ตั้งแต่ที่ไป๋อี้และพวกแยกจากแกรี่ นี่ก็เข้าสู่วันที่สองแล้ว แกรี่จะทำตามคำแนะนำของไป๋อี้อย่างไรไม่ใช่เรื่องที่ไป๋อี้เป็นกังวล ไป๋อี้เองจะออกหน้าลงมือเองก็ย่อมได้ แต่อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นกล่าวไว้ว่าเรื่องนี้นำโดยแกรี่อย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางอื่นใด ตอนที่จิตใจของไป๋อี้ถูกครอบงำด้วยความอาฆาตแค้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนหน้านี้ ทำให้ถึงแม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงที่ดีในกลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ แต่ภายใต้สถานการณ์นี้เขาก็ไม่ได้มีอำนาจใด ๆ
หลังจากเข้าสู่หุบเขาหิมะเขาควรจะหาที่พักอาศัยเสียก่อน แต่เนื่องจากเขาคือไป๋อี้ดังนั้นแกรี่จึงจัดการเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดี ซึ่งไป๋อี้ได้ปฏิเสธข้อเสนอที่จะอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหุบเขาหิมะและขอให้แกรี่หาตำแหน่งที่ตั้งบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างนอกแทน ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หากพวกเขาอยู่ด้วยกันมันจะเป็นการไม่สะดวก
“โดยทั่วไปแล้ว หากแต่ละทีมต้องการออกไปด้านนอก มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าได้อาศัยอยู่ในบ้าน เพราะที่นี่ไม่ค่อยมีความปลอดภัยมากนัก แต่แน่นอนว่าที่ตรงนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนทีมของพวกเราหมู่บ้านหุบเขาหิมะอยู่ห่างไปไม่ไกล อย่างไรก็ตามแต่คุณก็ควรจะระวังไว้” ผู้พิทักษ์หกขาพาไป๋อี้และเพื่อน ๆ มาที่บ้าน ผู้พิทักษ์จากหุบเขาหิมะคนนี้เคลื่อนที่โดยการคลานราวกับสัตว์ครึ่งมนุษย์ได้กล่าวเตือนพวกเขา
“อื้ม ผมเข้าใจแล้ว ขอบใจนะ” ไป๋อี้พยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอลาล่ะ” หลังจากที่ผู้ชายคนนี้พยักหน้า เขาก็หันหลังเดินออกไปพร้อมกับก้าวที่หนักหน่วง โดยมีหิมะและน้ำแข็งสาดกระเซ็นตามพื้นตลอดทาง
“น่าเสียดายจริง ๆ ที่ให้ของขวัญถุงใหญ่กับเจ้าหมีคนนั้น” วูล์ฟพึมพำหลังจากทหารนายนั้นจากไป
“ไม่เป็นไร ถ้าจะดำเนินการทำให้ดีใคร ๆ ก็ทำได้ แต่เราไม่มีอิทธิพลและอย่าลืมว่าจุดประสงค์หลักของเราที่มาที่หุบเขาหิมะ ……. เพื่อเลือกเพื่อนร่วมทีม หรือเป็นไปได้ว่าวูล์ฟ นายชอบที่จะอยู่ใต้ความดูแลของคนกลุ่มใหญ่นี้เหรอ แบบที่หนึ่งคนเรียกหา ร้อยคนขานรับ?” ไป๋อี้ถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว ความปรารถนาในอำนาจและความมั่งคั่งเป็นประเด็นที่ผู้ชายทุกคนอดไม่ได้ที่จะใฝ่หา”
“นั่นก็ไม่แน่นอนซะทีเดียว บางคนก็รู้สึกเฉยเมยกับเรื่องนั้น”
“เฮ้ ๆ นั่นเป็นเพราะเขาคนนั้นไม่มีความสามารถและเงินตรา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่อ้างว่าไม่สนใจชื่อเสียงลาภยศและแสร้งทำเป็นใช้คำอย่างนั้นพูดหักล้างก็เท่านั้น” วูล์ฟโต้กลับทันที
ไป๋อี้และเฮลัวส์ต่างมองไปที่วูล์ฟอย่างมึนงง ผู้ชายคนนี้ไม่น่าจะเปลี่ยนไปได้ เขาเอาคำพูดเชิงปรัชญาเช่นนี้มาพูดได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่แล้วในประโยคต่อมาของวูล์ฟกลับเป็นการตอบคำถามความงุนงงนี้ได้
“ฉันเห็นมันในหนังสือเมื่อวันก่อน และจำมันมาโดยบังเอิญน่ะ”
“อะฮ่าฮ่าฮ่า” ไป๋อี้และเฮลัวส์ต่างหัวเราะออกมา พวกเขาก็นึกว่าวูล์ฟอาจเฉลียวฉลาดขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ว่าหนังสือที่วูล์ฟอ่านจะเป็นเพียงแค่หน้าแรกก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นไป๋อี้และเพื่อน ๆ ก็ยังมองว่านั่นมันเป็นเรื่องน่าตลกขบขันทีเดียว
หลังจากคนในทีมต่างหัวเราะกันจนพอใจแล้ว พวกเขาก็วางของไว้ในห้องอันกว้างขวางนี้แล้วจึงเดินไปที่จัตุรัสเพื่อรับสมัครเพื่อนร่วมทีมตามที่มัลวีย์ได้บอกไว้ หุบเขาหิมะไม่ใหญ่มากนัก จึงทำให้หาสถานที่แห่งนี้ได้ไม่ยาก และยิ่งเข้าใกล้ที่นี่มากเท่าไหร่ฝูงชนก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น คนที่อยู่ตรงศูนย์กลางจตุรัสคือเหล่าผู้คนที่กำลังมองหาเพื่อนร่วมทีม รวมทั้งมีทีมที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของต่าง ๆ กันอยู่โดยรอบ ที่นี่จะเห็นสัตว์ประหลาดต่าง ๆ เดินกันขวักไขว่ ทุกคนเหมือนกับหลุดเข้ามาในสวนสนุกของเหล่าสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
กลุ่มคนของไป๋อี้มีความโดดเด่นสะดุดตาเล็กน้อยเพราะไป๋อี้และพรรคพวกได้รับการฉีดยา PrototyDrug คืนสภาพ ดังนั้นตอนนี้ไป๋อี้และเพื่อน ๆ จึงดูไม่แตกต่างจากมนุษย์มากนัก แต่ก็แน่นอนว่าวูล์ฟที่สูงมากกว่า 4 เมตร เฮลัวส์ที่มีปีกและขนปุยสีสดใสบนใบหน้าของไป๋อี้ยังคงทำให้ผู้คนแยกแยะพวกเขาจากคนธรรมดาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สับสน
“การเลือกสมาชิกเข้าทีมต้องทำอย่างไร?”
“ลองดูพวกเขาก่อนก็จะรู้เองแหละน่า”
พวกไป๋อี้เฝ้าดูอยู่พักหนึ่งและพบว่าคนที่อยู่ที่นี่เป็นเวลานานมักจะเป็นคนที่อยู่ตัวคนเดียว ที่นี่มีกลุ่มทีมที่ไม่มากนัก พวกเขาต้องการทราบว่าทีมทีมหนึ่งสามารถอยู่ในสถานที่นี้ได้นานแค่ไหน จากสภาพการณ์ทำให้สามารถประมาณการณ์ได้ว่ามีคนที่อยู่ตัวคนเดียวไม่กี่ร้อยคน ที่ด้านบนลานกว้างมีผู้คนอยู่อย่างเบาบาง ในขณะที่ในจัตุรัสนี้มีกลุ่มทีมอยู่เพียง 8 กลุ่ม พวกเขาครอบครองพื้นที่กันทีมละ 1 จัตุรัส สำหรับทีมทุกทีมที่มาจากข้างนอกโดยทั่วไปจะมีประกาศที่ระบุเงื่อนไขในการค้นหาเพื่อนร่วมทีมเอาไว้แล้ว
ไป๋อี้ดูอยู่สักพัก แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะวุ่นวาย แต่ก็นับว่ายังค่อนข้างเป็นระเบียบ ลานกว้างทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยคร่าว ๆ ส่วนหนึ่งเป็นการสรรหาสมาชิกในทีมโดยกลุ่มทีม และอีกส่วนหนึ่งคือคนที่อยู่ตัวคนเดียว
ด้านที่กลุ่มทีมอยู่แบ่งออกเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสเล็ก ๆ พร้อมโต๊ะด้านในสำหรับรับแขกหรืออะไรสักอย่าง ไป๋อี้มองดูสักพักก่อนจะเลือกที่นั่งที่ว่างแล้วเดินเข้าไป มีป้ายประกาศเล็ก ๆ พร้อมชอล์กสองสามชิ้นอยู่ข้าง ๆ หลังจากใช้เวลาไม่นานไป๋อี้และเพื่อน ๆ ก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นี่
ไป๋อี้หยิบป้ายประกาศขนาดเล็กขึ้นมาและเขียนรายชื่อประกาศรับผู้สมัครลงไป
หมอปรุงยา, ช่างหลอมอาวุธ, นักวิจัยชีววิทยา, ครูอาจารย์ ……!
ในส่วนของพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสถัดไป ทั้งสามคนในทีมอื่น ๆ ที่เดิมทีอยากรู้เกี่ยวกับไป๋อี้และพรรคพวกต่างก็พากันหัวเราะออกมาทันทีเมื่อเห็นไป๋อี้ยื่นป้ายออกมา
“มีอะไรน่าขำนักเหรอ?”
“ขอโทษนะ เพื่อนฉันไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายดูเหมือนจะคิดว่าการหัวเราะขบขันของเพื่อนตัวเองทำให้พวกไป๋อี้ไม่พอใจ เขาจึงรีบออกมาไกล่เกลี่ย
“อย่างไรก็ตามป้ายเหล่านี้ของพวกนายไร้ประโยชน์จริง ๆ หมอปรุงยาและช่างหลอมอาวุธล้วนเป็นผู้มีความสามารถที่ทุกคนต้องการ ทุกคนต่างรู้ว่าคนเหล่านั้นอยู่ในหุบเขาหิมะ โดยทั่วไปหัวหน้าทีมจะเชิญพวกเขาเป็นการส่วนตัวและขึ้นอยู่กับความปรารถนาของผู้นั้นว่ายินดีที่จะเข้าร่วมหรือไม่ กล่าวคือคุณสามารถเลือกเพื่อนร่วมทีมบางคนที่มีบุคลิกที่ดีและมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่ดีได้ที่นี่ ตราบใดที่พวกเขาไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว แต่สำหรับนักวิจัยชีววิทยาและครูอาจารย์ที่คุณประกาศรับจะทำประโยชน์อะไรได้อย่างนั้นเหรอ?” ชายคนนี้ยังคงอธิบาย
“โอ้ ขอบคุณนะ ถึงเวลาที่ลูกสาวของฉันต้องได้รับการศึกษาแล้ว แต่ไม่มีพวกเราที่นี่สามารถสอนเธอได้”
เมื่อพูดแบบนี้โม่โม่ถึงกับปวดหัว โม่โม่ไม่ชอบเรียนจริง ๆ และมันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเรียนต่อ ไป๋อี้ไม่ได้แก้ไขเนื้อหาที่เขียนลงไปและแขวนป้ายไว้ที่เสาไม้ด้านนอก หลังจากดำเนินการทั้งหมดนี้แล้วไป๋อี้ก็มองไปที่คนสองสามคนตรงนั้น ที่นี่ต้องมีสักคนสิ เกรงว่าผู้อื่นจะเห็นป้ายแจ้งดังกล่าว แต่ไม่มีใครตอบรับ คนที่มีความสามารถในจตุรัสแห่งนี้ต้องมีสักคนหรือไม่ก็สองคนในการเลือกเข้าทีมบ้างสิน่า บางทีพวกไป๋อี้อาจพบผู้สมัครที่ชื่นชอบก็เป็นได้
ไป๋อี้มองไปที่สมาชิกในทีม แม้ว่าจะมีสมาชิกเจ็ดคน แต่ก็มีมนุษย์เพียงสี่คนเท่านั้น พวกเขาจะแบ่งหน้าที่อย่างไรดี
“เลือกเอาว่าพวกนายจะอยู่ที่นี่เพื่อรับสมัครผู้ที่เข้ามาสอบถามหรือเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมเองที่จัตุรัส?” ไป๋อี้ถามทั้งที่แทบจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าวูล์ฟไม่ใช่ผู้ชายที่จะเอาแต่นั่งนิ่ง ๆ ไป๋อี้โบกมือไปมา และเป็นไปตามคาดเมื่อวูล์ฟหัวเราะและเดินออกไปพร้อมเฮลัวส์ ในขณะที่ไป๋อี้นั่งหลังโต๊ะและถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ลูกตาดำของไป๋อี้กลอกไปมาและเมื่อเขาเห็นสมาชิกสองคนของผู้พิทักษ์หมู่บ้านหุบเขาหิมะจากไปไกลเขาก็รู้ได้ทันที่ว่าพวกเขาจะไปรายงานกับแกรี่
รายงานก็รายงานไปเถอะ ไป๋อี้ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนเรื่องนี้กับแกรี่ นี่เป็นเรื่องปกติในเมื่อสมาชิกในทีมมีไม่เพียงพอ ดังนั้นแน่นอนว่าจำเป็นต้องรับสมัครสมาชิกเพิ่ม อย่างไรก็ตามไป๋อี้หวังว่าแกรี่จะไม่ฉลาดพอที่จะจัดแจงหาคนเข้าทีมของตน ซึ่งไป๋อี้ไม่ต้องการให้สายลับสายสืบปรากฏตัวอยู่ในทีมของเขา
หลังจากนั้นไม่นานโม่โม่ดูเหมือนจะมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก หนูน้อยมองไปที่ฝูงชนกลุ่มนั้น
“อยากดูก็ไปดูเถอะ ตามพวกเฮลัวส์ไปนะ ระวังอย่าไปขัดแย้งกับคนอื่นเข้าล่ะ” ไป๋อี้กล่าว ตอนนี้โม่โม่ไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เท่าฝ่ามือที่ต้องถูกดูแลอยู่เสมอ แม้ว่าโม่โม่จะอายุเพียงห้าขวบก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นจัตุรัสแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มาก ด้วยวิสัยทัศน์การมองเห็นรอบด้านของไป๋อี้เขาสามารถมองเห็นทุกด้านได้ทันที
“ค่ะ!” โม่โม่ตอบอย่างมีความสุขจากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับชาร์ไป่ ชินชิล่ามองอยู่บนโต๊ะสักพักก่อนจะกระโดดวิ่งลงไปตาม
ชินชิล่าจับตัวชาร์ไป่ได้และอยากจะกระโดดขึ้นไปบนหลังของชาร์ไป่ แต่ทันทีที่พวกมันกระโดดเข้าหากันหางของชาร์ไป่ก็ยกขึ้นและตีโดนที่หัวของชินชิล่าอย่างไม่หนักไม่เบานัก ชาร์ไป่ไม่ชอบเจ้าตัวเล็กที่ส่งเสียงแหลมบนหัวของเขา ชินชิล่ารู้สึกเจ็บเล็กน้อย เจ้าแมวร้องเหมียวอย่างน่าสงสารทันทีและขอความช่วยเหลือจากโม่โม่
“มันไม่มีประโยชน์หรอกนะที่จะขอความช่วยเหลือจากฉัน ถ้าชาร์ไป่ไม่ต้องการให้เธอขึ้นไปฉันก็จะไม่บังคับ” โม่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าชินชิล่าจะน่ารักมาก แต่ชาร์ไป่ก็เป็นเพื่อนคนพิเศษของโม่โม่และไป๋อี้ยังเคยพูดทิ้งท้ายไว้ว่าอย่าเอาความเชื่อฟังของชาร์ไป่มาใช้ในการออกคำสั่งให้ชาร์ไป่ทำบางสิ่งที่เขาไม่ต้องการ
“เมี๊ยว ~!”
ชินชิล่ายังคงทำตัวเหมือนเด็กเมื่อมันได้ยินเช่นนั้นและไม่สามารถเข้าใจคำพูดของโม่โม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานดูเหมือนมันจะเริ่มเข้าใจว่าโม่โม่จะไม่ช่วยเหลือมัน
ชินชิล่าที่เข้าใจเรื่องนี้ดูซึมลงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งนาทีชินชิล่าก็กลับมากระโดกกระเดกอีกครั้งและกระโจนเข้าหาชาร์ไป่ ชาร์ไป่สะบัดหางยาวสูงขึ้นทุกครั้งที่ชินชิล่าเริ่มกระโจนปีนขึ้นมาบนหลังของเขา ระหว่างนั้นชินชิล่าขนาดเท่าฝ่ามือก็ได้วนเวียนอยู่รอบ ๆ ชาร์ไป่ที่ดุร้าย อากัปกิริยาของพวกมันทำให้คนอื่นหัวเราะออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน ชาร์ไป่ที่ดูเหมือนจะหน่ายกับความเพียรพยายามของชินชิล่า ในที่สุดก็ยอมให้ชินชิล่าปีนขึ้นไปบนหัวของตัวเอง
หลังจากที่ชินชิล่าปีนขึ้นไปบนหัวของชาร์ไป่มันก็เงยหน้าขึ้นทันทีและส่งเสียงร้องอย่างไพเราะซึ่งดูเหมือนมันจะภูมิใจมาก ขณะที่ชาร์ไป่หาวอยู่ มันก็เหล่ตาข้างหนึ่ง ซึ่งมันไม่ยอมรับว่าถูกพัวพันจนอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้เจ้าแมวขึ้นไปเพราะกลัวว่าจะโดนเจ้าตัวเล็กโจมตีใส่ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตามพวกเขาทั้งหมดอยู่ในทีมเดียวกันและจะไม่เป็นการดีถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเคร่งตึงมากเกินไป
“พูพูไม่ตามมาเหรอ?”
“พูพู พูพูพู๊!” มันพองตัวและส่งเสียงเจื้อยแจ้วสองครั้ง เมื่อมันพบจุดที่สะดวกสบายด้านหลังไป๋อี้มันก็ล้มตัวลงนอน ใครให้มันเกิดเป็นหมูล่ะ ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยขี้เกียจของมันได้จริง ๆ แต่นอกจากแง่มุมเหล่านี้แล้ว พูพูก็ยังเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน
ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเพียงไป๋อี้อยู่ที่นี่และก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาหรือไม่
“หมูตัวนี้คือสัตว์เลี้ยงของคุณเหรอ?” ทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่ในทีมข้าง ๆ ถามขึ้นเมื่อพวกเขารู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อและอดไม่ได้ที่จะเสวนากับไป๋อี้
“ใช่ พูพู เดิมทีมันเป็นสัตว์เลี้ยงเจ้าหมูลงพุง” ไป๋อี้พูดคุยอย่างสบาย ๆ ไม่เหมือนกับบุคลิกภูเขาน้ำแข็งที่ดูเหมือนเข้าถึงได้ยาก
MANGA DISCUSSION