบสบอลเปื้อนเลือดของใครไม่รู้เอาไว้ด้วย
แบบนี้นอกจากจะสะดวกในการแบกอาหารแล้วยังไม่เกะกะเวลาเคลื่อนไหวหรือต่อสู้อีกด้วย
“ตอนนี้ทำแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน อีกเดี๋ยวถ้าเจอของที่เหมาะกว่านี้ก็ให้ต่างคนต่างแบกเอง” เมื่อเห็นการเตรียมตัวของหงฉี่ฮว๋า ไป๋อี้ก็พยักหน้าให้อย่างชื่นชม โชคดีที่ในกลุ่มนี้ก็ยังมีคนเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง เช่น หยูหาน หงฉี่ฮว๋า และมาร์ติน ที่ฉลาดพอจะรับรู้ได้ว่าโลกในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้ว
แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ฉินข่ายรุ่ย ถังปิง กับคนอื่น ๆ ก็เลือกที่จะมุ่งหน้าไปทางใต้ของเมืองด้วยกันกับเพื่อนร่วมทีม
ร้านบนท้องถนนในตอนนี้ต่างเละเทะไปหมด อาหารกับอาวุธถูกเอาไปไม่เหลือ แต่แล้วพวกไป๋อี้ก็ได้เจอร้านกระเป๋าร้านหนึ่ง ซึ่งข้างในมีกระเป๋าเป้เปื้อนรอยเท้าตกอยู่บนพื้นหลายแบบ
“ทุกคนเข้ามาในร้านแล้วเลือกกระเป๋ากันคนละใบเถอะ อย่าเลือกใบใหญ่เกินไปล่ะมันจะกลายเป็นภาระแทน จากนั้นให้ทุกคนแบกอาหารคนละนิดคนละหน่อยจะได้ไม่เกะกะในการเคลื่อนไหว” ไป๋อี้บอก
“ทำไมพวกเราต้องทำแบบนี้ด้วย?” ในที่สุดไต้ยู่เหยาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ซื่อจนเหมือนโง่อะไรแบบนี้! ไป๋อี้ตะโกนอยู่ในใจ
“พกอาหารแบบนี้มันสะดวกและไม่เกะกะในการเคลื่อนไหว เร็วเข้าอย่ามัวเสียเวลา” ไป๋อี้พูดซ้ำอีกครั้งและไม่สนใจไต้ยู่เหยาอีก
ไป๋อี้ วูล์ฟ มาร์ติน และผู้ชายอีกสองสามคนช่วยกันแบกก้อนเนื้อนกอีแร้งหางงูเจ็ดหัวมาวางไว้และเริ่มจัดการแบ่งเจ้าก้อนเนื้อนี้ในร้าน แม้ว่าไป๋อี้จะได้รับบาดเจ็บที่มือข้างซ้ายแต่เขาก็ยังเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเหมือนเดิม เขาแบ่งเนื้อเป็นชิ้นละประมาณครึ่งกิโลกรัม เมื่อหงฉี่ฮว๋าเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาช่วยไป๋อี้อีกแรง
เวลานี้นอกจากคนหัวช้าอย่างไต้ยู่เหยาแล้ว คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็เริ่มทำตามที่ไป๋อี้สั่ง
ทุกคนเข้าไปเลือกกระเป๋าคนละใบอย่างรวดเร็ว วูล์ฟ มาร์ติน กับคนอื่น ๆ ต่างก็เลือกกระเป๋าที่ดูเรียบง่าย ทนทาน เพื่อไม่ให้เกะกะ แต่ไต้ยู่เหยากับหนิงเสวี่ยกลับเลือกกระเป๋าที่ดูสวยมาแทน ในส่วนของถังปิงเขาเลือกเป็นกระเป๋าปีนเขาขนาดใหญ่มาก
“ทุกคนหยิบเนื้อใส่กระเป๋าตัวเอง” ไป๋อี้พูด
เพราะถังปิงเลือกกระเป๋าปีนเขาใบใหญ่มาเขาก็เลยใส่เนื้อได้เยอะที่สุด เหมือนว่าหลังจากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาต่อไป ถังปิงเลยต้องคิดอย่างรอบคอบมากขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าอาหารจะปลอดภัยที่สุดเมื่ออยู่ในมือของตัวเอง
เมื่อเห็นถังปิงทำแบบนั้นไป๋อี้ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเลือกกระเป๋าใบเล็กให้โม่โม่ใบหนึ่งและใส่เนื้อไปสองชิ้น จากนั้นก็เลือกกระเป๋าแบบแบนที่ขนาดพอดีกับหลังของตัวเองกางออกมาใส่เนื้อไปจนเต็มกระเป๋าแล้วกระชับสายกระเป๋าให้ยึดกับตัวของเขาอย่างแน่นหนา
ตอนที่ทุกคนเดินออกมาก็พบว่าหยูหานนั่งอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว
“ทำได้ดีมาก” ไป๋อี้กล่าวชมเขา
หยูหานเพียงแค่ยิ้มรับ เห็นได้ชัดว่าแม้มันจะเป็นคำชมแต่ก็ไม่ได้เข้าหูของหยูหานเท่าไหร่นัก จะว่ายังไงดีล่ะ เขาเกลียดคำพูดแบบหัวหน้าทีมของไป๋อี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนเต็มใจที่จะเป็นเพียงสมาชิกในทีมและบังเอิญว่าหยูหานนั้นอยากเป็นหัวหน้าทีมมากเสียด้วย ก่อนหน้านี้ที่มหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ดังนั้นคนอื่น ๆ จึงไม่คิดที่จะให้เขาเป็นหัวหน้าทีม
ในขณะที่ไป๋อี้นั้นไม่รู้ว่าเพราะอายุมากกว่าหรือเพราะคนอื่นเรียกเขาว่าลุงอี้เขาจึงได้กลายเป็นหัวหน้าทีมโดยไม่รู้ตัว
ผู้หญิงขึ้นรถกันหมดแล้ว ส่วนผู้ชายก็ต่างสะพายเป้แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ตามรถมุ่งไปที่เมืองทางใต้ แม้จะเพิ่งทิ้งรถไปเพราะมีเหตุที่ถนนมีสิ่งกีดขวางปิดกั้น แต่ตอนนี้ถนนก็โล่งหมดแล้ว ซึ่งความจริงแล้วสามารถหารถได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องรอถึงทางใต้ของเมือง
พลังกายเพิ่มขึ้นมาจริงด้วย!
ทุกคนต่างวิ่งไปพร้อมกับคิดเรื่องเดียวกันอยู่ในใจเงียบ ๆ แม้ว่ามาร์ตินจะบอกว่าเซลล์ดัดแปลงทำให้มีพลังงานพิเศษได้ แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจเท่าไหร่เพราะพวกเขาเคยอัพไปถึง LV2 แบบที่มาร์ตินบอกไว้ก็เหมือนกับที่คนธรรมดารู้ว่าตัวเองมีพลังชีวภาพแต่ไม่สามารถสัมผัสได้ หรือแม้ว่าจะสามารถใช้พละกำลังได้แต่ก็ไม่สามารถควบคุมแรงและการไหลเวียนของพละกำลังได้อย่างอิสระ ถึงอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าร่างกายของพวกเขาตอนนี้แข็งแรงเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผลของพลังงานพิเศษภายในร่างกาย
ยิ่งเข้าใกล้ทางทิศใต้มากเท่าไหร่บ้านเมืองก็ยิ่งวุ่นวายมาขึ้นเท่านั้น ทุกคนต่างหนีตายบ้าง แย่งอาหารบ้าง ทั้งร่างกายและจิตใจคล้ายกับจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปกันหมด เมื่อหิวขึ้นมาก็เริ่มกินมนุษย์ด้วยกันเอง บ้านเมืองในตอนนี้ราวกับเป็นวันโลกาวินาศไปเสียแล้ว มาถึงตอนนี้ฉินข่ายรุ่ยกับไต้ยู่เหยาก็เพิ่งจะเข้าใจว่าโลกในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ไป๋อี้กับหยูหานถึงได้กล้าที่จะฆ่าคน
เพราะกลุ่มของไป๋อี้มีมากถึงสิบกว่าคน แม้ว่าผู้คนจะเสียสติกันไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครตาถั่วเข้ามาก่อกวนพวกเขา
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809