ขณะที่ไป๋อี้ออกมาป่าวประกาศว่าศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพได้ทำการเปิดให้ใช้บริการอีกครั้ง ในที่สุดก็มีผู้คนมาเข้ารับการบำบัดรักษาร่างกายกันแล้ว ซึ่งผู้ที่เข้ามาใช้บริการหลัก ๆ ก็คือกลุ่มลูกน้องของฟรอยแลนซ์กลุ่มนั้น
พวกเขาเป็นกลุ่มบุคคลที่มักจะทำการต่อสู้อยู่บริเวณรอบนอกที่สุดของเมืองเป็นประจำและเป็นผู้ที่สภาพทางจิตใจไม่สงบนิ่งที่สุด แต่เนื่องจากเวลาปกติพวกเขาจะได้รับยา Cleary Heart จากกระทรวงแพทยศาสตร์อยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าคงไม่มีเรื่องใหญ่โตอันใดเกิดขึ้นหรอก ทว่าหลังจากที่พวกเขาผ่านเหตุการณ์ที่แม่น้ำไวมาคารีรีเมื่อครั้งที่แล้วมา คนกลุ่มนี้จึงรับรู้แล้วว่าเมื่อพวกเขาต้องเข้าสู่การสู้รบที่รุนแรงเช่นนั้น พวกเขาเองก็ยังคงควบคุมการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองไม่อยู่เหมือนเคย
การถูกกระตุ้นจากเลือดสด ๆ ความดุดัน รวมถึงความไม่สมดุลของร่างกายและจิตวิญญาณทำให้พวกเขาขาดการควบคุมตนเองได้อย่างง่ายดาย
ฟรอยแลนซ์ได้นำทีมมาเข้ารับการบำบัดรักษายังศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพของไป๋อี้ ไป๋อี้ส่งรอยยิ้มต้อนรับพวกเขาและเห็นท่าทางระแวดระวังของบรรดาลูกนอกของฟรอยแลนซ์ที่คงหวาดกลัวว่าไป๋อี้อาจเข้ามาทำร้ายหัวหน้าของพวกเขา
“พวกนายจะทำท่าทางอย่างนี้ทำไมกัน คณบดีไป๋อี้ไม่ใช่ศัตรูสักหน่อย” ฟรอยแลนซ์กล่าวอบรมพวกเขา
“แต่ว่าหัวหน้าครับ หลังจากที่ถูกสะกดจิตแล้วคุณจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะครับ”
“คณบดีไป๋อี้ คุณมองอะไรอยู่เหรอ?”
ไป๋อี้มองคนกลุ่มนี้แสดงละครที่เก้ ๆ กัง ๆ อยู่เบื้องหน้าจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขันนัก เดาว่านี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนมากถึงไม่ยอมมาที่นี่ก็เป็นได้ การเข้ารับการบำบัดรักษาจากไป๋อี้นั้นก็คล้ายกับการนำตนเองมาวางไว้บนเขียงและรอให้ไป๋อี้เข้ามาหั่นเป็นชิ้นอย่างไรอย่างนั้น และถ้าหากไป๋อี้มีเจตนาร้ายอันใดจริง ๆ พวกเขาคงตายแบบที่ไม่มีโอกาสได้รู้ว่าตนเองตายอย่างไรเป็นแน่
“ให้คนที่คุณเชื่อใจเฝ้าอยู่ข้างนอกได้ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาดูการรักษา” หลังจากที่ไป๋อี้กล่าวเสร็จแล้วจึงหันไปมองฟรอยแลนซ์ด้วยสายตาหยอกล้อ “หรือคุณคิดว่าผมจะทำร้ายคุณอย่างนั้นเหรอ?”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรครับ ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ ฮ่า ๆ” ฟรอยแลนซ์หัวเราะน้อยใหญ่ขึ้นมา แต่ทว่าภายในน้ำเสียงช่างแลดูไม่ใช่คำพูดที่มาจากใจเอาเสียเลย ซึ่งเขาเองก็ปกปิดมันไว้ไม่อยู่ตั้งแต่คราแรกแล้ว ทว่าในเมื่อฟรอยแลนซ์มาหาไป๋อี้เป็นคนแรก เขาจึงมีการเตรียมตัวมาในระดับหนึ่งแล้ว หลังจากที่เขาหัวเราะออกมาเขาก็เข้าไปตบไหล่ลูกน้องทั้งสองคน จากนั้นก็เดินตามหลังของไป๋อี้เข้าไปในห้องพักฟื้นขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น
“เนื่องจากมนุษย์วิวัฒนาการนั้นมีรูปร่างที่ต่างกัน ดังนั้นเตียงนอนจึงแตกต่างกันออกไปด้วย เตียงนอนอันนี้เหมาะสมกับคุณมากที่สุดแล้ว ขึ้นไปเถอะ” ไป๋อี้กล่าว
“อืม” ฟลรอยแลนซ์พยักหน้าพร้อมขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็รอให้ไป๋อี้เข้ามาทำการบำบัดเขา
แต่ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นดังที่ฟรอยแลนซ์คาดการณ์ไว้ เพราะดูเหมือนว่าไป๋อี้จะไม่ได้ทำอะไรเลย เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ อีกทั้งยังเอนตัวลงด้วยท่าทางที่ดูสบาย ๆ พร้อมกับสนทนาเรื่อยเปื่อยกับฟรอยแลนซ์ไปเรื่อย ๆ การสะกดจิตนั้นจะใช้เพียงน้ำเสียง คำพูด ท่าทาง หรือวัตถุสิ่งของอื่น ๆ ในการก่อกวนจิตใต้สำนึกหลักของมนุษย์ซึ่งจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนความสนใจ ไป๋อี้คงจะไม่ใช้สายตาคู่นั้นในการสะกดจิตคนใดคนหนึ่งโดยตรง เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะทำให้เขาเหนื่อยล้าจนเกินไป
ฟรอยแลนซ์คงจะอยากเห็นว่าสายตาคู่นั้นของไป๋อี้เป็นอย่างไรกันแน่ ดังนั้นขณะที่เขากำลังสนทนากับไป๋อี้ เขาจึงมักเผลอจ้องมองดวงตาทั้งสองข้างของไป๋อี้อย่างไม่รู้ตัว ซึ่งไป๋อี้เองก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด เพียงแค่หาหัวข้อสนทนาเพื่อพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเขาไปเท่านั้น
และเมื่อฟรอยแลนซ์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่น
ภายในหัวของฟรอยแลนซ์ได้ปรากฏเป็นภาพความทรงจำที่เขาสนทนากับไป๋อี้ขึ้นมาช้า ๆ ครั้นในตอนสุดท้ายเขากลับจำไม่ได้เลยว่าตนเองนอนหลับใหลไปได้อย่างไร ในช่วงระหว่างที่เขาไม่รู้สึกตัวนั้นการรับรู้ของเขาก็ระหกระเหินออกไปแล้ว และหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย แม้กระทั่งไป๋อี้ได้ใช้ม่านตาบุษบาผกผันกับเขาหรือไม่ก็จำไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขาลูบหัวไปมาพร้อมลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงพบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย?” ฟรอยแลนซ์เดินออกมาจากห้องพักฟื้นจึงพบเข้ากับผู้ที่เฝ้ารักษาการอยู่ที่นี่สองคน
“หัวหน้า!” เมื่อลูกน้องสองคนเห็นฟรอยแลนซ์เดินออกมาก็ได้อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เป็นเวลากลางคืนแล้วครับ ตอนนี้หัวหน้ารู้สึกอย่างไรบ้างครับไม่เป็นอะไรใช่ไหม ไป๋อี้คนนั้นไม่ให้พวกเราเข้าไปรบกวนคุณนอนหลับ” หนึ่งในนั้นกล่าวซักถามด้วยความสงสัย
“เอ่อคือ มีความรู้สึกบางอย่างอยู่นะแต่ว่าไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร พวกเราไปบอกลาคณบดีไป๋อี้กันเถอะ” ฟรอยแลนซ์กล่าวพร้อมคิดพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองอย่างละเอียดไปด้วย
“ไม่ต้องไปหรอกครับ ไป๋อี้บอกพวกเราไว้ตั้งนานแล้วว่าหลังจากที่คุณตื่นนอนแล้วก็ให้ออกไปจากที่นี่ได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปพบเขา” หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นอีกครั้ง ส่วนอีกคนก็พยักหน้าตามเช่นเดียวกัน
“อย่างนี้เองเหรอ ถ้างั้นก็ช่างเถอะ พวกเรากลับกัน” ฟรอยแลนซ์พยักหน้าพร้อมเดินนำลูกน้องทั้งสองคนออกไปด้านนอก จากนั้นก็พาคนในทีมกลับเข้าไปยังอาณาเขตของตน
ขณะที่พวกเขาเดินอยู่บนถนน ฟรอยแลนซ์รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเองได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เนื่องจากในช่วงสภาวะดุร้ายนั้นมีความไม่สมดุลกันของร่างกายและจิตวิญญาณดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่เกิดการวิวัฒนาการทุกชนิดจึงมักจะมีความรู้สึกหงุดหงิดอยู่เป็นประจำ ซึ่งคล้ายกับว่าในใจนั้นมีอะไรบางอย่างอยากจะระบายออกมาแต่ก็ระบายออกมาไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกชนิดที่ว่าเส้นประสาทตึงเครียดแต่กลับไม่ได้รับการบรรเทามันทำให้ผู้คนทุกข์ทรมานมากจริง ๆ และสิ่งนี้ไม่คล้ายกับความเจ็บปวดทรมานจากบาดแผล แต่ทว่าเป็นความรู้สึกอึดอึดใจจนทำให้ผู้คนทรมานอย่างผิดปกติ
แต่ครั้งนี้ฟรอยแลนซ์ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว คล้ายกับว่าสถานะเชิงลบในตัวเขาได้เลือนหายไปในทันที ขณะที่เขาเดินอยู่บนถนนก็มักจะรู้สึกว่าร่างกายของตนนั้นเบาหวิวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขารู้สึกสบายกาย และจิตใจก็สดชื่นเป็นอย่างมาก ต่อให้ฟรอยแลนซ์จะไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ แต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ด้วยตนเองว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขานั้นดีขึ้นมาก
ผลลัพธ์ของการบำบัดช่างยอดเยี่ยมจนน่าทึ่งเสียจริง!
แต่ทว่าเขากลับนอนหลับไปโดยไม่รู้แม้กระทั่งว่าถูกสะกดจิตอย่างไร
ช่างเถอะ ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ไป๋อี้กับพวกเขานั้นไม่ได้มีความขัดแย้งเป็นศัตรูกันเลย หากว่ามีเวลาว่างจะต้องให้ลูกน้องบัดซบกลุ่มนั้นมาเข้ารับการบำบัดรักษากับไป๋อี้หน่อยเสียแล้ว
ไม่นานโลกภายนอกก็ได้รับรู้เรื่องนี้ ส่วนฟรอยแลนซ์ที่ได้เข้าไปรับการบำบัดรักษากับไป๋อี้มาแล้วครั้งหนึ่งก็ได้ส่งลูกน้องทั้งกลุ่มของเขาไปหาไป๋อี้ด้วยเช่นกัน มนุษย์วิวัฒนาการทุกคนที่ออกมากจากศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพของไป๋อี้ล้วนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะทางจิตใจตนเอง เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า มนุษย์วิวัฒนาการที่มายังศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแห่งนี้ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ครั้นในเวลานี้ไป๋อี้กลับกำหนดจำนวนโควต้าของผู้เข้ารับการบำบัดรักษาขึ้นมา นั่นก็คือในทุกวันเขาจะรับการบำบัดรักษาเพียง 10 คนเท่านั้น ถึงแม้การสะกดจิตมนุษย์วิวัฒนาการที่มีสติสัมปชัญญะปกติเหล่านั้นจะไม่ต้องใช้ม่านตาบุษบาผกผันระดับสูงสุด แต่ทว่าการที่จำนวนคนเข้ามารับการบำบัดรักษาเพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ก็ทำให้ไป๋อี้รับไม่ไหวเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการเสียเวลาอีกด้วย
เมื่อผู้ที่เข้ารับการรักษาจากไป๋อี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ข่าวเรื่องของประสิทธิภาพการสะกดจิตของไป๋อี้ก็ได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างขึ้น ความรู้สึกที่คล้ายกับอาการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หายได้สลายไปจนหมดสิ้นช่างรู้สึกสบายมากเสียจริง ในเวลานี้ข่าวลือเดิมที่ไม่ดีของไป๋อี้ในโลกภายนอกก็ได้เงียบหายไปด้วย ในทางตรงกันข้ามไม่ว่าจะอยู่ที่ใดผู้คนก็ล้วนกล่าวชื่นชมไป๋อี้ทั้งนั้น ชื่อเสียงเรียงนามของไป๋อี้นั้นรุ่งโรจน์มากกว่าเมื่อก่อนมากขึ้นไปอีก ในเวลานี้หมายเลขการเข้าคิวของศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพของไป๋อี้ก็ได้มีการค้าขายกันในราคาที่เกินจริงอยู่ในตลาดมืด
แต่ทว่าตัวไป๋อี้เองไม่ได้เปลี่ยนแปลงราคาการบำบัดรักษาแต่อย่างใด แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ชื่อเสียงเรียงนามของเขาดิ่งลงอย่างรุนแรงหรือพุ่งสูงขึ้น ไป๋อี้ก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่ได้มีความโกรธเคืองหรือดีใจออกนอกหน้าแม้แต่น้อย เขายังคงวางตัวสงบนิ่งดังเดิม
ท่าทีเช่นนี้ของไป๋อี้ยิ่งทำให้ใครหลายคนรู้สึกแย่กับการกระทำในเมื่อก่อน แม้แต่ผู้ที่เคยด่าทอไป๋อี้ลับหลังเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นเดียวกัน
ครั้นภายใต้ผลกระทบของสถานการณ์เช่นนี้ วิชาแขนงการสะกดจิตจึงได้พัฒนาขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกคนเพิ่งจะพบว่าความรู้ดั้งเดิมเกี่ยวกับการสะกดจิตของมนุษย์นั้นเดิมทีก็ไม่ได้มีเพียงแค่ไป๋อี้เท่านั้น ผู้ที่ผสานยีนอื่น ๆ เข้าไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงดังเช่นไป๋อี้นั้นมีจำนวนมหาศาล เพียงแต่ว่าความสามารถการสะกดจิตของผู้คนเหล่านั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับไป๋อี้เท่านั้นเอง ซึ่งเขาเหล่านั้นจะต้องพึ่งพาระบบความรู้ที่สังคมในอดีตสรุปออกมาเท่านั้นถึงจะใช้งานได้
เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ภายในเมืองไครสต์เชิร์ชจึงได้มีอาชีพใหม่ถือกำเนิดขึ้นมานั่นก็คือ——นักสะกดจิต!
หรือพูดอีกอย่างคือภายในโลกเดิมก็มีนักสะกดจิตอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในสถานการณ์ธรรมดานั้นไม่เคยมีผู้ใดให้ความสำคัญก็เท่านั้น ความต้องการของสังคมเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ในการทำให้สังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปต่าง ๆ นานา นิวซีแลนด์ในปัจจุบันนี้ได้ค้นพบอาชีพหมอปรุงยา ช่างหลอมอาวุธ นักสะกดจิต สามอาชีพนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งผู้คิดค้นคนแรกของอาชีพหมอปรุงยาและช่างหลอมอาวุธนั้นไม่สามารถค้นหาตัวได้ บางทีผู้คนทั้งหลายอาจจะเสาะแสวงหาด้วยตนเองในเวลาเดียวกันหมดก็เป็นได้ แต่ทว่าภายในอาชีพนักสะกดจิตนั้น คนหน้าใหม่ทุกคนล้วนแต่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของไป๋อี้กันทั้งนั้น ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไม่มีผู้ใดที่จะบรรลุถึงความสามารถและชื่อเสียงเรียงนามดังเช่นไป๋อี้ได้อีกแล้ว
ในขณะนี้ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพของไป๋อี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบแล้ว นักสะกดจิตที่อยู่ภายในนี้ก็ไม่ได้มีเพียงไป๋อี้คนเดียวเท่านั้น ในสถานการณ์ปกติไป๋อี้เองก็อาสาเข้ามาช่วยเหลือด้วยตนเองน้อยครั้งมาก มีเพียงช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ เท่านั้นที่ไป๋อี้จะปรากฏตัวออกมา ซึ่งเวลาส่วนใหญ่แล้วไป๋อี้จะทำการบำบัดรักษาร่างกายตนเองรวมถึงคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วย
มวยไทเก็ก ทักษะการใช้ดาบ ม่านตาบุษบาผกผัน!
นับตั้งแต่พวกไป๋อี้เดินทางมายังเมืองไครสต์เชิร์ชก็ผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ภายในเวลาหนึ่งปีนี้ไป๋อี้มีความสงบสุขมากกว่าเดิม ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่าบุรุษที่มองดูแล้วเป็นผู้ที่มีความสงบนิ่งมากนั้น แท้จริงแล้วตัวเขามีความเปลี่ยนแปลงในตนเองมากน้อยเพียงใด ครั้นในเวลานี้ไป๋อี้กลับรู้สึกว่าถึงเวลาที่ทีมของตนต้องเข้าสู่ระยะหลับใหลแล้ว
————————————————
LV1-3
ระยะหลับใหล——เมื่อจำนวนการผสานรวมของยีนถึงขีดจำกัดสูงสุด ร่างกายมีแนมโน้มความเสถียร จิตวิญญาณและร่างกายก็เข้าสู่ขั้นสมดุลกันแล้ว เมื่อถึงระดับนี้สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ และในขณะเดียวกันก็รับรู้ถึงเรื่องที่ตนเองควรจะกระทำในลำดับถัดไปด้วย——ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณสอดประสานกันได้ดีอีกครั้ง
เมื่ออยากจะให้ร่างกายและจิตวิญญาณสอดประสานเข้ากันได้ดีอีกครั้งนั้นจำเป็นต้องผสมผสานกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งการผสมผสานเช่นนี้จะมีประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่ออยู่ในสภาวะหลับใหล โดยเฉพาะการหลับใหลชั้นลึกที่สุด การหายใจเข้า และเข้าสู่สภาวะคงที่
ในช่วงระยะเวลาหลับใหล โดยพื้นฐานแล้วเวลาส่วนหนึ่งนอกจากการหาอาหาร ช่วงเวลาอื่น ๆ ก็จะเข้าสู่สภาวะหลับลึก ซึ่งความอันตรายของระยะหลับใหลนั้นไม่ถือว่ามีมากแต่ก็ยังมีความอันตรายอยู่เช่นเดียวกัน
ถึงแม้จะอยู่ในระยะหลับใหล ทว่าสภาวะการหลับนอนของระยะนี้จะไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการอยากจะเข้าสู่การนอนหลับขั้นลึกนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก รวมถึงการตกใจสะดุ้งตื่นก็เกิดขึ้นได้ง่ายมากคล้ายกับฝันร้ายอย่างไรอย่างนั้น กล่าวโดยสรุปคือสถานการณ์เหล่านี้ก็คือผลลัพธ์จากการที่จิตวิญญาณและร่างกายไม่สมดุลนั่นเอง ดังนั้นผู้คนที่อยู่ในระยะหลับใหลและมักจะสะดุ้งตื่นตกใจขณะหลับฝันอยู่นั้นจะเกลียดระยะหลับใหลเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมักจะมีความรู้สึกที่ว่า ‘ถูกรบกวนจากการฝันหวาน จนคิดอยากจะฆ่าตระกูลของคนที่มารบกวนทิ้งเสีย’
————————————————
ขณะนี้ไป๋อี้ก็มีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ระยะหลับใหลของเขากำลังจะมาถึงแล้ว ตอนแรกไนท์เคยกล่าวไว้ว่า ธรรมดาแล้วเวลาในการเข้าสู่ระยะหลับใหลจะอยู่ระหว่างสามปีจนถึงห้าปีซึ่งจะยึดตามระดับขั้นของความสมดุลทางร่างกายและจิตวิญญาณ
ความสมดุลของร่างกายและจิตวิญญาณของสมาชิกภายในทีมของไป๋อี้น่าจะเยี่ยมยอดเป็นอย่างมาก ซึ่งเวลาผ่านมายังไม่ถึงสามปีพวกเขาก็จะเข้าสู่ระยะหลับใหลกันแล้ว ซึ่งไม่เพียงแต่ไป๋อี้ที่มีความรู้สึกเช่นนี้เท่านั้น บุคคลอื่น ๆ ในทีมก็มีการตอบสนองที่เลือนรางเช่นนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะวูล์ฟและเฮลัวส์ที่ติดตามไป๋อี้มาตลอด มีเพียงเวร่าที่เข้าทีมมาเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นที่จะมีความรู้สึกนี้ค่อนข้างช้าเล็กน้อย
ระยะหลับใหลจะดำเนินไปไม่ยาวนานมากนัก ซึ่งคาดเดาว่าน่าจะกินเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น และเมื่อระยะหลับใหลในเวลาครึ่งปีนี้ได้สิ้นสุดลง ลำดับต่อไปก็คือด่านแห่งความยากลำบากสูงสุดของสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการในปัจจุบัน——การกลายพันธุ์!
ไป๋อี้ยังจำข้อมูลตัวเลขที่ไนท์เคยกล่าวไว้ในตอนต้นได้……2.31%!
MANGA DISCUSSION