เทือกเขาหิมะไวราราปา แน่นอนว่าลักษณะสภาพแวดล้อมของมันก็สมดังชื่อ มันเป็นหุบเขาที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหิมะสีขาวโพลน บริเวณใจกลางของเทือกเขาธารารัวเริ่มมีหิมะปกคลุมแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวผู้คนก็จะยิ่งเดินลำบากมากขึ้น บังเอิญเสียจริงที่ปัจจุบันก็คือฤดูกาลนี้พอดี แต่ทว่าพืชที่ได้รับปรสิตของเซลล์ดัดแปลงเหล่านั้นกลับไม่เหี่ยวเฉาหรือมีใบไม้ร่วงหล่นเฉกเช่นพืชธรรมดาทั่วไป พวกมันยังคงมีความอุดมสมบูรณ์เขียวขจีเป็นอย่างมากดังเดิม พื้นที่สีเขียวขจีอันกว้างใหญ่ไพศาลพร้อมทั้งมีจุดสีขาวแซมผสมอยู่ มองดูแล้วแลดูสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ถึงพวกเขาจะยังไม่ได้เข้าใกล้เทือกเขาหิมะ แต่ขณะนั้นเองก็เริ่มมองเห็นเงาร่างของมนุษย์คนอื่น ๆ บ้างแล้ว แต่ทว่าอันที่จริงสถานที่แห่งนี้ก็คล้ายกับค่ายที่เป็นจุดรวมตัวกันของสัตว์ประหลาดแห่งหนึ่งเท่านั้น
พวกเขามีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปต่าง ๆ นานา ทั้งที่มีปีก เลื้อยคลาน อยู่ในน้ำ เดินสี่ขา ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีร่างกายพื้นฐานเดิมเป็นมนุษย์ที่ได้ผสานยีนของสัตว์ตัวอื่น ๆ เข้าไปในร่างกาย และพวกเขาเหล่านี่ก็คือมนุษย์กลายพันธุ์ในปัจจุบันของนิวซีแลนด์
ถ้าหากมีเพียงหนึ่งคนหรือสองคนที่กลายเป็นรูปร่างลักษณะเช่นนี้ แน่นอนว่าอาจจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดได้ แต่ทว่าหากทุก ๆ คนล้วนกลายเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด ก็จะกลายเป็นว่าทุกคนได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดจนชิน จึงทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างไป ในทางตรงกันข้ามหากที่นี่มีมนุษย์ที่มีสภาพโดยสมบูรณ์อยู่หนึ่งคนปรากฏตัวออกมาละก็ ต่อให้คนผู้นี้จะแสนธรรมดาเช่นไรในอดีตก็ตาม คาดว่าคงจะถูกมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ล้อมวงมุงดูเป็นแน่
อย่างเช่นตอนนี้ ขณะที่กลุ่มพวกไป๋อี้กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังภายในของเทือกเขาหิมะ บริเวณรอบ ๆ ก็จะมีบางคนที่จับจ้องสายตามายังไป๋อี้และโม่โม่ ไม่ใช่เพราะพวกเขามองออกว่าไป๋อี้คือหัวหน้าของทีม แต่เป็นเพราะรูปร่างลักษณะของไป๋อี้ในตอนนี้ที่ถือว่ารวม ๆ แล้วไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นักจากเมื่อก่อน ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะบนใบหน้าและลำคอที่เปลือยออกมามีขนเส้นบาง ๆ เล็ก ๆ สีสันสดใสงอกออกมาละก็ คาดว่าคนเหล่านี้คงเข้ามาล้อมวงมุงดูเขาแล้วเป็นแน่
ขณะที่พวกเขาเดินทางมาถึงหน้าประตูทางเข้าของเทือกเขาแล้วนั้น พวกไป๋อี้จึงได้หยุดอยู่เบื้องหน้าของด่านยามรักษาการที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย
“ไม่เคยเห็นหน้าเลย คนใหม่เหรอ?” ตรงด่านนั้นมีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่ 4 คน หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นผู้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยตุ่มพุพอง ซึ่งเขาได้กล่าวสอบถามขึ้นพร้อมมองมายังพวกไป๋อี้
“ครับ พวกผมมาเทือกเขาหิมะครั้งแรก” ไป๋อี้พยักหน้า
“อย่างนี้เหรอเนี่ย ไปตรงนู้นแล้วยืนอยู่นิ่ง ๆ ถ่ายรูปก่อนเพื่อทำบัตรประจำตัวประชาชน หลังจากนั้นก็เอาเหยื่อของพวกคุณส่งมาส่วนหนึ่ง ถ้าให้เนื้อสิบกิโลกรัมต่อหนึ่งคนก็จะสามารถอาศัยอยู่ในเทือกเขาหิมะได้สิบวัน แต่ถ้าไม่อยากส่งมาให้ก็จะต้องทำงานรับจ้างก่อสร้างบางอย่างให้สำเร็จในเทือกเขาหิมะแห่งนี้แทน และแน่นอนว่าเพียงแค่พวกคุณเข้าไปภายในเทือกเขาหิมะ กลุ่มยามรักษาการของเทือกเขาหิมะของพวกเราก็จะได้รับหน้าที่ในการปกป้องดูแลความปลอดภัยของพวกคุณทันที ต่อให้เป็นคนเร่ร่อนก็จะไม่ถูกคนอื่นรังแก” คนที่มองดูแล้วหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่คล้ายกับคางคกผู้นั้นกลับมีจิตใจอบอุ่นมาก ซึ่งเขาทำตามหน้าที่โดยไม่นำเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวพัน อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้พวกไป๋อี้ลำบากใจอีกด้วย
“อย่างนั้นเหรอ ขอบคุณนะครับ”
“เรื่องเล็กน้อย เข้าใจก็ดีแล้ว ฉันชื่อว่าบัคลีย์!” บัคลีย์โบกไม้โบกมือให้ตามมารยาท และในเวลาเดียวกันก็พาพวกไป๋อี้มายังลานว่างด้านข้างด้วยเช่นกัน จากนั้นเขาก็หยิบกล้องถ่ายรูปออกมา
พวกไป๋อี้เข้าใจถึงความหมายของการดูแลปกป้องความปลอดภัยที่เขากล่าวอย่างแน่นอน นิวซีแลนด์ในปัจจุบันนี้คือโลกที่หัวใจของมนุษย์ดับขันธ์ไปแล้วแห่งหนึ่ง ถ้าหากไม่มีทีมเข้าร่วมอยู่ด้วย การอาศัยอยู่เพียงตัวคนเดียวจะเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยนัก ไม่แน่ว่าวันดีคืนดีอาจจะถูกทีมอื่น ๆ มองเป็นเหยื่อแล้วฆ่าทิ้งเป็นแน่ โลกที่ไม่มีกฎหมายก็โหดร้ายเช่นนี้ ฉะนั้นกฎหมาย ไม่สิ ไม่ต้องการกฎหมาย เพียงแค่จำเป็นต้องมีองค์กรแห่งกฎระเบียบการปกป้องขั้นพื้นฐานไว้เท่านั้น
“Hi ไม่ยิ้มสักหน่อยเหรอ?” บัคลีย์ที่อยู่ตรงข้ามฉีกปากกว้าง
เมื่อไป๋อี้และคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดีจึงทำตามอย่างที่บัคลีย์กล่าว โดยยอมเผยรอยยิ้มออกมา
“Very good เป็นรอยยิ้มที่ดูดีมากเลย มันต้องอย่างนี้สิ การใช้ชีวิตอยู่ที่นิวซีแลนด์ในตอนนี้ก็ลำบากพอแล้ว ถ้ายังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวันอยู่อีก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องอึดอัดตายแน่” บัคลีย์ยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้พวกไป๋อี้ เมื่อไป๋อี้และคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับต้องฉีกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่ายีนที่บัคลีย์ผสานเข้าไปนั้นจะขี้ริ้วขี้เหร่มากก็ตาม แต่ดูเหมือนว่านิสัยใจคอของเขาจะไม่เลวเลยทีเดียว มิน่าพวกเขาจึงได้ให้บัคลีย์รักษาการอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าเทือกเขา
“พวกเขาคือสัตว์เลี้ยงเหรอ?” หลังจากที่ถ่ายรูปให้พวกไป๋อี้ทั้งสี่คนเสร็จแล้วบัคลีย์จึงมองไปยังชาร์ไป่และพูพูด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดกันหมด แต่ทว่ายังคงมีลักษณะของมนุษย์เป็นพื้นฐานเดิมซึ่งมีความไม่แตกต่างกับสัตว์กลายพันธุ์อยู่บ้าง
“ครับ เป็นสัตว์เลี้ยง”
“พวกเขาก็ต้องถือว่าเป็นคนหนึ่งคนเหมือนกัน หวังว่าคุณจะเข้าใจนะ เพราะอันที่จริงตอนนี้ทุกคนล้วนมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งหมด ฉะนั้นเราจึงไม่ได้แยกสัตว์เลี้ยงออกเป็นอีกจำพวกแต่จะคิดเป็นรายบุคคล”
“ไม่เป็นไรครับ” ไป๋อี้พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ปลอบประโยนสัตว์เลี้ยงของพวกคุณให้ดี ๆ ฉันจะถ่ายรูปให้พวกเขา” บัคลีย์มองไปยังชาร์ไป่ด้วยท่าทางที่มีความหวาดกลัวและระแวดระวังอยู่เล็กน้อย เพราะอันที่จริงชาร์ไป่ในตอนนี้มองดูแล้วมีหน้าตาที่ดุร้ายเป็นอย่างมาก ถ้าหากตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับพวกไป๋อี้ และถ้ามันเดินร่อนเร่อยู่บริเวณด้านนอกก็คงจะถูกต้อนไล่ฆ่าไปนานแล้ว
“ชาร์ไป่ พูพู มากันทีละตัว” ไป๋อี้พูดขึ้นเลยโดยตรง
ชาร์ไป่และพูพูผลัดกันเดินเข้ามาทีละตัวแล้วยืนให้ถ่ายรูปอยู่บนลานว่าง ท่าทางที่มีนิสัยคล้ายคนเช่นนี้ทำให้บัคลีย์ประหลาดใจขึ้นมาในทันที ภายในเทือกเขาหิมะยังถือว่ามีผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ในครอบครองอยู่ แต่หากว่ามีจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น เพราะอันที่จริงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในตอนนี้ล้วนตกอยู่ในระยะดุร้ายโหดเหี้ยม อีกทั้งยังไงสัตว์ก็คือสัตว์อยู่วันยังค่ำ ผู้ใดก็ไม่อาจทราบแน่ชัดได้ว่าวันดีคืนดีมันจะหิวโหยจนเกินทนแล้วเปลี่ยนเป็นสัตว์ดุร้ายจากนั้นก็แว้งกัดเจ้าของหรือไม่
“เรียบร้อย เดินไปมอบเหยื่อตรงนู้นก็เป็นอันเสร็จแล้วล่ะ” บัคลีย์กล่าวพร้อมเก็บกล้องถ่ายรูปไว้
“ยังมีอีกหนึ่งตัวครับ”
“ฮะ?” เมื่อบัคลีย์ได้ยินดังนั้นจึงมองดูอีกครั้ง ยังมีอีกหนึ่งตัว ตรงไหนหรือ? หลังจากที่กวาดสายตามองดูเป็นเวลาชั่วครู่แล้ว บัคลีย์จึงมองเห็นลูกแมวที่หมอบอยู่บนพื้นซึ่งมันกำลังเงยหน้ามองตนเองอยู่
“เจ้าตัวน้อยนี่ปล่อยผ่านเถอะ เพราะถ้าถ่ายรูปเพิ่มอีกหนึ่งแผ่นก็จะต้องจ่ายอาหารเพิ่มอีกนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ่ายรูปให้มันหนึ่งรูปเถอะครับเพราะชินชิล่าก็คือบุคคลหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่ตัวประกอบ” ไป๋อี้กล่าว สำหรับพวกไป๋อี้แล้วนั้น การล่าสัตว์ไม่ถือว่าเป็นเรื่องลำบาก แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้เลย
“เหมียว เหมียว ๆ!” ชินชิล่าไม่ได้เข้าใจที่พวกเขาพูดมากมายแต่คล้ายกับมองออกว่าตนเองถูกมองข้ามไป จึงได้ส่งเสียงร้องข่มขู่บัคลีย์ในทันที อันที่จริงเสียงร้องของชินชิล่าเลียนแบบตามวิธีการร้องของสุนัขซึ่งชินชิล่าได้เรียนรู้ตามชาร์ไป่ แต่ครั้นเมื่อเป็นเสียงของแมวกลับฟังแล้วแลดูน่ารักน่าเอ็นดูเอามาก ๆ
“เจ้าตัวน้อยโกรธเหรอเนี่ย” บัคลีย์เผยรอยยิ้มออกมา ในเมื่อพวกไป๋อี้ยืนยันเช่นนั้น เขาเองก็คร้านที่จะพูดอะไรแล้ว เพราะเจ้านั่นที่มีลักษณะคล้ายกับจระเข้กำลังแบกเหยื่อตัวหนึ่งไว้อยู่ ซึ่งเหยื่อตัวนั้นมีขนาดมหึมาพอดู เห็นได้ชัดว่านี่คือทีมเล็ก ๆ ที่มีพละกำลังความสามารถเป็นอย่างมากทีมหนึ่ง ฉะนั้นแล้วพวกเขาคงไม่สนใจเรื่องเสบียงอาหารเพียงน้อยนิดนี้
ชินชิล่ามีรูปร่างที่เล็กมาก ดังนั้นไป๋อี้จึงอุ้มชินชิล่าไปวางอยู่บนหินก้อนหนึ่งเพื่อให้บัคลีย์ถ่ายรูปได้ใกล้ ๆ
“ยิ้มหน่อยนะ” อาจเป็นเพราะเขาพูดคำนี้จนเคยชินแล้ว ดังนั้นก่อนที่บัคลีย์จะกดถ่ายรูปจึงได้พูดประโยคนี้กับชินชิล่าด้วยเช่นกัน
“เหมียว หง่าว!” ปากเล็ก ๆ ของชินชิล่าอ้ากว้างขึ้น จากนั้นอุ้งมือน้อย ๆ ก็ยกข่วนไปยังกล้องถ่ายรูปด้วยความสงสัย ท่าทางเช่นนี้จึงได้ถูกถ่ายไว้ในทันที
“เสร็จแล้ว ไปทางนั้นเพื่อมอบอาหารนะ สำหรับรูปถ่ายจ่ายเนื้อสัตว์คนละห้ากิโลกรัม แต่อันที่จริงในตอนนี้นิวซีแลนด์ขาดแคลนอาหาร การไล่ล่าเหยื่อมาได้นั้นก็ไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าพวกคุณจ่ายเป็นกระดูกมาแทนก็ได้ จากนั้นขณะที่พักอยู่ภายในเทือกเขาหิมะต้องให้เนื้อสัตว์วันละหนึ่งกิโลกรัม ซึ่งทุกครั้งจะต้องมอบให้เป็นเวลาจำนวนสิบวันเป็นอย่างต่ำ” ในเวลานี้คนอื่น ๆ ที่อยู่ในจุดยามรักษาการก็ได้เดินออกมาจากภายในห้องเช่นเดียวกัน พร้อมเตรียมตัวเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
“ชื่ออะไร” หนึ่งในนั้นนำรูปถ่ายที่เพิ่งล้างเสร็จหยิบออกมาด้วยเวลาอันรวดเร็วและทำเอกสารสำรองข้อมูลไว้หนึ่งฉบับ จากนั้นจึงได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนอย่างเรียบง่ายขึ้นมาหนึ่งแผ่น
“ไป๋อี้ครับ!” ไป๋อี้กล่าวพร้อมฉีกยิ้มขึ้น
“ไป๋อี้เหรอ อืม ……” คนผู้นี้ใช้อุ้งมือจับปากกาแล้วบรรจงเขียนชื่อใส่บัตรประจำตัวประชาชน และทันใดนั้นเองเขาก็ชะงักไป “คุณคือไป๋อี้เหรอ?”
“ถูกครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ ๆ ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแค่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นตัวจริง คุณคือไป๋อี้จริง ๆ งั้นเหรอ?” สุดท้ายคนผู้นี้ก็ถามขึ้นอีกครั้งเพราะความไม่เชื่อ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ความจริงก็คือเมื่อก่อนนี้เคยมีคนสวมรอยเป็นคุณและหลังจากที่เจ้านั่นถูกหัวหน้าทีมเชิญเข้าไปเป็นแขกผู้มีเกียรติแล้วนั้น สุดท้ายก็พบว่าเขาโกหกทั้งเพ เรื่องหลังจากนั้นพวกคุณก็น่าจะเข้าใจดี” คนผู้นี้กล่าวขึ้น
“เรื่องสวมรอยอะไรนั่นผมไม่รู้เรื่องหรอก แต่ว่าผมคือไป๋อี้ตัวจริง” ไป๋อี้กล่าวพร้อมมอบยิ้มให้ จากนั้นจึงรับบัตรประจำตัวประชาชนมาเก็บเอาไว้
วูล์ฟ เฮลัวส์ โม่โม่ ชาร์ไป่ พูพู อันที่จริงทีมของไป๋อี้ก็เป็นตามข่าวลือเช่นนั้น แต่ทว่าภายในทีมของไป๋อี้ไม่ใช่ว่ายังมีคนอื่นอยู่อีกเหรอ บัคลีย์และอีกสามคนสอบถามพร้อมมองไปที่ไป๋อี้
“นิวซีแลนด์ในตอนนี้ มีชื่อว่าเกาะปีศาจ!”
ไป๋อี้เดาความหมายที่พวกเขาต้องการจะสื่อออก สีหน้าของเขาจึงบึ้งตึงขึ้นมา แค่พูดขึ้นมาประโยคเดียว เพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็ทำให้สภาพจิตใจของคนไม่กี่คนตรงนั้นหนักอึ้งกันหมด เป็นเช่นนั้นไม่ผิด นิวซีแลนด์ในตอนนี้มีชื่อว่าเกาะปีศาจ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยจริง ๆ อยู่เลย ถ้าหากไป๋อี้ไม่ใช่ผู้ที่มาสวมรอยละก็ แสดงว่าถึงแม้จะเป็นทีมของไป๋อี้เองก็ยังมีคนเสียชีวิตไปด้วยเช่นเดียวกัน
“เจ้านี่แหละครับ พวกคุณชั่งน้ำหนักเอาเลย จากนั้นก็คิดคำนวณไว้บนเวลาของพวกเราก็โอเคแล้ว” ไป๋อี้กล่าว จากนั้นก็เดินหันหลังไป วูล์ฟจึงได้นำสัตว์สี่ขาความยาวราว 5 เมตรกว่าบนหลัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรวางลงบนพื้นจนมีเสียงดังโครม ส่งผลให้พื้นสั่นสะท้านไปชั่วขณะ จากนั้นทุกคนจึงได้เดินทางมุ่งไปยังบริเวณภายในของเทือกเขาหิมะ
ในขณะที่พวกไป๋อี้เดินออกไปแล้วเป็นเวลานาน ในที่สุดหนึ่งในพวกเขาสามคนก็มีผู้ที่เข้าใจถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาในช่วงที่สีหน้าของไป๋อี้บึ้งตึงในตอนนั้น ซึ่งพวกเขาทุกคนล้วนรู้สึกถึงความกดดันชนิดหนึ่งซึ่งเป็นความกดดันภายในใจ สิ่งนี้คือพลานุภาพหรือไม่ พวกเขาต่างครุ่นคิดอยู่ในใจ 80 เปอร์เซ็นต์พวกเขาคิดว่าคนเหล่านั้นก็คือทีมของพวกไป๋อี้จริง ๆ สินะ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีความรู้สึกที่บีบอัดเช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาแน่
สามคนนั้นมองดูเหยื่อที่วูล์ฟโยนไว้บนพื้น … ใจกว้างขนาดนี้เชียวหรือ! พวกเขาล้วนคิดกันเช่นนี้ อันที่จริงต้องเป็นผู้ที่มีพละกำลังและความสามารถเท่านั้น ถึงจะไม่สนใจเรื่องเสบียงอาหารพรรณนี้ใช่หรือไม่
“จริงสิ ต้องไปแจ้งหัวหน้าทีมด้วย!” ในเวลานี้บัคลีย์เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้
ความจริงแล้วถ้าหากเป็นไป๋อี้จริง ๆ ก็ควรจะต้องแจ้งให้หัวหน้าทีมทราบโดยเด็ดขาด จะต้องเข้าใจว่าตั้งแต่ที่ไป๋อี้และหยูหานเผยแพร่ประกาศข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ดัดแปลงออกมาแล้วนั้น ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงที่โด่งดังอย่างมากในกลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ทุก ๆ คน อีกทั้งผู้คนเหล่านี้ยังได้มีความคิดอื่น ๆ บางอย่างอีก เช่น พวกไป๋อี้ต้องรู้ข้อมูลสำคัญที่ละเอียดกว่านี้ แต่ไม่ได้เผยแพร่มันออกมา นี่ก็คือความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป ผู้ใดก็ล้วนหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเช่นนี้ไปไม่ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพวกไป๋อี้เองยังมีข้อมูลที่สำคัญกว่าอยู่อีกจริง ๆ
ถ้าหากเป็นไป๋อี้จริง ๆ ล่ะก็พวกเขาจะต้องมีการลงมืออะไรบางอย่างเป็นแน่
แน่นอนว่าไป๋อี้เองก็คิดถึงประเด็นนี้ออกตั้งนานแล้ว คาดว่าหลังจากผ่านไปไม่นานก็คงจะมีเจ้าของเทือกเขาหิมะแห่งนี้มาเชิญพวกเขาไปพบ แต่ทว่าตอนนี้แน่นอนว่าพวกเขาไม่สนใจเรื่องอื่น พวกเขาต้องการเพียงเข้าไปดูจุดรวมตัวของมนุษย์กลายพันธุ์แห่งนี้ก่อน เพียงแค่ได้เยี่ยมชมสักหน่อยก็พอแล้ว
MANGA DISCUSSION