[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 158 งานผมยุ่งมาก
การนอนหลับของมนุษย์เป็นสภาวะที่มหัศจรรย์มาก ๆ มาโดยตลอด แม้แต่ในสังคมธรรมดาก็สามารถแบ่งการนอนหลับออกได้เป็นหลายประเภท การนอนหลับลึก หลับสนิทโดยไม่ฝัน ในทฤษฎีเต๋าบางทฤษฎีมีสภาวะของการทำสมาธิที่มากกว่านั้นอีก สภาวะทารกในครรภ์และความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ในความเป็นจริงนั่นก็เป็นสภาวะของการนอนหลับเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถทำได้ ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนในระยะยาวและจังหวะที่เหมาะสม ดังนั้นในหนังสือโบราณจึงอธิบายว่าสภาวะเหล่านี้เป็นความโชคดีในความบังเอิญ และสิ่งนี้ยังเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาคนคนหนึ่ง
ไป๋อี้ให้คนทั้งห้าเข้ามา ทุกคนหลับสนิทไร้ความฝันซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นสภาวะการนอนหลับที่ดีที่สุดที่มนุษย์ทั่วไปสามารถบรรลุได้ จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การนอนหลับโดยปราศจากความฝันนั้นคนเราต้องการเพียง 1 ชั่วโมงต่อวันเพื่อฟื้นฟูพลังงานทั้งหมด อีกทั้งยังมีคุณภาพสูงกว่าการนอนหลับมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันเสียอีก
ภายใต้การสะกดจิตของไป๋อี้ ร่างกายและจิตวิญญาณของคนทั้งห้าคนจะสอดประสานกันอย่างรวดเร็ว นี่คือการปรับตัวซึ่งเป็นการปรับตัวขั้นสูงที่ดีกว่าการหลั่งของสารภายในร่างกายเสียอีก สิ่งที่ไป๋อี้ทำไม่เพียงแต่ปรับให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สามารถเข้าสู่สภาพแวดล้อมดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับทุกคนในการเข้าถึงมันอีกด้วย
ในวันแรก ผู้ที่อยู่ในระยะดุร้ายถูกสะกดจิตจนหลับไปกว่า 9 ชั่วโมง ผู้ที่อยู่ในระยะดุร้ายทั้งสองคนที่รับ น้ำยาสงบจิตใจ Clear Heart นอนหลับไป 10 ชั่วโมง สองคนที่รับน้ำยาบำรุงจิตวิญญาณ FostSoul นอนหลับเป็นเวลา 17 ชั่วโมง หลังจากที่เกือบทุกคนตื่นนอนพวกเขาต้องพักผ่อนอีกเล็กน้อยและในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ต้องการอาหารและสารอาหารจำนวนมาก
“ทำไมมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้?”
“ฉันเคยบอกไปแล้วว่าน้ำยาสงบจิตใจ Clear Heart เป็นเพียงการทำให้ผู้คนเข้าสู่การนอนหลับที่เงียบสงบ ไม่ได้มีสรรพคุณทางยาที่เปรียบกับการสะกดจิตของไป๋อี้ ดังนั้นถึงคุณจะกินยาของคุณมันก็เป็นเหมือนแค่ไอซิ่งบนหน้าเค้ก คุณเป็นหมอคุณต้องรู้จักการปรับตัวอย่างอัตโนมัติของร่างกายในระหว่างการนอนหลับ น้ำยาบำรุงจิตวิญญาณ FostSoul คือสิ่งที่ปัจจุบันนี้พวกเขาต้องการมากที่สุดในสภาวะการนอนหลับ” แนนซี่พูดเบา ๆ
“อย่างไรก็ตามตอนนี้นอกเหนือจากดอกไม้มรณะแล้วยังไม่พบพืชชนิดอื่นใดที่สามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณได้” ลูเซียยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้แล้วในตอนนี้
“นั่นคือปัญหาของคุณ เปิดลงทะเบียนรับคนทำภารกิจนี้สิ ทีมที่หาพรรณพืชชนิดใหม่ที่มีสรรพคุณในการบำรุงจิตวิญญาณได้ ทีมนั้นสามารถเลือกคนมาห้าคนเพื่อมาหาผมได้ฟรีในหนึ่งเดือน” ไป๋อี้กล่าว
“คนอื่น ๆ ยังไม่ตกอยู่ในสภาวะดุร้าย จะมาหาคุณเพื่อทำการฟื้นบำรุงอะไรล่ะ?” ชายคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ลูเซียกล่าว
“ให้รัฐมนตรีบอกคุณเถอะ ว่าอะไรที่เรียกว่าการบำรุงรักษา!” ไป๋อี้โบกมือโดยไม่สนใจความเป็นปรปักษ์ของชายคนนั้น
“การบำรุงสุขภาพ หมายถึงกิจวัตรประจำวันที่ใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อรักษาชีวิตและเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายเพื่อให้มีอายุยืนยาว ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องป่วยก่อนจึงจะสามารถรักษาสุขภาพได้ การบำรุงสุขภาพให้เป็นปกติเป็นสิ่งสำคัญมาก ในความเป็นจริงเราทุกคนอยู่ในระยะดุร้ายร่างกายและจิตวิญญาณอยู่ในระหว่างการกระทบกระทั่งกัน การที่เราไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะดุร้ายไม่ได้หมายความว่าร่างกายของเราจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่พวกเราทุกคนกลับมีอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในเป็นอย่างมาก การมาหาหัวหน้าไป๋อี้เพื่อฟื้นบำรุงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ข้างในอย่างไม่ต้องสงสัย” ลูเซียอธิบายอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่ชายที่อยู่ข้างหลังเธอ ปกติเขาไม่ควรแสดงท่าทีที่เป็นศัตรูแบบนี้ …… !
……
เป็นเวลาห้าวันติดต่อกันที่ไป๋อี้ได้ใช้ม่านตาบุษบาผกผันกับคนทั้งห้า อันที่จริงสิ่งที่ไป๋อี้ทำคือทำให้คนทั้งห้าเข้าสู่ห้วงนิทราโดยปราศจากความฝัน จากนั้นก็ทำให้ร่างกายและวิญญาณสอดประสานกัน
ห้าวันต่อมาผู้ที่เข้าสู่ระยะดุร้ายทั้งสองที่ใช้น้ำยาบำรุงจิตวิญญาณ Fost Soul สามารถพูดคุยอย่างมีสติสัมปชัญญะได้เป็นครั้งแรก แม้ว่าสถานะจะยังไม่มั่นคงนัก
แปดวันต่อมา ไป๋อี้ประกาศว่าคนทั้งสองสามารถควบคุมพฤติกรรมของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับมนุษย์วิวัฒนาการคนอื่น ๆ แม้หลังจากการบำรุงรักษาของไป๋อี้ สภาพของพวกเขาจะดีกว่ามนุษย์วิวัฒนาการหลายคนเสียอีกก็ตาม แต่ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้รับการกระตุ้นมากเกินไปพวกเขาก็จะไม่เข้าสู่สภาวะดุร้ายโดยง่ายอีก
ขณะที่ไป๋อี้กำลังจะหยุดพักสองวัน ทันใดนั้นเขาก็ได้รับคำเชิญจากกระทรวงกลาโหมฟรอยแลนซ์
หลังจากไป๋อี้ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งเขาก็ไปตามที่ฟรอยแลนซ์นัดแนะ หลังจากกล่าวชมเชยแล้วเขาก็ได้รับทราบถึงคำขอของฟรอยแลนซ์ …… ให้รักษาคนของเขาก่อน ในกระทรวงกลาโหมมีการคุมขังเพื่อนสนิทมิตรสหายเก่าของฟรอยแลนซ์ไว้ สถานการณ์สภาวะดุร้ายในตอนนี้ไม่เหมือนกับมนุษย์วิวัฒนาการธรรมดาในคุกไครสต์เชิร์ช แต่เป็นมนุษย์วิวัฒนาการที่ทรงพลังอย่างแท้จริง เพียงแค่ไป๋อี้ปราดตาดูครั้งเดียวก็ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ไม่ได้อ่อนแอ
“คณบดีไป๋อี้ กรุณารักษาสองคนนี้ก่อนด้วยเถอะ” ฟรอยแลนซ์กล่าว
“ขอผมคิดเรื่องนี้ดูก่อน แล้วผมจะตอบคำถามนี้ในภายหลัง” ไป๋อี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
รัฐมนตรีคนอื่น ๆ ไม่ได้เผยพฤติกรรมความเคลื่อนไหวออกมาอย่างรีบร้อน แต่พวกเขาก็รู้คำตอบของไป๋อี้หลังจากที่ไป๋อี้ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้ดี
อย่างไรก็ตามก่อนที่ไป๋อี้จะตอบคำถามนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่างไม่รู้ว่าโลกภายนอกได้รับรู้เกี่ยวกับการฟื้นคืนสติของคนอื่นได้อย่างไร แม้ว่าจะเป็นเพียงสองคน แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการรักษาของไป๋อี้ได้ผลและทำให้พวกเขามีความหวังมากขึ้น ในฐานะตัวเอกอย่างไป๋อี้ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างเสาะแสวงหาตัวตอนนี้ในนิวซีแลนด์ไม่มีอะไรน่ากังวลไปกว่าการตกอยู่ในสภาวะดุร้ายอีกแล้ว
ฝูงชนที่ตื่นเต้นบังคับให้รัฐมนตรีทั้งหลายจัดงานแถลงข่าวร่วมกับไป๋อี้
อย่างไรก็ตามไป๋อี้บอกกับทุกคนในงานแถลงข่าวว่ามันไม่ใช่ข่าวดีอะไรมากนัก หากทุกคนอาศัยเพียงการรักษาฟื้นฟูของเขา ระดับความเร็วในการเกิดผลจะช้ามาก ถ้าอยากให้เกิดผลโดยเร็วและได้ผลจริงต้องใช้ยาบำรุงจิตวิญญาณด้วย แต่น่าเสียดายที่ในมือของแนนซี่มี ยาบำรุงจิตวิญญาณ Fost Soul ไม่ถึง 100 ชิ้น ใน 8 วันที่ผ่านมา สองคนนั้นแยกใช้ 2 เทคนิคนี้
“ยาบำรุงจิตวิญญาณคืออะไร” ตัวแทนของคนในที่นั้นถามขึ้น นี่ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติหากทุกคนเบียดเสียดยัดเยียดกันเข้ามา สถานที่แถลงข่าวตรงนี้คงไม่สามารถรับรองได้ไหว ในโลกธรรมดาไม่มีการแถลงข่าวคราวใด ๆ พวกเขาทั้งหมดเป็นคนจากโลกธรรมดาและพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ “FostSoul! ยาบำรุงจากดอกไม้มรณะแห่งเมืองผีแห่งเวลลิงตัน เราเรียกมันว่าน้ำยาบำรุงจิตวิญญาณ มีสรรพคุณในการทำให้จิตวิญญาณอบอุ่นและซ่อมแซมความเสียหายของจิตวิญญาณ” ไป๋อี้อธิบาย
“ดอกไม้มรณะ พืชที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองผีเวลลิงตันอันเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นพืชที่ดูดซับการเติบโตมาจากจิตวิญญาณ ตอนนี้ผมบอกพวกคุณได้เลยว่านี่เป็นเรื่องจริง” ไป๋อี้กล่าว “ดังนั้นพืชที่ให้ความอบอุ่นแก่จิตวิญญาณอาจไม่สามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมธรรมดา ๆ ยังต้องการคนอีกมากออกตามหา” ไป๋อี้กล่าวเสริม
“ต้องการคนอีกมากในการออกตามหาหมายความว่าอย่างไร?”
“ทีมที่ค้นพบพืชที่ช่วยบำรุงจิตวิญญาณชนิดใหม่ สามารถส่งคน 5 คนมารักษากับผมได้ฟรีภายในหนึ่งเดือน” ไป๋อี้ยกนิ้วขึ้น
“ที่บอกว่าฟรี หมายความว่าศูนย์ฟื้นฟูสภาวะดุร้ายจำเป็นต้องมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรือ?”
“แน่นอน มิฉะนั้นทุกคนจะเข้ามาหาผมและผมคงจะยุ่งเกินไป สำหรับเงื่อนไขเฉพาะนั้น” ไป๋อี้พูดก่อนจะหยุดชั่วคราว
“ผมจะรักษาผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะดุร้ายก่อน ลำดับการเลือกขึ้นอยู่กับผม แน่นอนว่าเนื่องจากการมีส่วนร่วมของรัฐมนตรีทั้งห้าคนที่มีต่อไครสต์เชิร์ช พวกเขาแต่ละคนมีโควต้าคงที่ 3 ครั้ง และใครก็ตามที่มาหาผมเพื่อรับการรักษา ผมจะรักษาคน 15 คนนี้ก่อน นอกจากนี้สำหรับมนุษย์วิวัฒนาการที่ไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะดุร้ายที่รุนแรง ตอนนี้ยังมีจุดสำหรับการก่อสร้างเมืองในไครสต์เชิร์ชอีก สำหรับพวกเขาจุดหนึ่งสามารถแลกเป็นโอกาสในการรักษาฟื้นฟูกับผมได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต้องเข้าคิวและที่นี่ผมทำการรักษาฟื้นฟูโดยจำกัดจำนวนครั้งต่อวัน” ไป๋อี้กล่าว
“ในเมื่อคณบดีไป๋อี้เป็นคนเลือกด้วยตนเอง ถ้าเช่นนั้นการควบคุมก็อยู่ในอำนาจคุณคนเดียวไม่ใช่เหรอ”
ตัวแทนที่พูดขึ้นมาคนนี้โง่หรือเปล่า เขารู้อย่างชัดเจนว่ามีเพียงไป๋อี้เท่านั้นที่มีพลังม่านตาบุษบาผกผัน ยังจะถามคำถามนี้อีก แม้แต่ในโลกของคนธรรมดาก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายุติธรรมอย่างแน่นอน ไป๋อี้หยุดเหลือบมองคน ๆ นี้เล็กน้อยแล้วส่งยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ใช่ มันอยู่ในความควบคุมของผม” ไป๋อี้พยักหน้าให้กับความคาดหวังของทุกคน “คนที่ตกอยู่ในสภาวะดุร้ายผมจะเลือกด้วยตัวเอง มนุษย์วิวัฒนาการธรรมดาสามารถใช้คะแนนและเข้าคิวอย่างอิสระในเวลาเดียวกัน คุณมีความคิดเห็นอะไรหรือไม่?” ไป๋อี้พูดพลางมองลงไปที่ทุกคนจากบนเวทีด้วยท่าทีที่เหมือนจจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมา
“คุณเป็นเผด็จการ!”
“คุณหมดสิทธิ์!” ไป๋อี้พูดอย่างไม่แยแส
“คุณ ……!” ตัวแทนคนนั้นพูดไม่ออก “ผมไม่เชื่อว่าหากปราศจากการรักษาและการฟื้นฟูจากคุณเราจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป” ตัวแทนกล่าวด้วยความโกรธขณะที่มองไปที่รัฐมนตรีทั้งห้าอย่างเงียบ ๆ แน่นอนว่ามีคนยุยงส่งเสริมอยู่ เขาต้องการลิดรอนชื่อเสียงของไป๋อี้ด้วยวิธีนี้
“ไม่เป็นไร ผมก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อมีคนน้อยลง” ไป๋อี้โบกมืออย่างไม่แยแสจากนั้นก็หันกลับมาปล่อยให้ทุกคนที่อยู่ด้านหลังใจเย็นลง
การกระทำของไป๋อี้ทำให้รัฐมนตรีเหล่านี้ยิ่งงงงวยขึ้นไปอีก ไป๋อี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและไม่ต้องการพึ่งพาการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่เพื่อให้กลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของไครสต์เชิร์ชหรือ?
ในตอนนี้ไป๋อี้ยิ้มกริ่มอยู่ในใจแม้ว่าเขาจะบอกว่าเขาจะเป็นคนเลือกเอง แต่ไป๋อี้ก็เชื่อมั่นในตนเองว่าเขาจะเลือกอย่างยุติธรรม แน่นอนว่าถ้าคุณมีเพื่อนที่คุณรู้จักคุณจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษอย่างแน่นอน นี่คือธรรมชาติของมนุษย์และความยุติธรรมที่แท้จริงไม่มีอยู่ในโลก
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกสะอิดสะเอียนใจจริง ๆ แม้ว่าจะรู้มานานแล้วว่าจะต้องเผชิญกับความยากลำบากจากกองกำลังต่าง ๆ แต่การได้เห็นแผนการเหล่านี้มันทำให้รู้สึกอึดอัดจริง ๆ
ตอนนี้ไป๋อี้ยังโชคดี โชคดีที่พวกเขาไม่ได้มาที่ไครสต์เชิร์ชเพื่อแย่งชิงอำนาจ
……
เผด็จการอย่างนั้นหรือ?
หนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ในไครสต์เชิร์ชรายงานสิ่งที่ไป๋อี้พูดในงานแถลงข่าวอย่างรวดเร็วและตัวแทนคนนั้นที่น่าสงสารก็กลายเป็นคนที่โดดเด่นขึ้นมาทันที ต้องบอกว่าคนส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็นเพียงคนโง่ที่ต้องการความเหมาะสม ในไม่ช้าชื่อเสียงของไป๋อี้ก็ลดน้อยถอยลงอย่างรวดเร็ว หลายคนถึงกับพูดเสียงดังว่าพวกเขาอยากจะอยู่แบบนี้มากกว่าที่จะไปที่ศูนย์ฟื้นฟูของไป๋อี้เพื่อรับการรักษา
มิตรสหาย พวกคุณถอดใจที่จะรักษาแล้วหรือ!
“ทำไมคุณทำแบบนี้ คุณก็รู้ดีว่ายังมีวิธีที่ดีกว่านี้?” เวร่าถามไป๋อี้หลังจากเหตุการณ์นั้น
“คุณรู้ไหมว่าทุกวันผมต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเรียนรู้ความรู้ทางชีววิทยา ผมใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำความคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองและผมใช้เวลาเท่าไรในการทำความคุ้นเคยกับทักษะการต่อสู้ ตราบใดที่พวกเขาไม่เข้าสู่สภาวะดุร้าย คนที่มาหาผมก็จะยิ่งน้อยยิ่งดี ผมมีงานยุ่งมากจริง ๆ!” ไป๋อี้พูด
อย่างนี้เองเหรอ?
เวร่ามองไปที่ด้านหลังของไป๋อี้ที่เดินจากไป จริงสิ ไม่ใช่ว่าไนท์ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ก่อนที่จะมาที่นี่แล้วหรอกเหรอ ปล่อยวางอำนาจที่ทางกลุ่มสังคมมอบให้ และมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของตัวเอง
หลายคนคิดว่าชื่อเสียงของไป๋อี้จะค่อย ๆ ลดลงในลักษณะนี้ จนกระทั่งกลุ่มมนุษย์วิวัฒนาการที่เข้าใจไป๋อี้และมาหาเขาด้วยตนเองเพื่อรักษาฟื้นฟู……!