[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 14 นกอีแร้งหางงูเจ็ดหัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อไป๋อี้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาร์ไป่และวูล์ฟเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ออกมา อย่างไรก็ตามในขณะที่หัวเราะอยู่ไป๋อี้ก็เหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างในกระจกมองหลังของรถ และทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไป๋อี้หันศีรษะไปมองทันที บนหลังคาของบ้านพักชั่วคราวหลังนี้มีหัวนกยื่นออกมาซึ่งดูมีขนาดตัวอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของรถ
“ฮั้วชิวหยางวิ่งเร็ว! ” ไป๋อี้ตะโกนออกไปทันที
อะไรนะ?
ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว นกตัวใหญ่และมีปีกที่กว้างมากกว่าหกเมตรกำลังบินโฉบลงมาจากท้องฟ้า ฮั้วชิวหยางตัวแข็งเป็นหินทันที ส่งผลให้นกยักษ์บินเข้าจิกทึ้งไปที่หัวของฮั้วชิวหยาง หัวของเขาถูกฉีกออกเสียงดังแควกจนเลือดไหลพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
“อ๊ากกก……! ” เสียงกรีดร้องดังระงมท่ามกลางฝูงชนในขณะที่ไป๋อี้มีปฏิภาณไหวพริบดีพอที่จะรีบสตาร์ทรถเพื่อหลบหนี
“เร็วเข้า” ไป๋อี้พูดพลัันกลับรถกระแทกเข้ากับนกยักษ์ เดิมทีไป๋อี้ต้องการจู่โจมนกยักษ์เพื่อซื้อเวลาให้คนอื่น แต่ก่อนที่รถจะพุ่งชนขาของนกยักษ์ดังที่ตั้งใจไว กรงเล็บขนาดใหญ่กลับจิกเข้าบนหลังคารถเขาเสียก่อน
เสียงดังโครมครามทำให้รถสั่นไปทั้งคัน กระจกหน้าต่างแตกกระจายเต็มพื้น
ในขณะนั้นเองนกยักษ์มีหางข้างหลังเป็นงูถึง 7 หาง … ไม่สิน่าจะเป็นหัวงูที่ยื่นออกมาเสียมากกว่า มันผลุบ ๆ โผล่ ๆ เข้ามาในรถที่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ นั่งอยู่
“กรี๊ดดดด”
“โฮ่งโฮ่งโฮ่ง! ” เสียงกรีดร้องของโม่โม่และเสียงเห่าของเจ้าชาร์ไป่ดังออกมาจากในรถ
และก่อนที่หัวของงูจะเข้ามากัดพวกเขาภายในรถ ทันใดนั้นเองวูล์ฟก็ออกหมัดต่อยมันออกไปทันที ตอนนี้วูล์ฟพบว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขามีพลังมากขนาดไหนแล้ว หมัดพุ่งไปโดนหัวของงูจนมันเซออกไปอย่างกะทันหัน มันส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างเดือดดาลและในเวลาเดียวกันก็พ่นควันสีฟ้าออกมา
“โม่โม่กลั้นลมหายใจไว้! ” ไป๋อี้ตะโกนบอก
ในเวลานี้ไป๋อี้เร่งคันเร่งอย่างบ้าระห่ำ ยางรถเสียดสีกับพื้นถนนอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นประกายไฟ แรงกระชากที่รุนแรงทำให้รถค่อย ๆ แยกออกจากปลายกรงเล็บของนกยักษ์ เหลือไว้เพียงรอยขีดข่วนลึกที่ยังคงปรากฏอยู่ตามตัวรถ ซึ่งรถคันนี้เกือบจะถูกเเยกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยกรงเล็กของมันไปแล้ว
ปล่อยฉันออกไป!
ไป๋อี้รำพันอยู่ในใจ ทันใดนั้นรถก็แยกตัวออกจากกรงเล็บของนกยักษ์ได้สำเร็จและพุ่งตรงไปที่ลานเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในตอนนี้หลังคารถของพวกเขาเกือบทั้งคันถูกทึ้งออกไป โดยที่นกยักษ์ยังคงทิ้งร่องรอยของกรงเล็บเอาไว้เล็กน้อย เนื่องจากไป๋อี้เกิดความล่าช้าจึงทำให้คนอื่น ๆ ที่ขึ้นรถออกเดินทางมาด้วยกันได้ถึงทางด่วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเหยื่อในอุ้งเล็บของมันหนีไปได้นกยักษ์จึงส่งเสียงร้องแปลก ๆ ออกมาจากนั้นก็บินจากไปทันที
“บัดซบ สัตว์ประหลาดนั่นโผล่มาอีกแล้ว” วูล์ฟมองออกไปด้านหลังรถจึงได้เห็นลักษณะโดยรวมของเจ้านกยักษ์นั่น
นกอีแร้งหางงูเจ็ดหัว เผยให้เห็นปีกที่กางออกซึ่งมีความกว้างมากกว่าหกเมตร ทว่าตัวปีกมีสีสันสวยงาม รวมถึงมีหางเจ็ดหางอยู่ข้างหลังซึ่งไม่ใช่หางที่เป็นขนอย่างหางทั่วไป แต่กลับเป็นหางที่ประกอบด้วยหัวงูเหลือมมากถึง 7 หัว งูเหลือม 7 หัวที่มีสีต่างกันยื่นเข้าออกผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ตลอดเวลา มองดูน่าขยะแขยง
ในเวลานี้ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังขับรถอย่างดุเดือดพวกเขาก็ยังคงโดนนกยักษ์ไล่ตามติดมาทางด้านหลังอีก
“เมื่อคืนนี้ฉันบอกแล้วว่าควรออกเดินทางเลย พวกเธอยังจะอยากหาที่พักผ่อนสักคืนอีก ดูสิ สัตว์ประหลาดมันโผล่มาแล้ว” ถังปิงพูด ภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก สถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครสนใจว่าจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้หรือไม่ ดังนั้นถังปิง หงฉี่ฮว๋า และไต้ยู่เหยาจึงรีบเข้าไปในรถทันที
“หุบปาก!” หงฉี่ฮว๋าตอบกลับอย่างเดือดดาลจากนั้นก็ถอดแว่นออก
หลังจากถอดแว่นแล้วเธอก็ผงะไปชั่วขณะหนึ่งแต่ในไม่ช้าหงฉี่ฮว๋าก็พบว่าตอนนี้การมองเห็นของเธอชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องใส่แว่น แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ไป๋อี้และคนอื่นเท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เธอเองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันแม้จะยังไม่ชัดเจนนัก
ปัญหาทางสายตาเป็นความรู้สึกชอกช้ำของหงฉี่ฮว๋ามาโดยตลอด เมื่อครั้งที่เธอเป็นเด็กกำพร้า เธอต้องการไปศึกษาต่อต่างประเทศจึงมุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง แต่นั่นกลับกลายเป็นการทำร้ายสายตาของเธอไปด้วย ในเวลาเดียวกันก็คิดไม่ถึงว่าสายตาจะกลับมาดีขึ้นได้เช่นนี้ ถังปิงยังคงมีความคิดต่อต้านแต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงและมองไปที่หงฉี่ฮว๋าอย่างงุนงง เขาไม่คาดคิดว่าหงฉี่ฮว๋าจะสวยขนาดนี้หลังจากถอดแว่นที่ใหญ่เทอะทะออก
เห็นได้ชัดว่านกยักษ์ตัวนี้บินมาที่นี่เมื่อคืนและบังเอิญเลือกชั้นดาดฟ้าของบ้านพักแห่งนี้เพื่อพักผ่อน แต่ก็ยังไม่มีใครพบมันจนกระทั่งเสียงดังโวยวายเรื่องการจัดสรรรถเมื่อเช้านี้ส่งผลให้มันตื่นขึ้นมา
หงฉี่ฮว๋าเหลือบมองไปที่นกยักษ์จากนั้นก็มองไปที่ไต้ยู่เหยาที่อยู่ข้าง ๆ เธอ
ในเวลานี้ไต้ยู่เหยารู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะขับรถอยู่แต่หงฉี่ฮว๋าก็เห็นว่ามือของเขานั้นสั่นอย่างรุนแรง นี่แสดงให้เห็นถึงความกลัวที่เกิดจากก้นบึ้งของหัวใจได้เป็นอย่างดี ไต้ยู่เหยาเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดา เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ หากเป็นสถานการณ์ปกติหงฉี่ฮว๋าอาจจะปลอบไต้ยู่เหยาได้ แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ตอนที่พวกเขาอยู่ในรถและไต้ยู่เหยายังคงขับรถอยู่
“ไต้ยู่เหยามาเปลี่ยนตำแหน่งกันเถอะ ฉันจะขับเอง” หงฉี่ฮว๋ากล่าวโดยที่ไม่อธิบายอะไรมาก ด้วยสภาพจิตใจในตอนนี้ของไต้ยู่เหยา อุบัติเหตุทางรถยนต์อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และเธอไม่ต้องการมาตายด้วยเหตุนี้
“เธอจะบ้าเหรอ ตอนนี้นกยักษ์ตัวนั้นยังไล่ตามหลังมาอยู่เลย ถ้าจอดรถตอนนี้มีหวังตายกันหมดแน่” ถังปิงตอกกลับ
“ไม่ต้องหยุดรถ เปลี่ยนที่กันทั้งอย่างนี้แหละ ทางข้างหน้าเป็นทางตรงฉันถือพวงมาลัยเอง ไต้ยู่เหยาเธอปีนไปด้านหลัง” หงฉี่ฮว๋ากล่าว แต่กลับทำให้สีหน้าของไต่ยู่เหยายิ่งทวีความหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก
“ฉัน ฉันไม่กล้า! ”
“รีบเปลี่ยนที่เร็วเข้า สภาพจิตใจของเธอในตอนนี้จะฆ่าพวกเราทุกคน” หงฉี่ฮว๋าตะโกนด่าไต้ยู่เหยา
เป็นอย่างที่หงฉี่ฮว๋ากล่าว ทางด้านหน้าเป็นทางตรงและไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะการขับรถที่ซับซ้อนนัก ในเมื่อเธอควบคุมพวงมาลัยไม่ให้เปลี่ยนทิศทางอยู่ ไต้ยู่เหยาก็สามารถใช้โอกาสนี้ปีนไปด้านหลังได้ หงฉี่ฮว๋านั่งอยู่ที่ตำแหน่งคนขับด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง รถยังขับอยู่บนถนนอย่างปลอดภัยและราบรื่น แม้แต่ถังผิงยังต้องยอมรับว่าหงฉี่ฮว๋าดูมั่นใจมากกว่าท่าทางที่ประหม่าของไต้ยู่เหยาเมื่อครู่นี้
เมื่อไม่ต้องขับรถทำให้สีหน้าของไต้ยู่เหยาดูดีขึ้น จากนั้นเธอก็นั่งอยู่ข้างหลังกับถังปิง ทั้งสองมองไปที่แผ่นหลังของหงฉี่ฮว๋าด้วยความงุนงง
เขารู้สึกตะลึงเล็กน้อยเพราะโดยปกติแล้วหงฉี่ฮว๋าจะเป็นคนเงียบ ๆ ใส่แว่นทรงหนาเตอะและดูเชยอยู่เสมอ ซึ่งไม่มีความโดดเด่นเลย แต่ตอนนี้ปฏิกิริยาท่าทีของหงฉี่ฮว๋ากลับดูเป็นผู้ใหญ่และใจเย็นกว่าพวกเขามาก ทำไมหงฉี่ฮว๋าถึงไม่รู้สึกกลัวสักนิด ? นอกจากนี้ยังมีไป๋อี้และหยูหานที่รู้สึกว่าพวกเขาดูโดดเด่นขึ้นมากกว่าเดิมในสถานการณ์ปกติ
อาจเป็นเพราะคนบางคนอาจเกิดมาเพื่อยุคนี้โดยเฉพาะ!
บางคนจะได้สัมผัสถึงความเฉิดฉายของตนเองในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป และเมื่อต้องอยู่ในยุคที่ไม่ใช่ของตัวเองก็เหมือนกับหยกที่ฝังอยู่ในหิน พวกเขาอาจถูกฝังได้และเป็นคนธรรมดาตลอดไป เห็นได้ชัดว่าสำหรับหงฉี่ฮว๋าแล้วดูเหมือนว่าเธอจะปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ได้มากขึ้น
……
แย่แล้ว!
ไป๋อี้ที่รู้สึกสมองมึนงงมีคำนี้ปรากฏชัดขึ้นมาในใจ เขารู้สึกไม่ดีเมื่อหัวของงูพ่นควันสีฟ้าออกมาจึงขอให้โม่โม่กลั้นลมหายใจเอาไว้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะช้าไปและได้สูดดมควันเข้าไปเล็กน้อย
แทบไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าควันนั้นต้องเป็นสารพิษแน่ ๆ โชคดีที่ไม่ใช่สารพิษร้ายแรงชนิดที่ฆ่าคนได้เมื่อสูดดมเข้าไป แต่ตอนนี้มันกลับทำให้รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา การขับรถที่บ้าระห่ำนี้ต่างหากที่จะคร่าชีวิตคนในรถ
“พ่อหนูหายใจได้หรือยัง ?” จู่ ๆ โม่โม่ก็ถามออกมาอย่างไม่ประสีประสา
“อ่า … ได้แล้ว” ไป๋อี้ที่ยังงุนงงกับอาการเวียนหัวก็ต้องหัวเราะออกมา ลูกสาวของฉันเป็นเป็นเด็กไร้เดียงสาเสียจริง แต่ดูเหมือนว่าโม่โม่จะไม่ได้สูดควันนั้นเข้าไป ซึ่งนับว่ายังมีความโชคดีในความโชคร้ายอยู่บ้าง
“วูล์ฟ นายไม่ได้กลิ่นควันเหรอ ทำไมรู้สึกว่านายยังดูมีชีวิตชีวาอยู่เลย ?” ไป๋อี้ถาม
“ฉันได้กลิ่นสิ มันพ่นมาเต็มหน้าฉันเลยจะไม่ได้กลิ่นได้ยังไง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลอะไรกับฉันเลยและฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม” วูล์ฟตอบอย่างงงงวย
ไป๋อี้ส่ายหัวไปมาเพื่อสลัดความมึนงงในหัวของเขาออกไป จริง ๆ แล้วหรือว่าเขาจะถูกวางยา ? ที่วูล์ฟไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากสารพิษนั่นอาจเป็นเพราะเซลล์ดัดแปลงในร่างกายถูกผสานรวมกับยีนของสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่สามารถต่อต้านสารพิษชนิดนี้ได้ … แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนี้
“วูล์ฟ ฉันถูกมอมยาพิษและตอนนี้รู้สึกเวียนหัวมาก อีกสักพักทางข้างหน้าจะเป็นทางตรง นายมาจับพวงมาลัยไว้และฉันจะปีนไปด้านหลัง นายมาขับรถที” ไป๋อี้พูด เขาและหงฉี่ฮว๋าได้เลือกทางเลือกเดียวกัน ต่างกันแค่เพียงคนหนึ่งสลับตำแหน่งกับคนขับรถ ในขณะที่อีกคนหนึ่งต้องสละตำแหน่งคนขับรถไป
“เฮ้เฮ้ ไป๋อี้นายมันบ้าเกินไปแล้ว การขับรถด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ถ้านายทำผิดพลาดขึ้นมานายได้ตายแน่” วูล์ฟอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนี้ถ้าเราไม่สลับที่กันเราก็ตายเหมือนกันนั่นแหละ การมองเห็นของฉันเริ่มพร่ามัวแล้ว” ไป๋อี้ยิ้มอย่างเฝื่อน ๆ
เมื่อวูล์ฟได้ยินไป๋อี้พูดเช่นนั้นเขาก็ลังเลพักหนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันทำตามที่ไป๋อี้ร้องขอ จากการที่ได้รู้จักไป๋อี้มาวูล์ฟรู้ว่าไป๋อี้เป็นคนจริงจังและเขาจะไม่พูดเรื่องแบบนี้ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาสำคัญ หลังจากตกลงกันแล้ววูล์ฟก็ยื่นมือออกมาจากด้านหลังเพื่อจับพวงมาลัย ขณะที่ไป๋อี้ย่อตัวลงและคลานไปด้านหลังอย่างระมัดระวัง
เดิมทีรถคนนี้ก็มีขนาดเล็กอยู่แล้วการหดตัวเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งกันยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามันน่าอึดอัดแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่ในระหว่างการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางความตื่นเต้นที่ประดังเข้ามาทำให้พวกเขาเกือบจะทำมันล้มเหลว โชคดีที่ในเวลานี้ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงหนีไปแทบจะหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่บนถนนยกเว้นไป๋อี้และทีมของเขา มิฉะนั้นมันอาจจะไม่ราบรื่นเช่นนี้อย่างแน่นอน
ไป๋อี้นั่งอยู่ที่เบาะหลัง เขาพักหายใจหอบเหนื่อยจากนั้นก็มองกลับไปดูข้างหลังยังเห็นเจ้านกยักษ์ไล่ตามรถมาอยู่ ไป๋อี้หอบเหนื่อยอยู่สักพักจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอย่างจดจ่อและโทรหาเบอร์ของมาร์ตินที่บันทึกไว้เมื่อคืนนี้
“มาร์ติน ฉันถูกมอมยาพิษ คุณรู้วิธีจัดการกับพิษของสัตว์ประหลาดตัวนี้หรือไม่ ?”
เมื่อมาร์ตินรับสายของไป๋อี้เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถูกมอมยาพิษ … ไป๋อี้ถูกมอมยาพิษจริง ๆ ในทีมทั้งหมดแม้แต่มาร์ตินผู้มาใหม่ยังรู้สึกได้ว่าไป๋อี้อยู่ในสถานะที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของทั้งทีมเอาไว้ ถ้าไป๋อี้ตายแบบนี้ทีมก็คงจะแตกแยกกันแน่ ๆ
“รู้สิ สัตว์ประหลาดชนิดนี้เรียกว่านกอีแร้ง แบ่งประเภทตามจำนวนหางตั้งแต่หนึ่งหางถึงเก้าหาง สารพิษจากหัวงูของแต่ละหางจะแตกต่างกันออกไป หากถูกพิษมันเข้าจะเป็นการยากมากที่จะเอาออก อย่างไรก็ตามโชคดีที่น้ำดีของหัวงูนั้นสามารถขจัดสารพิษที่เกี่ยวเนื่องกันออกไปได้” มาร์ตินพูดกับไป๋อี้
ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ตอนนี้คงหนีไม่ได้แล้ว มีแต่จะต้องฆ่ามันให้ได้พื่อความอยู่รอด!
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809