[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 160 ความเชื่อใจ
“กำลังหัวเราะอะไรกันอยู่ ดูท่าทางมีความสุขกันเชียว?” ไม่นานเฮลัวส์และเวร่าก็เดินเข้ามาพร้อมกล่าวถามพวกเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงน
“อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ก็แค่มีเรื่องตลกเล็กน้อยเท่านั้น” ไป๋อี้มองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์จึงเห็นว่าไนท์ได้ลบกระดาษข้อสอบออกเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เห็นแบบนี้แล้วในที่สุดไป๋อี้ก็ได้โล่งใจเสียที ความจริงแล้วไป๋อี้เองก็ไม่ใช่ว่าต้องการจะปิดบังเรื่องนี้ให้ได้ แต่ทว่าเรื่องราวแสนย่ำแย่เช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโอ้อวดให้ผู้อื่นฟังเช่นกัน เพราะฉะนั้นการที่มีผู้ที่รับรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไรก็จะเป็นการดีเท่านั้น
“หืม~!” ทั้งสองคนมองไปยังไป๋อี้อย่างสงสัย สัญญาณเหมือนมีเรื่องปิดบังในลักษณะนี้มีความโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงมองหน้าคนอื่น ๆ สำหรับโม่โม่เธอจะต้องเชื่อฟังไป๋อี้อย่างแน่นอน คงไม่มีทางที่เธอจะพูดพล่อย ๆ ออกมาได้ ส่วนชาร์ไป่ พูพู และชินชิล่าก็คงไม่เปิดเผยความลับออกมาเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นในเวลานี้ผู้ที่เป็นข้อต่ออันสำคัญนั่นก็คือลอทเทียร์ และในขณะที่ทั้งสองมองไปยังลอทเทียร์ไป๋อี้ก็ได้ทำท่าทางไหว้วานไปให้ทางลอทเทียร์ในทันที สายตาอันน่าสงสารนี้ทำให้ลอทเทียร์ฉีกยิ้มทันที ในเวลาปกตินั้นลอทเทียร์มีความเกรงกลัวไป๋อี้เป็นอย่างมาก แต่ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของไป๋อี้ในตอนนี้แล้ว เธอจึงได้รับรู้ถึงนิสัยใจคอโดยแท้จริงของไป๋อี้
“ค่ะ ไม่มีอะไรหรอก!” ลอทเทียร์ส่ายหัวไปมาพร้อมรอยยิ้ม
“จริงเหรอ?” เวร่าและเฮลัวส์มองหน้าลอทเทียร์อย่างสงสัย
“ไม่มีเรื่องอะไรจริง ๆ ฉันรับประกันได้ ว่าแต่ธุระของพวกเธอจัดการเป็นอย่างไรบ้าง” ไป๋อี้ถามขึ้นเพื่อเป็นการเบี่ยงเบนประเด็น
“สถานการณ์ไม่ดีเท่าไรนัก กองกำลังหลายฝ่ายค่อนข้างที่จะเพิกเฉย ทรัพยากรที่เราต้องการนั้นได้มาด้วยความยากลำบากมาก ๆ แม้เราจะมีลูกน้องอยู่ก็ตาม แต่ว่านายจะใช้งานพวกเขาได้อย่างสบายใจงั้นหรือ ? หนึ่งในนั้นมีผู้ที่มีนิสัยค่อนข้างดีอยู่คนหนึ่งชื่อว่าลูเซีย คณะแพทยศาสตร์ แต่เธอหมายอยากให้แนนซี่ไปทำงานอยู่แผนกของเธอ” เมื่อเวร่าได้ยินคำถามของไป๋อี้ก็ไม่ได้สนใจว่าทำไมพวกไป๋อี้ถึงได้หัวเราะเฮฮาอีกต่อไป แต่เธอได้ตอบคำถามไป๋อี้ในทันที
“ถ้าอย่างนั้น คุณมีความคิดเห็นอย่างไรล่ะแนนซี่?” ไป๋อี้ถามพลางมองไปยังแนนซี่ที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านข้าง
“ตอนนี้ฉันคือสมาชิกคนหนึ่งภายในทีม” แนนซี่ส่ายหน้า
ไป๋อี้มองหน้าแนนซี่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะบังเอิญพบกับสมาชิกร่วมทีมคนใหม่ขณะที่อยู่ในเวลลิงตันเป็นการชั่วคราว แต่ทว่าพวกเขาก็ได้มีส่วนร่วมในการเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลทีมเป็นอย่างมากจริง ๆ แต่ไป๋อี้ก็ไม่อยากผูกมัดเธอไว้ไม่ให้เธอได้ออกไปพัฒนาตนเองด้วยเหตุผลนี้ อย่างน้อยตอนนี้แนนซี่เองก็มีข้อด้อยอยู่มากเช่นกัน
“ฉันเห็นด้วยว่าคุณควรจะไปทำงานกับลูเซียเสียก่อนเพราะคุณมีพรสวรรค์ แต่ว่าคุณไม่ใช่แพทย์ตัวจริง คุณยังขาดความรู้ขั้นพื้นฐานอยู่ การที่คุณจะสามารถกลายเป็นหมอปรุงยาได้จะต้องเสาะแสวงหาเพียงลำพัง คุณยังมีส่วนที่ขาดอยู่มาก แต่ทางพวกลูเซียไม่เหมือนกัน พวกเขาหลายคนเดิมทีก็เป็นแพทย์อยู่แล้ว คณะแพทย์ศาสตร์ยิ่งเป็นองค์กรยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งเลยทีเดียว หลายสิ่งในนั้นล้วนเป็นผลงานที่ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันวิจัยมันออกมา การที่คุณได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่นั่นจะเป็นการดีกว่าการที่คุณต้องเสาะแสวงหาเพียงลำพังอย่างแน่นอน คุณก็คิดเสียว่าเป็นการเข้าร่วมการฝึกอบรมชั่วคราวก็แล้วกัน” ไป๋อี้อธิบาย
แนนซี่มองหน้าไป๋อี้ หลังจากผ่านไปเป็นเวลาอันยาวนาน ในที่สุดเธอก็ได้พยักหน้าอย่างจริงจัง
ไป๋อี้ก็พยักหน้าเช่นกันพร้อมทั้งมองไปยังเวร่า เวร่าจึงกล่าวรายงานขึ้นมาอีกครั้งในทันที “อันที่จริงจีฮั่วชิงคือนักวิจัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากท่านหนึ่ง ตอนที่เรารู้ว่าชายชราคนนั้นคือจีฮั่วชิงและพวกเรายังยินยอมที่จะมอบอำนาจและสิทธิขาดทั้งหมดของจีฮั่วชิงส่งให้กับแผนกวิจัยแล้วนั้น ในที่สุดฝ่ายนั้นก็ได้ยินยอมมอบทรัพยากรทางการวิจัยให้พวกเราแล้วเพราะเป็นการค้าขายครั้งเดียวดังนั้นฉันจึงเพิ่มราคาขึ้นสูงอีกเล็กน้อย” เวร่ากล่าวพร้อมฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย
“หืม?”
“สถาบันวิจัยขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ เดิมทีก็คือแผนกวิจัยพัฒนายาเอกชนของโรงพยาบาลแห่งนี้แต่ถูกแผนกวิจัยยึดไว้ในครอบครองแทน ครั้งนี้ฉันจึงไปนำกลับคืนมาพร้อมทั้งอุปกรณ์ภายในทุกอย่างที่จัดไว้เตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบรวมถึงสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย” เวร่ากล่าวและเมื่อนึกถึงหน้าตาอันทุกข์ตรมของไอแซคแล้วเธอก็รู้สึกขำขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นข่าวดีมากเลยล่ะ”
“แต่ว่าพวกเราไม่มีนักวิจัยที่เชี่ยวชาญเลยสักคน การที่ได้สถาบันวิจัยแห่งนั้นมาครอบครองก็คงไม่ได้ใช้งานหรอก” เฮลัวส์ขมวดคิ้ว
“ไม่มีนักวิจัยก็ค่อย ๆ ตามหา ทุกอย่างจะต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่ศูนย์ อีกอย่างอย่าลืมเป้าหมายหลักของพวกเราโดยเด็ดขาดพร้อมทั้งต้องยกระดับความสามารถของตนเองด้วย หากหานักวิจัยไม่เจอจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นสถาบันวิจัยแห่งนี้ก็เอาไว้ให้พวกเราทำการทดลองที่พวกเราถนัดเองก็ได้” ไป๋อี้กล่าวคล้ายกับเขาไม่ได้สนใจปัญหานี้มากเท่าไหร่นัก
“ไป๋อี้ฉันไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่าทำไมนายต้องให้จีฮั่วชิงออกไปด้วย?” เฮลัวส์ถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
“เป็นเพราะฉันไม่เชื่อใจเขา พูดตามความจริงนะ เหตุผลที่เขามาที่นิวซีแลนด์ก็เป็นเพียงคำแอบอ้างของตัวเขาเองเท่านั้น จะเป็นความจริงหรือไม่ฉันจะขอไม่พูด และทหารหน่วยรบพิเศษกลุ่มนั้นก็มาที่นี่เพื่อปกป้องเขาเท่านั้น เพื่อที่เขาจะสามารถเข้ามาภายในสถาบันวิจัยได้ ทว่าเขากลับพูดชักนำให้ทหารเหล่านั้นใช้เซรุ่มเซลล์ปรสิตดัดแปลงเพื่อให้กลายเป็นมนุษย์วิวัฒนาการ ทั้งที่พวกเขาเป็นคนที่มาปกป้องตัวเขาเองแท้ ๆ แต่ดันถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา ฉันไม่สามารถที่จะเชื่อใจเขาได้จริง ๆ” ไป๋อี้กล่าว
ถึงแม้ตอนที่ไนท์กล่าวว่าจีฮั่วชิงเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่น่าเคารพในเรื่องของการวิจัยยีนชีววิทยาในประเทศจีน อันที่จริงไป๋อี้เองก็มีความตกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน และเขาเคยมีความคิดที่อยากจะให้ความสำคัญกับจีฮั่วชิงด้วย แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป
บางทีนี่อาจเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของไป๋อี้ ทั้ง ๆ ที่จีฮั่วชิงเป็นบุคคลที่สำคัญมากคนหนึ่ง แต่ทว่าไป๋อี้กลับไม่เชื่อใจเขาแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ส่งตัวจีฮั่วชิงออกไปเพื่อแลกกับทรัพยากร ส่วนแนนซี่ คุณไปทำงานกับลูเซียพร้อมทั้งศึกษาความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ศึกษาในปัจจุบันให้เป็นระบบระเบียบรวมถึงศึกษาข้อมูลที่พวกเขาสรุปกันออกมาด้วย ส่วนคนอื่น ๆ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยู่ที่นี่ต่อเถอะ ภายในศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแห่งนี้ฉันไม่เชื่อใจคนอื่นสักเท่าไหร่ อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของพวกคุณก็ไม่ใช่การออกไปสู้รบกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์แล้ว แต่พวกคุณจะต้องใช้เวลาไปกับการสะสมพละกำลังและความสามารถของตัวเอง” ไป๋อี้กล่าว
ทุกคนพยักหน้าตอบรับไม่มีผู้ใดมีข้อโต้แย้ง จากนั้นทุกคนจึงได้เดินแยกย้ายกันออกไปด้านนอก
……
“พี่เวร่า ทำไมหัวหน้าถึงให้ฉันไปหาลูเซียกันนะ?” แนนซี่เดินเข้ามาสนทนากับเวร่าเป็นการส่วนตัว ภายในทีมมีเพียงเธอและจีฮั่วชิงที่ถูกส่งตัวออกไป ถ้าหากจะบอกว่าแนนซี่ไม่มีความคิดเห็นอันใดเลยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในความคิดของแนนซี่ตอนนี้เธอมีความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเชื่อใจจากไป๋อี้
“เป็นเพราะว่าหัวหน้าเชื่อใจเธอไงล่ะ”
“ทำไมพี่ถึงคิดว่าอย่างนั้นล่ะคะ ทั้ง ๆ ที่เขาให้ฉันออกไปจากทีม?” แนนซี่ไม่เข้าใจ
“เป็นเพราะสิ่งที่พวกเราถนัดนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าพูดตามความจริงแล้วภายในทีมมีแค่ความสามารถของเธอกับมัลวีย์เท่านั้นที่นิวซีแลนด์ในปัจจุบันให้ความสำคัญที่สุด พวกเธอสองคนคือหมอปรุงยาและช่างหลอมอาวุธ แต่อันที่จริงนี่คือระบบใหม่ที่พวกเราเพิ่งจะพัฒนาขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ ไป๋อี้เองก็พูดแล้วว่าเขาไม่อยากให้เธอเสาะแสวงหาความรู้เอาเองอยู่ภายในทีมตามลำพัง มันเป็นการสิ้นเปลืองพรสวรรค์ มัลวีย์ไม่เหมือนกับเธอเพราะความสามารถในการหลอมอาวุธของเขานั้นต้องผสมเลือดของตัวเขาเองเข้าไปด้วย ดังนั้นขณะที่เขายังหาความสามารถในการปกป้องตนเองโดยแท้จริงไม่เจอ จึงไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้อื่น เธอพิจารณาดูก็แล้วกันนะ เธอคือสมาชิกในทีมเราแถมยังเคยช่วยรักษาร่างกายของไป๋อี้ด้วย เธอเป็นประจักษ์พยานในการเจาะรังไหมออกมาเป็นผีเสื้อของไป๋อี้ นี่หากไม่เป็นเพราะเขาเชื่อใจเธอแล้วจะให้เธอออกไปได้อย่างไร” เวร่าอธิบาย
“แต่ว่าจีฮั่วชิงก็มีความรู้เยอะมากนะคะ”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน สิ่งที่จีฮั่วชิงรู้นั้นเป็นเพียงเปลือกนอก ล้วนเป็นข้อมูลของทีมเพียงน้อยนิดที่เขารู้ตอนที่ยังไม่มีการป้องกันในตอนแรกเท่านั้นเอง” เวร่ายังอยากจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมทว่าเธอเห็นว่าไป๋อี้กำลังเดินเข้ามาจากด้านข้าง
“ไป๋อี้มาแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องคุยกับเธอ” เวร่าตบไปที่ไหล่ของแนนซี่จากนั้นจึงหันตัวเดินออกไปอีกทางหนึ่ง
เมื่อไป๋อี้เห็นเวร่าเดินออกไปแล้วเขาจึงเดินเข้ามา จากนั้นก็พูดกับแนนซี่ “อยากจะไปเดินเล่นกับฉันหน่อยไหม” แต่ทว่าไป๋อี้ไม่ได้รอคอยคำตอบของแนนซี่แต่อย่างใด เขาเดินออกไปตามความต้องการของตนเองในทันที เมื่อแนนซี่เห็นการกระทำของไป๋อี้พร้อมกับนึกทบทวนคำพูดของเวร่าเมื่อสักครู่นี้แล้วจึงได้เดินตามไป๋อี้ไปในทันที
ไม่นานทั้งสองคนก็ได้เดินเรียบอยู่บนระเบียงทางเดินของตึก และพวกเขาก็เดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงดาดฟ้าชั้นบนสุดของโรงพยาบาล ต้นไม้ใหญ่สูงร้อยกว่าเมตรต้นหนึ่งเจริญเติบโตมาจนถึงดาดฟ้าซึ่งมองดูแล้วมีความเขียวขจีมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
“แนนซี่ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับองค์ประกอบแบบนี้ของทีม?”
“องค์ประกอบแบบนี้ของทีมเหรอ?” แนนซี่มีความฉงนใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าไป๋อี้จะถามคำถามที่แปลกประหลาดเช่นนี้ออกมาเป็นอันดับแรก
“ถูกต้อง องค์ประกอบแบบนี้ของทีม ปฏิเสธไม่ได้ว่าทีมเราได้ก่อตั้งมาเป็นกลุ่มขนาดเล็กภายในสภาพแวดล้อมอันพิเศษของนิวซีแลนด์ ปกติแล้วหัวหน้าทีมจะมีสิทธิ์โดยชอบธรรม แต่หลังจากที่นิวซีแลนด์มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว กลุ่มที่มีโครงสร้างเล็ก ๆ แบบนี้ก็จะต้องแยกกันอยู่กระจัดกระจายออกไปเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน เพราะนี่คือกฎพื้นฐานที่สุดของการพัฒนาสังคม ต่อให้นิวซีแลนด์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม แต่พวกเราออกสู่โลกภายนอกแล้วนะ เราจะยังคงเกาะกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อยู่อย่างนี้เหรอ อย่างนั้นมันก็ไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของโครงสร้างทางสังคมเลย” ไป๋อี้ส่ายหน้า
“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาฉันเห็นพวกคุณเป็นเพื่อนฉันทั้งหมด และพวกคุณไม่เพียงแต่เป็นสมาชิกในทีมอย่างเดียวเท่านั้นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรามันไม่ควรที่จะเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบสมาชิกในทีมที่แข็งทื่อธรรมดา ๆ เท่านั้น” ไป๋อี้มองหน้าแนนซี่พร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นบนใบหน้า
“ดังนั้นไม่ต้องยึดติดกับการอยู่กับทุกคนตลอดเวลา”
“พูดตามความจริงนะ คุณมีพรสวรรค์มาก ทั้งยังเป็นพรสวรรค์ด้านของหมอปรุงยา แต่ว่าพื้นฐานของคุณนั้นแย่มาก ดังนั้นคุณออกไปเรียนรู้เถอะนะ พร้อมทั้งขวนขวายให้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นแล้วกลายมาเป็นหมอปรุงยาที่แท้จริงให้ได้!” ไป๋อี้กล่าวกับแนนซี่พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยการให้กำลังใจ
แนนซี่มองไป๋อี้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้หน้าตาของไป๋อี้มีลักษณะแปลกประหลาดเป็นอย่างมากแต่แนนซี่กลับรู้สึกประทับใจอยู่ลึก ๆ หลังจากที่เธอก้มหน้าครุ่นคิดเงียบ ๆ สักครู่หนึ่ง แนนซี่จึงพยักหน้ารับ
……
ไม่นานศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพระยะดุร้ายก็ถือว่าได้อยู่ในสถานะที่มั่นคงแล้ว กิจกรรมปกติในทุกวันของไป๋อี้นอกจากจะเข้าไปช่วยเหลือคนสองสามคนนั้นโดยการใช้ม่านตาบุษบาผกผันสะกดจิตเป็นประจำแล้ว เวลาอื่น ๆ ของเขาได้หมดไปกับการทำความคุ้นชินต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายรวมถึงการศึกษาความรู้เพิ่มเติมด้วย นับตั้งแต่ตอนแรกที่นิวซีแลนด์เกิดการเปลี่ยนแปลงจนถึงปัจจุบันนี้ก็ถือว่าผ่านมาเป็นเวลาเกือบจะ 2 ปีแล้ว พวกไป๋อี้กำลังดื่มด่ำกับการใช้ชีวิตอันเงียบสงบในตอนนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฟื้นฟูบำรุงร่างกายไปพลาง ๆ อย่างเหมาะเจาะ และพวกเขาได้เริ่มสรุปความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาประกอบกับสะสมศักยภาพความสามารถของตัวเองไปด้วย
ดังนั้นไป๋อี้จึงไม่ต้องการให้วูล์ฟและคนอื่น ๆ ออกไปสู้รบกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อีกต่อไปแล้ว แต่ให้พวกเขาอาศัยอยู่ ณ ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแห่งนี้แทน
ในครานี้ราวกับว่าภายในหัวสมองของไป๋อี้มีน้ำอันใสหยดลงมาในจิตใจของเขา สีหน้าท่าทางของไป๋อี้ฟื้นกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิมในทันที จากนั้นเขาได้กวาดสายตาออกจากตัวหนังสือพร้อมทั้งปิดตาทั้งสองข้างลง ผลปรากฏว่าข้อมูลที่เขาเพิ่งอ่านเมื่อสักครู่นี้ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาภายในหัวของไป๋อี้ทุกเรื่อง ขณะนี้ไป๋อี้สามารถเข้าใจเนื้อหาความรู้ทุกเรื่องได้อย่างถ่องแท้แล้ว
การมุ่งมั่นตั้งใจ 100 เปอร์เซ็นต์!
ไป๋อี้ได้ทำการสะกดจิตตัวเองอยู่ในใจตามคำแนะนำของไนท์และบีบบังคับให้ตนเองเข้าสู่สภาวะเช่นนี้ ซึ่งภายใต้สภาวะเช่นนี้ ความเร็วในการเรียนรู้ของไป๋อี้ได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าจากเมื่อก่อน ในเวลานี้ไป๋อี้จึงรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา ดูเหมือนว่าเวลาปกติที่มนุษย์ใช้ในการเรียนนั้นเป็นเวลาที่น้อยมากจริง ๆ คาดว่าเวลาส่วนมากพวกเขาคงใช้หมดไปกับการเหม่อลอยเป็นแน่
เวลาของไป๋อี้ในตอนนี้ได้มีการจัดวางแผนการอัดแน่นไปหมด หลังจากที่เขานึกหวนกลับไปพิจารณาดูแล้วนั้น ไป๋อี้ก็ได้หันหน้ามองออกไปภายนอกหน้าต่าง พร้อมทั้งครุ่นคิดว่าเขาควรที่จะหาโอกาสในการทำให้คนที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นรู้ถึง ‘ขีดจำกัดอันแท้จริง’ ของสายตาคู่นี้ของเขาเสียแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องการโอกาสที่เหมาะสม ไป๋อี้หวังว่าจะเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติไม่ใช่มีคนสรรสร้างขึ้นมาเอง มิเช่นนั้นจะทิ้งร่องรอยที่หนักหนาเอาการ