[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 163 พัฒนาการด้านอื่นๆ
จะใช้เวลาช่วงหลับใหลอย่างไร ในความคิดของไป๋อี้เขานึกถึงข้อมูลที่ไนท์บันทึกไว้เกี่ยวกับการเข้าสู่ระยะหลับใหลของสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการอื่น ๆ
โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณเมื่อพวกมันเข้าสู่ช่วงหลับใหล LV1-3 จากนั้นพวกเขาก็จะง่วงนอนและหลับไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อเป็นการทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขากลับมาสอดประสานกัน จากจุดเริ่มต้นไป๋อี้และคนในทีมค่อย ๆ เข้าสู่การหลับลึกเพื่อทำการสอดประสานดังที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ต้องขอบคุณผู้ทดลองจำนวนนับไม่ถ้วนในสถาบันวิจัย หากไม่ได้บทสรุปจากสิ่งเหล่านี้คาดว่าในเวลานี้คงจะมีมนุษย์จำนวนมากที่ตกอยู่ในสภาวะดุร้าย
ข้อมูลในสถาบันวิจัยแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้ในช่วงเข้าสู่สภาวะดุร้าย และ 90% ของมนุษย์วิวัฒนาการต้องจมอยู่ในสภาวะดุร้ายอย่างสิ้นเชิง!
ปัจจุบันทุกคนในนิวซีแลนด์กลายเป็นมนุษย์ที่มีการวิวัฒนาการแล้วกว่าหนึ่งล้านคน ขณะที่ในไครสต์เชิร์ชมีประชากรมากกว่า 100,000 คน นอกจากคาบสมุทรทางเหนือของนิวซีแลนด์แล้วยังมีมนุษย์วิวัฒนาการกระจัดกระจายอยู่ภายนอกและคาดว่ามีมนุษย์ที่วิวัฒนาการประมาณ 300,000 ถึง 400,000 คนที่ยังคงสามารถประคองสติสัมปชัญญะของตนเองได้ ตัวเลขสถิตินี้สูงกว่าข้อมูลในสถาบันวิจัย 3-4 เท่า ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อมูลที่อ้างอิงมาจากการทดลองในสถาบันวิจัยทั้งสิ้น
หลังจากที่ไป๋อี้เผยแพร่ข้อมูลฐานประชากรจำนวนมาก ก็เกิดการค้นคว้าเพื่อแยกแยะการเปลี่ยนแปลงของตนเองและสรุปวิธีต่าง ๆ ในการบรรเทาความตึงเครียดทางจิตใจ การคลายแรงกดดัน และวิธีขจัดระยะดุร้ายออกไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
นิวซีแลนด์ในตอนนี้แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มาก อย่างไรก็ตามยังมีผู้เข้าร่วมการทดลองบางกลุ่มที่หลบหนีออกจากสถาบันการวิจัยไม่น้อยเลยทีเดียว กลุ่มทดลองเหล่านี้เกิดขึ้นเร็วกว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตกลุ่มหลังที่ผสานรวมกับเซลล์ที่ดัดแปลงในนิวซีแลนด์ ดังนั้นจึงมีการค้นพบรูปแบบการหลับใหลมากมายจากร่างทดลองเหล่านี้
ระยะหลับใหล——ยกเว้นการหาอาหารขั้นพื้นฐาน พวกเขามักจะหลับในเวลาที่เหลือซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นอันตรายมากนัก แต่ก็ยังมีความอันตรายอยู่
แม้ว่าจะเข้าสู่ระยะหลับใหล แต่สภาวะการนอนหลับของสัตว์ที่อยู่ในระยะหลับใหลเหล่านี้ก็ไม่ได้ดีนัก การเข้าสู่การหลับลึกเป็นเรื่องที่ยากมากและยังตื่นขึ้นมาได้โดยง่ายเหมือนฝันร้าย กล่าวโดยสรุปคือมันเป็นผลมาจากความไม่ประสานกันของจิตวิญญาณและร่างกาย ดังนั้นผู้ที่อยู่ในระยะหลับใหลจะไม่ชอบผู้ที่เข้ามาปลุกพวกเขาจากการหลับฝัน ถึงขนาดที่ว่า ‘หากมารบกวนการนอนหลับฝันของฉัน จะตามฆ่าทั้งครอบครัว’
ไป๋อี้รู้สึกว่าพวกเขาไม่น่าจะหลับยากเหมือนคนที่อยู่ในระยะดุร้ายทั่วไป ทว่ากลับนอนหลับเป็นตาย โดยทั่วไปในระยะหลับใหลจะใช้เวลาในการนอนหลับถึง 90% และไม่มีปัญหาเรื่องการตื่นนอนง่าย แต่ถ้าไป๋อี้และคนในทีมนอนหลับเป็นตายในช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นอันตรายมาก
……
ไป๋อี้นึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับระยะหลับใหลและประเภทของการนอนก่อนจะเดินออกไปช้า ๆ ไป๋อี้คิดแล้วว่าจะใช้เวลาช่วงหลับใหลอย่างไร เขาจะไม่อยู่ในเมืองเพราะที่นี่มีผู้คนมากเกินไปทำให้ไม่น่าไว้วางใจ แม้ว่าไป๋อี้จะมีชื่อเสียงในเมืองนี้มากและกองกำลังอื่น ๆ จะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับไป๋อี้ ทว่าจิตใจของผู้คนก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดเดาได้โดยง่าย
เขาจะออกจากเมืองโดยเร็ว ไป๋อี้สวมเสื้อคลุมอย่างลวก ๆ และเดินออกไปในเมือง
ระยะเวลากว่าหนึ่งปี ต้องขอบคุณความพยายามและการทำงานหนักของมนุษย์วิวัฒนาการทั้งหมด ไครสต์เชิร์ชเปลี่ยนไปมาก การสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่บนพื้นฐานของเมืองเดิมให้สอดคล้องกับมนุษย์วิวัฒนาการในปัจจุบันและรูปแบบโดยรวมของนิวซีแลนด์ทำให้เมืองนี้ดูแปลกประหลาดมาก อย่างไรก็ตามมันเป็นเมืองที่พวกไป๋อี้ให้การสนับสนุนในเรื่องโครงสร้างต่าง ๆ
ไป๋อี้เดินช้า ๆ ไปตามถนนในเมืองพลางสังเกตเมืองที่เพิ่งเกิดใหม่แห่งนี้ ไป๋อี้สวมหมวกและเสื้อคลุมที่ปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจำได้ ระหว่างทางถึงแม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าที่นี่มีความเจริญรุ่งเรืองมากเท่าไหร่ แต่ก็คึกคักเต็มไปด้วยมนุษย์วิวัฒนาการทั้งหลายที่มารวมตัวกันอย่างหนาแน่นทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ไป๋อี้เดินไปที่ตลาดขายอาหารโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองไปยังฝูงชนไป๋อี้ก็อดยิ้มไม่ได้ เป็นไปได้ไหมว่านี่คือสัญชาตญาณของเชฟที่ตราตรึงเข้ากระดูกของเขาที่ทำให้เขาเดินมาถึงที่ตลาดอาหารได้
ขณะนี้ในนิวซีแลนด์ได้พบพืชผักหลายสิบชนิดและเพียงพอสำหรับการบริโภคขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตและพืชวิวัฒนาการที่กลายพันธุ์อีกหลายชนิด นั่นทำให้ประเภทของอาหารพัฒนาไปสู่ความหลากหลายและความไม่แน่นอน นักกินทั้งหลายรู้สึกมีความสุขหลังจากที่ค่อย ๆ ปรับตัวในนิวซีแลนด์ได้ ยังมีวัตถุดิบมากมายที่ไม่ถูกแตะต้องแม้ว่ามันจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นวัตถุดิบที่ยั่วน้ำลาย อย่างไรก็ตามหากส่วนผสมหลายอย่างไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม การนำมันมากินอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แม้ว่าอาชีพเชฟจะไม่รวมอยู่ในหนึ่งในสามอาชีพใหม่ แต่ก็เป็นอาชีพที่นิยมมากเช่นกัน อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนเรา ไม่ว่าเมื่อไหร่การเติมเต็มกระเพาะอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ
แม้ว่าไป๋อี้เองจะเป็นพ่อครัว แต่เขาก็ไม่ได้เริ่มทำอาหารมานานแล้ว เขาใช้เวลาเกือบทุกนาทีไปกับศึกษาและสั่งสมความรู้
ทันใดนั้นไป๋อี้ก็พบวัตถุดิบอาหารที่ดูเหมือนงูหลามยักษ์แต่เป็นพืช แถมมันยังกำลังบิดตัวไปมาอย่างช้า ๆ เถาวัลย์ปีศาจ! มันมีความหนาประมาณต้นขาขนาดใหญ่ของคน ซึ่งมันเป็นพืชที่กินเนื้อเป็นอาหาร มันมีเสี้ยนบนพื้นผิวซึ่งสามารถห่อตัวคนและกินเข้าไปได้ มันไม่เพียงแต่ใช้การสังเคราะห์แสงเพื่อผลิตพลังงานเท่านั้น แต่ยังจับสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อดูดซึมเป็นพลังงานด้วย
ว่าแต่สิ่งนี้สามารถกินได้หรือ?
“เถาวัลย์ปีศาจ?” ไป๋อี้ตั้งคำถาม
“ใช่ ขายเพียง 500 เหรียญปีศาจเท่านั้น นายต้องการหรือไม่” เจ้าของแผงลอยกระตือรือร้นเข้ามาถาม “นี่คือความจริงที่ว่าในที่สุดทีมของเราก็โค่นเถาวัลย์ปีศาจได้ มันไม่ง่ายเลยนะ อย่ามองว่าเถาวัลย์นี้หนาเท่าต้นขาของผู้ใหญ่ แต่เถาวัลย์ปีศาจนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 10 เมตรเลยเชียว เถาวัลย์เหล่านี้มีล้นหลามมืดฟ้ามัวดิน ถ้าไม่ใช่เพราะทีมเราแข็งแกร่งมาก ฉันก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้าสิ่งนี้หรอก” ผู้ชายคนนี้อดไม่ได้ที่จะแนะนำเมื่อเขาเห็นไป๋อี้ไถ่ถาม
“เจ้านี่กินได้เหรอ?” ไป๋อี้ยังถามต่อ
“หือ?” ผู้ชายคนนี้รู้สึกงงงวยกับคำถามของไป๋อี้อย่างเห็นได้ชัด
“พูดจาเหลวไหล ถ้ามันไม่สามารถกินได้เราจะจับกลับมาทำไม ปกตินายไม่ได้ผสมผักและเนื้อสัตว์ในการทำอาหารใช่ไหม? ฉันจะบอกนายให้ว่าพืชที่กินเนื้อเป็นอาหารโดยทั่วไปจะรวมส่วนผสมของผักและเนื้อสัตว์อยู่แล้ว เมื่อพวกมันผสมผสานกันจะให้รสชาติที่ดีกว่าพืชธรรมดา นายดูไม่เหมือนเชฟเลยนะ นายถึงได้ถามคำถามแบบนี้” ผู้ชายคนนี้มองไป๋อี้มองอย่างดูถูก
“ฉันจะเตือนนายแล้วนะ ถึงนายจะไม่ใช่เชฟก็สามารถลองดูได้ แต่อย่าซื้อของแปลก ๆ ล่ะ ไม่อย่างนั้นถ้านายปรุงมันกินแล้วเป็นเหตุให้ตายก็อย่าโทษคนอื่นล่ะ นายจัดการไม่เป็นเอง” เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ก็ไม่เลวนัก เขาเตือนไป๋อี้ว่าอย่าซื้อของสุ่มสี่สุ่มห้า
“อย่างนั้นเหรอ ขอบคุณมากครับ” ไป๋อี้พยักหน้า
“ว่าแต่นายจะจัดการกับเถาวัลย์ปีศาจนี้อย่างไรก่อนที่นายจะกินมัน?” ไป๋อี้ถามอีกครั้ง
“ฉันก็ไม่รู้ ฉันไม่ใช่พ่อครัว พ่อครัวในทีมของเราไม่รู้ว่าจัดการกับสิ่งนี้อย่างไร แต่ฉันเคยกินในร้านอาหารมอนสเตอร์ อาหารจานเดียวคือเถาวัลย์ปีศาจซึ่งรสชาติดีจริง ๆ” ผู้ชายคนนี้เมื่อเห็นว่าตนไม่มีธุระอะไรก็อดไม่ได้ที่จะคุยกับไป๋อี้ต่อ
“เมื่อพูดถึงความมั่นคงของนิวซีแลนด์ในปัจจุบัน ทุกคนพบว่าประเภทของวัตถุดิบมีมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ก็แน่นอนว่าความอันตรายก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ววัตถุดิบสามารถแปรรูปได้ด้วยวิธีธรรมดา ไม่ว่านายจะทำด้วยวิธีใดก็ตาม อย่างน้อยมันต้องปลอดภัยจากสารพิษ ประเภทของอาหารที่สามารถรับประทานได้ก็เป็นเพียงอาหารธรรมดา ๆ แต่หากวัตถุดิบเหล่านั้นไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องก็นำมากินไม่ได้ อาหารที่กินแล้วทำให้ตายได้เรียกว่าวัตถุดิบปรุงพิเศษ” การเป็นครูที่ดีเป็นธรรมชาติของมนุษย์มาโดยตลอด ผู้ชายคนนี้อดไม่ได้ที่จะเริ่มพูดคุยมากขึ้นอย่างออกรสเมื่อเห็นไป๋อี้นั่งอยู่บนหินข้าง ๆ เขา
“วัตถุดิบปรุงพิเศษ!”
“ถูกต้อง มันเป็นวัตถุดิบพิเศษในการทำอาหารซึ่งพ่อครัวธรรมดาไม่สามารถจัดการได้ ตัวอย่างเช่นจิ้งจกพิษ เถาวัลย์ปีศาจ เห็ดหลากสี ปลาปักเป้าหนาม เป็นต้น……” ผู้ชายคนนี้รู้มากจริง ๆ ไป๋อี้ฟังอย่างเพลิดเพลิน
ไป๋อี้เพิ่งค้นพบในตอนนี้ว่าไม่ใช่แค่สามอาชีพที่พัฒนาขึ้น หมอปรุงยา ช่างหลอมอาวุธและนักสะกดจิต แต่อาชีพเชฟก็กำลังพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน น่าเสียดายที่ไป๋อี้ตั้งใจเรียนและมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ทางชีววิทยา 100% ในปีนี้เขาจึงไม่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในงานของเขาในฐานะพ่อครัว
“แล้วนายรู้วิธีปรุงวัตถุดิบเหล่านี้ได้อย่างไร?” ไป๋อี้ถาม แม้ว่าในช่วงชีวิตของเขาไป๋อี้จะจับพลัดจับผลูได้มาทำอาชีพเชฟ แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นเขาก็ไม่ได้เกลียดอาชีพนี้ ทว่าเขากลับชอบมันมากกว่า ถึงแม้ทักษะการทำอาหารจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป ไป๋อี้ก็ยังต้องการเรียนรู้วิธีการเหล่านี้อย่างแน่นอนซึ่งสามารถหาบทสรุปได้จากผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน
“ยาก ยากมาก!” ผู้ชายคนนั้นส่ายหัว
“นายก็น่าจะรู้ ทั้งหมดนี้เป็นวิธีพิเศษในการปรุงส่วนผสมและคนส่วนใหญ่จะถือเป็นความลับ โดยทั่วไปถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิด เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบอก มีหลายวิธีที่จะจัดการกับมัน ฉันจะบอกนายไว้ว่าถ้าไม่มีทักษะความสามารถทางด้านนั้นก็ไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามฉันรู้ว่าสถานที่แห่งหนึ่งสามารถจัดการกับวัตถุดิบพิเศษเหล่านี้ได้ดีมาก”
“ที่ไหน?”
“ฉันไม่ได้บอกไปแล้วเหรอว่าร้านอาหารมอนสเตอร์ไม่มีเมนูอาหารธรรมดาทั่วไป แต่ราคาของที่นั่นแพงมาก ครั้งสุดท้ายที่หัวหน้าพาเราไปกิน ครั้งนั้นครั้งเดียวกินไป 2 จานและเราเกือบล้มละลาย นายไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของหัวหน้าในตอนนั้นช่างน่าสมเพชเหลือเกิน” ผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและเสียงหัวเราะเมื่อพูดถึงหัวหน้าของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าทีมนี้เป็นทีมที่มีความสุขและสามัคคีกันมาก หัวหน้าคนนี้ยังดูเป็นคนที่เข้ากับคนง่ายอีกด้วย
“แพงขนาดนั้นเลย”
“แน่นอนสิ มันเป็นสไตล์ที่มีเอกลักษณ์ อาหารธรรมดาไม่มีขายและวัตถุดิบพิเศษก็ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะสามารถจัดการได้ นายว่าแพงไหมล่ะ”
“แล้วร้านอาหารมอนสเตอร์นี้อยู่ที่ไหน ผมอยากไปดู” ไป๋อี้ถาม ตอนนี้เขามีความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
“นายมีเงินพอไหม เมนูอาหารที่ถูกที่สุดมีราคามากกว่า 2,000 เหรียญปีศาจ” ผู้ชายคนนี้ถามอย่างหวังดี
“อืม ฉันน่าจะกินได้ไม่กี่จาน” ไป๋อี้พยักหน้า เขาสามารถกินได้มากกว่านั้น เนื่องด้วยสถานะปัจจุบันของเขาตอนนี้ทำให้เงินไม่ขาดมือ แม้ว่าไป๋อี้เองจะไม่ได้ใช้มันมากนัก แต่ถ้าบอกว่าไป๋อี้ไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารนั้นกินคงเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี
ร้านอาหารมอนสเตอร์ ไป๋อี้มีความสนใจในร้านนี้เป็นอย่างมาก เขาเดินไปตามทิศทางที่ผู้ชายคนนั้นกล่าว