[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 151 เมื่อพบกัน
ในไม่ช้าคนข้างหลังก็ตามมา ความเร็วของพวกเขาไม่ได้ชะลอลงมากนัก เมื่อพวกเขาตามมาถึงจึงได้เห็นว่าไป๋อี้กำลังตรวจสอบร่องรอยการต่อสู้บริเวณนี้อยู่ ทุกคนมองตามไป จากนั้นก็สามารถมองสถานการณ์ออกอย่างรวดเร็วว่าที่แห่งนี้มีคนสองคนถูกฆ่าและถูกกินไปแล้ว โดยมีอาวุธและอุปกรณ์ของพวกเขาตกกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
“นี่มัน?”
“พวกเขาคงพบเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่เกิดการวิวัฒนาการเข้า คนกลุ่มนี้ช่างโชคไม่ดีเอาเสียเลย” ไป๋อี้พูดหยอกล้อ จะว่าอย่างไรดีล่ะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นศัตรูกับคนปกติที่มาจากข้างนอก แต่เมื่อคิดว่าหลายประเทศภายนอกนั้นไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงในนิวซีแลนด์เลย ไป๋อี้ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงคนปกติพวกนั้นแล้ว ไป๋อี้มีทัศนคติที่ไม่ดีนักกับกลุ่มคนประเภทนี้ที่เข้ามารนหาความตายด้วยตัวเองแท้ ๆ
“ขึ้นไปดูกันดีกว่าว่าคนกลุ่มนี้หลบหนีไปแล้วหรือยัง” ไป๋อี้พูดพร้อมกับบอกใบ้ให้ชาร์ไป่เป็นผู้นำทางไป
พวกเขาเดินตามชาร์ไป่ไปและค่อย ๆ ก้าวตรงไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้แตกตื่นกันไปหมด ต่อมาก็ได้เห็นสถานที่เกิดเหตุของการทำลายล้างครั้งใหญ่หลายแห่ง ถัดจากนั้นไปอีกก็ไม่เห็นมีอะไรแล้ว คาดว่าบางคนที่อับจนหนทางคงใช้ลูกระเบิดจุดชนวนเพื่อระเบิดตัวเอง ไป๋อี้และพวกอีกสองสามคนตรวจสอบขอบเขตของการระเบิดจนพบเศษชิ้นเนื้อเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกกินโดยสิ่งมีชีวิตอื่นไปหมดแล้ว
ชาร์ไป่พาพวกเขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ พวกเขาเดินมากว่าครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นจึงได้หยุดลง ทุกคนรู้ดีว่าคนกลุ่มนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ จากการสังเกตดูแล้วนับว่าคนกลุ่มนี้เองก็เข้าใจถึงภัยอันตรายของนิวซีแลนด์ในตอนนี้เป็นอย่างดี ในโลกธรรมดาภายนอกคนอย่างพวกเขาอาจจะสามารถเอาชนะสิ่งที่เป็นอันตรายได้เป็นสิบ แต่การวิ่งไปรอบ ๆ เกาะปีศาจนิวซีแลนด์ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นเป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น
ไป๋อี้เดินไปยืนข้าง ๆ ชาร์ไป่พลางมองไปยังบริเวณหุบเขาตรงหน้า จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างช้า ๆ
………………
เวลานี้ในบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่งภายในหุบเขา มีกลุ่มคนห้าคนกำลังพันบาดแผลกันอย่างเงียบ ๆ อีกทั้งยังมีชายชราคนหนึ่งที่กำลังถืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ขยับไปมา ซึ่งบ้านหลังนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพรรณไม้มานานแล้ว หากพวกเขาพบเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่เกิดการวิวัฒนาการจริง ๆ ล่ะก็ คาดว่าพวกเขาคงจะมีศักยภาพและพละกำลังในการป้องกันตนไม่มากนัก แต่ทว่ามนุษย์นั้นก็ช่างแปลกประหลาด ถึงแม้ว่าจะรู้ดีในจุดนี้ แต่ก็ยังใช้สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกระดองเต่าที่ไม่มีการป้องกันโดยที่พวกเขาได้แต่หดตัวเข้าไปข้างในอย่างสิ้นหวัง
“ให้ตายเถอะ ฉันก็รู้ว่าการมาสถานที่แห่งนี้ก็เท่ากับการส่งมาตาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเบอร์ 7 ใช้ลูกระเบิดจุดชนวนระเบิดตัวเองล่ะก็ คาดว่าพวกเราคงจะถูกกินไปหมดแล้ว” ทหารหน่วยรบพิเศษนายหนึ่งที่ใช้สีพรางตัวตามใบหน้าของเขามีสีหน้าแววตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกและจิตวิญญาณ ที่จริงแล้วพวกเขานับว่าผ่านประสบการณ์การต่อสู้จากโลกภายนอกมาอย่างโชกโชน แต่ทว่าระบบนิเวศในเกาะปีศาจแห่งนี้นั้นคงจะเกินความรู้ความเข้าใจโดยทั่วไปของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” หัวหน้าที่ดูเหมือนจะเป็นกัปตันทีมไม่ได้กล่าวตำหนิแต่อย่างใด เขาเพียงแค่พูดปลอบใจให้คลายกังวลเท่านั้น
“ขอโทษนะ เป็นผมเองที่ลากพวกคุณมา ผมถูกฝ่ายศัตรูพามาที่นี่แล้วยังทำให้พวกคุณอาจจะต้องมาตายเปล่าอีก” ชายชราที่กำลังถืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ขยับไปมาคนนั้นกล่าวขึ้นพลางม้วนเคราของเขาไปมา
“อย่างไรก็ตาม พวกคุณก็ถูกส่งมาที่นี่เหมือนกัน เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ว่าทหารทั้งหลายไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชน เบื้องบนสั่งให้คุณทำอะไรคุณก็ต้องทำหรืออาจจะเป็นเพราะว่าคุณขัดใจใครบางคนในกองทัพจนเกิดความขุ่นเคืองจากนั้นก็เลยถูกส่งมาที่นี่ด้วยกัน ระหว่างทางมาที่นี่ ผมดูท่าทางของพวกคุณแล้วก็คงไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่สินะ” เรื่องราวในครึ่งแรกนั้นชายชราคนนี้นับว่าช่วยทำให้คนอื่นรู้สึกคลายกังวลลงบ้าง แต่เรื่องที่พูดต่อจากนี้แทบทำให้ทหารหน่วยพิเศษสองสามนายพูดไม่ออกเลยทีเดียว
อะไรที่เรียกว่าทำให้ขัดใจจนเกิดความขุ่นเคือง แม่มันเถอะ ตาเฒ่าคนนี้แหละที่ขัดข้องใจเป็นที่สุด
ทันใดนั้นก็มีบางคนรู้สึกอยากก่นด่าเขา เห็นได้ชัดว่าการคาดเดาของชายชราผู้นี้ไม่ผิดแน่ กล่าวโดยสรุปคือคนที่อยู่ที่นี่ จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีต่อกันนัก การถูกพามาโยนทิ้งไว้ที่นี่ถึงจะเรียกว่าเป็นการปฏิบัติภารกิจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็คือการส่งมาตายโดยสิ้นเชิง หนึ่งในคนที่โมโหที่สุดลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาทั้งสองเป็นประกายไปด้วยความเดือดดาล
“นั่งลง!” กัปตันทีมคนนั้นยืนขึ้นทันทีและจับสมาชิกทีมเอาไว้
“ดร.จี คุณพูดให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ ไม่ว่ายังไงซะระหว่างทางมาที่นี่พวกเราก็ทำเพื่อปกป้องคุณนะ!” กัปตันทีมพูดกับชายชราคนนั้นอีกครั้ง
“หึ หรือว่าผมพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ” ชายชราที่ชื่อ ดร.จี ยิ้มอย่างเย้ยหยันเล็กน้อย จากนั้นจึงถอดเข็มน้ำยาสีแดงอ่อนออกจากเครื่องมือ
“เสร็จแล้ว เลือกสิ!” ตั้งแต่ต้นจนจบแม้ว่าดร.จีคนนี้จะกำลังพูดอยู่แต่การเคลื่อนไหวในมือของเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่งแต่อย่างใด ในตอนนี้สีหน้าท่าทางของเขาดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
“เลือกอะไร?”
“นี่ไง!” แสดงท่าทางบอกใบ้ถึงสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ “นี่คือเซรั่มต้นแบบที่สกัดออกมาจากสิ่งมีชีวิตที่เกิดการวิวัฒนาการที่มันไล่ล่าพวกเรา ในเซรั่มชนิดนี้มีเซลล์ดัดแปลงอยู่ ถึงแม้ว่าระดับ LV ของเซลล์ดัดแปลงจะไม่ใช่ LV9 ซึ่งคือระดับสูงสุด แต่ผมมองดูแล้วว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ตัวที่อ่อนแอ คาดว่าระดับของเซลล์ดัดแปลงในนี้คงจะไม่ต่ำมากหลังจากหลอมรวมเข้าด้วยกัน แม้ว่าพวกคุณจะพัฒนาล่าช้ากว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เกือบสองปี แต่ว่าถ้าหากโชคดีพอล่ะก็ไม่แน่นะว่าอาจจะมีชีวิตรอดได้”
“อะไรนะ?” เห็นได้ชัดว่าทหารหน่วยรบพิเศษทั้งห้ายังคงฟังไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง
“การหลอมรวมเซลล์ดัดแปลงไง ทำไม พวกคุณยังไม่เข้าใจกันหรือไง”
“ตาเฒ่า ล้อเล่นอะไรอยู่เนี่ย ใครจะอยากกลายเป็นสัตว์ประหลาดขี้เหร่แบบนั้นกัน” หลังจากที่หนึ่งในนั้นเข้าใจสิ่งที่เขาพูด คนผู้นั้นก็สบถด่าอย่างหุนหันพลันแล่น
“เขาไม่ได้ล้อเล่น!” ทันใดนั้นก็มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากที่ไกล ๆ ทางด้านนอก
สมกับเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงของคนแปลกหน้า ทุกคนก็หยิบอาวุธขึ้นมาอย่างฉับพลัน หนึ่งในนั้นกระแทกปืนโดยตรงและมีเสียงกระสุนพุ่งออกไปที่ประตู หลังสิ้นเสียงกระสุน คนผู้นี้ถึงได้รู้สึกตกใจและค่อนข้างประหม่า แม้ว่ามันจะเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย แต่อย่างไรก็นับว่านั่นยังเป็นภาษามนุษย์ ทำไมเขาถึงลั่นไกยิงออกไปได้ แต่วินาทีต่อมาทุกคนในบ้านก็ต้องตะลึง
ไป๋อี้ยื่นมือขวาออกไปและคว้าหมับเข้าที่ลูกกระสุนดังกล่าว
การพุ่งเข้าใส่ของวิถีกระสุนหยุดลงที่ฝ่ามือของไป๋อี้ แรงโจมตีของลูกกระสุนนั้นไร้ผล เพียงแค่ว่าโดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์นั้นเปราะบางเกินไปดังนั้นมันจึงสามารถเจาะทะลุผ่านได้โดยง่ายก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ร่างกายของไป๋อี้ต่างออกไป แม้ว่าจะไม่สามารถดูออกได้จากภายนอก แต่ระดับความแข็งแกร่งของเขานั้นเกินความเข้าใจของคนทั่วไปไปแล้ว ทันทีที่กระสุนสัมผัสกับฝ่ามือของไป๋อี้มันก็ชนเข้ากับบางสิ่งที่เหมือนเส้นใยตาข่ายที่ผิวหนังของเขา ถึงแม้ว่าจะได้รับแรงโจมตีเล็กน้อย แต่ในชั่วพริบตาเดียวดูเหมือนว่าเส้นใยตาข่ายทั้งหมดนั้นจะรับแรงกระทบนี้เอาไว้ด้วยร่างกายทั้งหมด ผลกระทบเหล่านั้นกระจายไปทั่วร่างกายซึ่งทำให้แรงปะทะนั้นส่งผลต่อไป๋อี้น้อยมาก
“นี่มันไม่ใช่วิธีการต้อนรับแขกนะ” ไป๋อี้กล่าวอย่างติดตลก
มนุษย์!
แม้ว่าไป๋อี้จะมีขนปุยที่มีลวดลายหลากสีอยู่บนใบหน้าของเขา แต่คนกลุ่มนี้ก็ต้องตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวของไป๋อี้ที่เขาสามารถคว้าลูกกระสุนไว้ได้ด้วยมือเปล่า คนเหล่านี้คาดการณ์ได้ทันทีว่าไป๋อี้เป็นมนุษย์วิวัฒนาการที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ในนิวซีแลนด์ แต่ทว่าในเวลานี้เงาของชาร์ไป่ก็ได้ปรากฏขึ้นตรงประตู มันหันศีรษะของมองเข้ามาข้างใน รูปลักษณ์และหน้าที่ดุร้ายทำให้อาการวางใจของคนเหล่านั้นเมื่อครู่นี้ต้องถูกละทิ้งไปและต้องกลับมาเป็นกังวลอีกครั้ง
“อย่าวู่วาม วางอาวุธลง มิฉะนั้นผมไม่สามารถรับประกันได้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ไป๋อี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ พวกเขาสองสามคนในกลุ่มนั้นที่อยู่ข้างในก็รู้สึกได้ว่าไป๋อี้พูดถูกและคิดที่จะวางปืนลงในทันที แต่ในช่วงเวลาถัดมามีสองคนที่อยู่ข้างในรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาอีกครั้ง คนกลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในหมู่คนปกติ อีกทั้งยังได้รับการฝึกอบรมการต่อต้านการสะกดจิตอีกด้วย ไป๋อี้เหลือบมองพวกเขาสองคนด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากผ่านเรื่องตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อครู่นี้ไป ต่างฝ่ายต่างก็ผ่อนคลายลง
………………
“ผมขอแนะนำตัวเองสักหน่อย ผมชื่อไป๋อี้ เป็นมนุษย์วิวัฒนาการ”
หลังจากทั้งสองกลุ่มสงบลง ไป๋อี้ก็แนะนำตัวเอง ทั้งสองกลุ่มนั่งกันอยู่คนละฝั่ง มีบางคนในกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามมีท่าทางกระวนกระวาย เห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขานั้นไม่ใช่คนปกติธรรมดาสักคน การที่ต้องนั่งอยู่กับกลุ่มสัตว์ประหลาด แน่นอนว่าต้องมีเงามืดเกาะกุมจิตใจของพวกเขาอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามหลังจากที่ชายชราได้ยินชื่อของไป๋อี้เขาก็ถึงกับตะลึงงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็เพ่งมองไปที่ไป๋อี้ด้วยความตื่นเต้นดีอกดีใจและวิ่งออกมา
“คุณก็คือไป๋อี้เองเหรอ?”
“อืม มีอะไรเหรอ?” ไป๋อี้ถูกความกระตือรือร้นของชายชราทำให้ผงะไปเล็กน้อย
“คุณก็คือไป๋อี้ คุณรู้ไหมว่าคุณมีชื่อเสียงมากเลยนะตอนนี้ ผมเห็นการเผชิญหน้ากับเคราะห์ร้ายของพวกคุณที่ช่องแคบคุกครั้งนั้น หลังจากนั้นแม้ว่าคุณจะหลบหนีออกมาได้ คุณก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยจนหลายคนคิดว่าคุณคงตายไปแล้ว” จีฮั่วชิงพูดอย่างตื่นเต้นจากนั้นก็เดินมองสำรวจไปรอบ ๆ ไป๋อี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน สายตาแบบนั้นที่มองอยู่ทำให้ไป๋อี้รู้สึกว่ามันน่ารำคาญสิ้นดี
“คือผม!” ไป๋อี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณบอกได้ไหมว่าทำไมพวกคุณถึงมาที่นี่?” ม่านตาบุษบาผกผันทั้งสองข้างของไป๋อี้เริ่มเคลื่อนไหว ช่างน่ากลัวจริง ๆ จีฮั่วชิงที่ยังคงเต็มไปด้วยความสนใจในตัวไป๋อี้ตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะถอยหลังออกไปสองสามก้าว และบางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็รีบคว้าปืนไว้ในมืออย่างแน่นหนาโดยธรรมชาติ ความหวาดกลัวในชั่วพริบตานั้นทำให้พวกเขารู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ
“นี่คือม่านตาบุษบาผกผัน มันน่าทึ่งจริง ๆ” จีฮั่วชิงตะลึงอีกครั้งจากนั้นก็พยายามเข้ามาใกล้เพื่อต้องการที่จะมองดวงตาทั้งสองข้างของไป๋อี้ให้ชัดเจนยิ่งขั้น จากคำพูดของจีฮั่วชิงก็รู้ได้ทันทีว่ายังมีช่องทางการติดต่อระหว่างนิวซีแลนด์และโลกภายนอกอยู่ ชื่อเสียงเรียงนามของม่านตาบุษบาผกผันของไป๋อี้นั้นได้แพร่กระจายออกไปถึงโลกภายนอกหมดแล้ว
เมื่อเห็นว่าชายชรากำลังพยายามที่จะเข้ามาใกล้อีกครั้ง ไป๋อี้จึงชักดาบจุมพิตสีแดงออกมาตรงหน้าอย่างไม่รีรอ เมื่อมองเห็นดาบด้ามยาวสีแดงเข้มที่แทบจะแทงเข้ามาที่ลำคอของตน ในที่สุดชายชราจีฮั่วชิงก็ได้สติขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นดวงตาของไป๋อี้ในตอนนี้ก็เย็นชาเกินไปจริงๆ
“พูดถึงจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของพวกคุณเถอะ อย่าบอกนะว่าพวกคุณมาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวน่ะ ผมอยากรู้ว่าคนปกติที่อยู่ข้างนอกมีการวางแผนจะทำอย่างไรกับนิวซีแลนด์ต่อไป แล้วพวกคุณมาที่นี่ต้องการอะไร?” ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนบางทีไป๋อี้อาจจะสอบถามอย่างเป็นมิตร แต่ว่าตอนนี้ไป๋อี้ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นคนที่เย็นชาไร้ความรู้สึก ข้อสงสัยที่บีบบังคับให้ต้องตอบคำถาม ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่มีทางหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย
“ฉัน ฉันจะบอกทั้งหมด คุณช่วยเอาดาบยาวเล่มนี้เก็บคืนไปได้ไหม” จีฮั่วชิงยกมือทั้งสองข้างขึ้นทันที ในเวลานี้เขาเพิ่งจะได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมาอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูเมื่อแรกพบกัน แต่ตอนนี้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ได้ยินชื่อเสียงของไป๋อี้จากโลกภายนอกเช่นกัน
“เอาอย่างนี้ดีไหม คุณก็บอกภารกิจกับพวกเขาไปสิ” กัปตันทีมคนนั้นพูด
“ภารกิจห่วยแตกน่ะสิ พวกคุณยังไม่ยอมรับความจริงที่ว่าพวกคุณถูกหลอกให้ตกหลุมพรางอีกหรือไง” ชายชราจีฮั่วชิงด่าขึ้นมาหนึ่งประโยค หลังจากนั้นก็เริ่มอธิบายสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่อย่างละเอียด