[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 128 ชินชิล่า
หลังจากที่ลูกแมวพบว่าแม่แมวไม่ขยับตัวแล้ว เสียงของลูกแมวก็ไล่ระดับตั้งแต่สงสัยและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเศร้าโศกเสียใจ จากนั้นก็ดุดัน เสียงร้องของลูกแมวที่ทั้งแหลมและเล็กนั้นทำให้ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย น่าเสียดายจริง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่ายังมีลูกแมวตัวนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นแม่แมวก็คงไม่ถึงขั้นต้องไปต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายจนสิ้นชีพพร้อมกับศัตรูแบบนี้
หลังจากที่ไป๋อี้ยินยอมที่จะรับเลี้ยงลูกแมวตัวนี้แล้ว โม่โม่ก็รีบร้อนอยากจะเข้าไปอุ้มลูกแมวขึ้นมาในทันที แต่ทว่าลูกแมวตัวนี้กลับแยกเขี้ยวยิงฟันแหลม ๆ เล็ก ๆ ของมันออกมาอย่างดุดันใส่โม่โม่ พร้อมยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของร่างแม่แมว
“เหมียว หง่าว!” คล้ายกับว่าลูกแมวกำลังต้องการที่จะปกป้องแม่แมวอยู่อย่างไรอย่างนั้น ถึงมันยังเป็นเด็กน้อยที่มีร่างกายจิ๋วหลิวแต่ก็กลับมีความแข็งกร้าวปนอยู่
“เฮ้อ~!” ไป๋อี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นม่านตาบุษบาผกผันของเขาก็ปรากฏออกมาก่อนจะหันไปสบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นของลูกแมว ผ่านไปสักพักลูกแมวตัวนี้ก็ค่อย ๆ เงียบสงบลงจากนั้นก็นอนหมอบอยู่บนพื้น “ถึงแม้จะเป็นเพียงสัตว์ แต่สำหรับลูกแมวตัวน้อย ๆ การล้มหายตายจากของแม่ก็โหดร้ายเกินไปสำหรับเขา ให้เขาอยู่เงียบ ๆ ก่อนสักพักเถอะ” ไป๋อี้อธิบายเนิบ ๆ
โม่โม่วิ่งเข้าไปจากนั้นก็ลูบหัวของลูกแมวอย่างระมัดระวังพร้อมทั้งอุ้มลูกแมวขึ้นมา ลูกแมวตัวนี้มีขนาดเล็กเพียงฝ่ามือเท่านั้น ซึ่งลักษณะของมันไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับลูกแมวทั่วไปเลย สำหรับนิวซีแลนด์ในตอนนี้นั้นเป็นอะไรที่พบเห็นได้น้อยมาก เมื่อพบเจอกันแล้วมันก็คือโชคชะตานำพา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ ก่อนหน้านี้แม่แมวก็ถือว่าได้ผูกโชคชะตาอันเป็นมิตรไว้กับพวกไป๋อี้แล้ว เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าขณะที่พวกเขาเพิ่งจะกล่าวไปหยก ๆ ว่าต้องการเพิ่มสมาชิกใหม่ ทันใดก็ได้รับลูกแมวหนึ่งตัวมาเลี้ยงดูเสียอย่างนั้น
ไป๋อี้และคนอื่น ๆ นำร่างศพของแม่แมวไปฝังไว้และสำหรับร่างศพของสัตว์ประหลาดตัวนั้น ก็แน่นอนว่ามันได้กลายมาเป็นวัตถุดิบของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย ณ นิวซีแลนด์ในตอนนี้ไม่ได้มีการปศุสัตว์สำหรับการบริโภคเลย และไม่มีสัตว์จำนวนมากขนาดนั้นเพื่อให้ผู้คนบริโภคกันอย่างสิ้นเปลือง
……
ลูกแมวตัวนี้เป็นแมวตัวเมีย เนื่องจากมันโดนม่านตาบุษบาผกผันของไป๋อี้สะกดไว้จึงค่อย ๆ ตกอยู่ในสภาวะหลับลึก แต่ทว่าเมื่อเทียบกับสิ่งเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ไป๋อี้สนใจมากกว่านั่นก็คือรูปร่างลักษณะของลูกแมวตัวนี้ ลูกแมวตัวนี้มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับแมวที่เลี้ยงในบ้านอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมองดูแล้วรูปร่างลักษณะของมันไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย จะต้องเข้าใจก่อนว่ารูปร่างลักษณะของแม่แมวตัวนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก เพียงแค่ลักษณะโดยรวมของมันยังมีความเป็นแมวอยู่ก็เท่านั้น
เมื่อเห็นโม่โม่กำลังจ้องมองไปยังลูกแมวอย่างระมัดระวัง ไป๋อี้จึงคาดคะเนดูว่าอันที่จริงแล้วเซลล์ดัดแปลงที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตนั้นมีคุณสมบัติอย่างไรกันแน่
หรือว่าจะไม่ถ่ายทอดสู่รุ่นหลัง?
ไป๋อี้มองลูกแมวตัวนั้นและค่อย ๆ นึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมา หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะต่อให้พวกเขาหาวิธีการแก้ไขเซลล์ดัดแปลงไม่ได้ก็ตาม แต่คนรุ่นหลังก็ยังสามารถกลับเข้าสู่สภาวะของโลกมนุษย์ปกติได้เช่นเดิม แต่ทว่าไป๋อี้ก็กลับรู้สึกว่าประเด็นนี้มันเป็นไปไม่ได้ขึ้นมา ช่างเถอะ คิดเสียว่าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเพียงข้อสงสัยชั่วคราวในใจไปก่อน วันข้างหน้าค่อยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของลูกแมวไปช้า ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือโม่โม่และชาร์ไป่กำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่?
“โม่โม่!” น้ำเสียงของไป๋อี้ไม่ดังมากแต่ทว่าโม่โม่กลับสะดุ้งตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที
“คุณพ่อ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ อ้อ อยู่ ๆ หนูก็นึกขึ้นได้ ลูกแมวตัวนี้น่าจะหิวมาก ๆ เลยนะคะ แม่แมวมาหาอาหารกลับไปให้พวกเขานี่เอง” โม่โม่นึกหาหัวข้อที่สามารถเบี่ยงเบนประเด็นขึ้นได้จึงกล่าวขึ้นมาในทันที และขณะที่โม่โม่กำลังพูดอยู่นั้นเธอก็ได้อุ้มลูกแมวขึ้นหมายจะเดินออกไปด้านนอก
“โม่โม่” น้ำเสียงของไป๋อี้ดังขึ้นมาเล็กน้อย
ฝีก้าวของโม่โม่หยุดชะงักลงในทันทีจากนั้นก็ก้มหัวลงไม่กล้าสบตามองไป๋อี้ ก่อนหน้านี้ไป๋อี้ยังมีความสงสัยอยู่แค่เพียงเล็กน้อย ครั้นตอนนี้ไป๋อี้มั่นใจแล้วว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่างกับชาร์ไป่เป็นแน่ ท่าทีของโม่โม่ชัดเจนเกินไป จริง ๆ เลยเชียวโม่โม่ แค่การแก้สถานการณ์พื้นฐานเช่นนี้ก็ทำไม่เป็นสมกับที่เป็นเด็กน้อยเสียจริง
“พูดมาเถอะ ลูกกับชาร์ไป่กำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่”
“อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรหรอกค่ะ” โม่โม่ตอบกลับเสียงเบา แต่ทว่าท่าทางแบบนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีความมั่นใจกับคำตอบของตัวเองนัก
“เงยหน้าขึ้นมามองหน้าพ่อ แล้วตอบมาอย่างจริงจัง” ไป๋อี้ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ว่าโม่โม่มีเรื่องปิดบังเขาอยู่ แต่เป็นเพราะท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ที่โม่โม่แสดงออกมานี่ต่างหาก
“ค่ะ!” โม่โม่ตอบกลับอย่างอัตโนมัติ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
หลังจากที่โม่โม่สงบสติอารมณ์ให้เป็นปกติแล้ว จึงเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในระยะนี้ของชาร์ไป่ออกมาช้า ๆ ขณะเริ่มเล่าเรื่อง โม่โม่ก็ยังคงมีความกลัวและกระวนกระวายอยู่ แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักพักเธอก็ค่อย ๆ เปลี่ยนอารมณ์กลับมาสงบนิ่งเช่นอย่างเคย จากนั้นจึงเล่าเรื่องออกมาจนหมดเปลือกตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อุปนิสัยเช่นนี้ก็คือนิสัยที่ซื่อสัตว์และบริสุทธิ์ที่ไป๋อี้ต้องการให้โม่โม่บ่มเพาะขึ้นมานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
“ชาร์ไป่ ให้ฉันดูหน่อยนะ” ไป๋อี้พูดกับชาร์ไป่
ไป๋อี้ที่ฟังโม่โม่เล่ากลับไม่ได้มีความรู้สึกโกรธเคืองหรือระเบิดอารมณ์อย่างที่โม่โม่จิตนาการไว้เลย เขามีท่าทีที่ปกติเอามาก ๆ และถึงแม้ไป๋อี้จะได้ยินเรื่องที่ว่าชาร์ไป่กินซากศพ แต่เขาก็ยังคงไม่มีความโกรธเคืองใด ๆ เกิดขึ้นเช่นเดิม อันที่จริงมันก็ไม่สมควรโกรธ ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ เพราะการเปลี่ยนแปลงของร่างกายชาร์ไป่นั้นสามารถกล่าวได้ว่าเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขาทั้งนั้น ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความย่ำแย่จริง ๆ ก็ตามแต่ก็ไม่ควรที่จะไปกล่าวโทษชาร์ไป่เลย ดังนั้นสำหรับเรื่องราวที่ยังหาต้นตอสาเหตุไม่ได้แต่ดันไปกล่าวโทษคนนั้นโทษคนนี้ ก็ไม่ได้เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลดีอะไรตามมา
เมื่อชาร์ไป่ได้ยินจึงก้าวเดินขึ้นมาสองก้าวแล้วยืนอยู่ข้าง ๆ ไป๋อี้ พร้อมให้ไป๋อี้ตรวจเช็คร่างกาย
ไป๋อี้สังเกตร่างกายของชาร์ไป่อย่างช้า ๆ เวลาปกติพวกเขาก็อยู่ด้วยกันตลอด เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นมาไป๋อี้จึงไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่ตอนนี้เมื่อไป๋อี้ได้มองสังเกตอย่างละเอียดแล้วนั้นจึงพบว่ารูปร่างลักษณะของชาร์ไป่มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนนี้
ลำตัวของชาร์ไป่ในตอนนี้มีความยาวประมาณ 4 เมตร แต่ยังไม่รวมถึงความยาวของหางที่เรียวยาวเส้นนั้นอีก ส่วนบริเวณกระดูกสะบักทางซ้ายของชาร์ไป่นั้นก็มีบางอย่างงอกโผล่ออกมาจนกลายเป็นเกราะกระดูกสีขาวซึ่งมีส่วนปลายเป็นปลายกระดูกที่แหลมคมห่อหุ้มไปทั้งครึ่งลำตัวของมัน ลักษณะเช่นนี้เพียงมองดูก็สามารถทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้ อีกทั้งขนที่อยู่บนลำตัวครึ่งบนของชาร์ไป่ก็งอกออกมาจำนวนน้อยมาก ตั้งแต่ครั้งนั้นที่มันถูกตัวทากหนวดหมึกฉีกผิวหนังชั้นนอกออก ขนบริเวณนั้นก็ไม่ได้งอกออกมาใหม่อีกเลย แต่กลายเป็นกล้ามเนื้อโผล่เปลือยออกมาภายนอกแทน ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทั้งหนาและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง แต่ทว่าถึงแม้จะเป็นผิวหนังที่แข็งแกร่งเช่นนี้แต่บนผิวหนังส่วนนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยบาดแผล
ไป๋อี้ลูบไปยังผิวหนังที่แข็งแกร่งของชาร์ไป่อย่างเบามือ รอยแผลเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานว่าพวกเขาเคยผ่านเหตุการณ์การสู้รบมาด้วยกันก่อนหน้านี้นับไม่ถ้วน
ถึงแม้ความสามารถของดวงตาคู่นั้นของไป๋อี้จะคือการสะกดจิต แต่ทว่าขณะที่เขาเบิกตากว้างความสามารถในการสังเกตของเขาก็เยี่ยมยอดมากเช่นกัน ไป๋อี้มองชาร์ไป่อย่างละเอียดลออเพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของชาร์ไป่ สุดท้ายแล้วไป๋อี้ก็ต้องยอมรับว่าลักษณะโดยรวมของชาร์ไป่นั้นดูปกติมาก ถ้าหากเมย์ริสอยู่ด้วยก็คงดี เพราะเธอเป็นแพทย์ตัวจริงและเธอยังเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสรีระร่างกายอีกด้วย
“มองไม่ออกว่ามีอะไรพิเศษออกไป ชาร์ไป่นายคิดว่ายังไงล่ะ?” ไป๋อี้ถาม
“โฮ่ง บรู๊ว!” ชาร์ไป่เห่าขึ้นมาทันที
“ขอโทษนะฉันฟังไม่เข้าใจ” เมื่อไป๋อี้ได้ยินเสียงเห่าของชาร์ไป่ก็รู้สึกจนปัญญาขึ้นมาทันที อาจเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าชาร์ไป่ได้รับฟังภาษาของมนุษย์บ่อยครั้ง ดังนั้นในตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วมันเลยสามารถเข้าใจในสิ่งที่พวกไป๋อี้พูดได้คร่าว ๆ พูพูก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่ทว่าในทางกลับกันพวกไป๋อี้กลับฟัง ‘ภาษา’ ของชาร์ไป่และพูพูไม่ออกเลยสักคำ และในเวลาชั่วครู่หนึ่งก็คิดไม่ถึงเลยว่าไป๋อี้จะมีความคิดอันแปลกประหลาดที่ว่าอยากจะให้ชาร์ไป่และพูพูเรียนรู้ตัวอักษรของมนุษย์ไปด้วยเสียเลย
“โม่โม่ ลูกมาถามชาร์ไป่หน่อย” ไป๋อี้พูดกับโม่โม่ เพราะ ณ ที่นี้มีเพียงโม่โม่ที่สามารถฟังคำพูดของชาร์ไป่ออกคร่าว ๆ ได้ซึ่งโดยรวมแล้วก็นับว่าแปลความหมายออกมาได้ถูกต้องทีเดียว
โม่โม่จึงถามคำถามกับชาร์ไป่ตามท่าทางที่สื่อออกมาของไป๋อี้ จากนั้นพวกไป๋อี้จึงรู้ว่าอันที่จริงตัวชาร์ไป่เองก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของมันกันแน่ เพียงแค่รู้สึกว่าปวดเมื่อยที่ลำคอด้านซ้ายเล็กน้อยและในเวลาเดียวกันร่างกายของมันก็รู้สึกขี้เกียจเพลียแรงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกอยากกินซากศพ ซึ่งไม่ใช่ซากของสัตว์ประหลาดที่นำมาเป็นอาหารแบบนั้น และไม่ใช่ศพสด ๆ แต่เป็นศพที่มีลักษณะเหมือนกับในเวลลิงตัน ศพที่มีกลิ่นอายของดินแดนสิงสถิตศพที่เป็นร่างกลายพันธุ์
ในส่วนที่กล่าวเกี่ยวกับอากาศ ณ ดินแดนสิงสถิตนั้นเป็นเพียงการคาดเดาเอาเองของพวกไป๋อี้เท่านั้น แต่ทว่าหลังจากที่โม่โม่สอบถามแล้ว ไป๋อี้และคนอื่น ๆ จึงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลำคอด้านซ้ายของชาร์ไป่
คิดไม่ถึงเลยว่าเกราะกระดูกที่แข็งแรงนั้นจะมีรอยร้าวปรากฏขึ้นมาด้วย และในขณะเดียวกันมันก็นูนออกมาด้านนอกเล็กน้อย ซึ่งเดิมทีไป๋อี้คิดเพียงว่านี่คือรูปร่างลักษณะแต่เดิมของชาร์ไป่อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะมาสังเกตเห็นว่าภายในของส่วนที่นูนออกมานั้นคล้ายจะมีอะไรบางอย่างกำลังงอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น ที่น่าเสียดายก็คือดวงตาของไป๋อี้ไม่ได้มีความสามารถในการมองทะลุวัตถุสิ่งของได้ จึงมองไม่เห็นว่าภายในของเกราะกระดูกที่หนาส่วนนั้นกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่กันแน่
“ก็ตามนี้แล้วกัน ชาร์ไป่นายอยากกินอะไรก็กินเลยนะ แต่ต้องหลบหลีกจากคนนอกคนอื่น ๆ และห้ามไปทำร้ายคนอื่นตามอำเภอใจเด็ดขาด” ไป๋อี้เคาะหัวของชาร์ไป่พร้อมทั้งพูดกับมัน
“จริงเหรอคะ?” โม่โม่มองไปยังไป๋อี้ด้วยความประหลาดใจ ไม่เพียงแต่โม่โม่ที่ประหลาดใจ วูล์ฟและเฮลัวส์ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าไป๋อี้จะไม่กล่าวตำหนิใด ๆ แต่กลับยอมรับพฤติกรรมของชาร์ไป่เป็นนัย ๆ เช่นนี้
“จริง ๆ” ไป๋อี้พยักหน้า
“แต่ฉันหวังว่าจากนี้ไปหากใครพบความเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามห้ามปิดบังกันเด็ดขาด บอกกันตั้งแน่เนิ่น ๆ เลยจะดีที่สุด พวกนายจะต้องรู้ว่าไม่ว่าพวกนายจะมีหน้าตาเปลี่ยนไปเป็นยังไง พวกเราก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน!” ไป๋อี้กล่าวอย่างจริงจัง
“คนในครอบครัวงั้นเหรอ!” เฮลัวส์กล่าวพึมพำเบา ๆ คนในครอบครัวที่ไป๋อี้กล่าวนั้น แน่นอนว่าจะต้องไม่เหมือนกับคนในครอบครัวโดยทั่วไปแน่ การที่พวกเขาผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งมากมาย ทำให้สามารถกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นความสัมพันธ์ที่พวกเขาทุกคนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน และเป็นครอบครัวขนาดใหญ่จริง ๆ
“แต่ยังไงซะพวกเราก็ต้องเร่งมือเพื่อตามหาเพื่อนคนอื่น ๆ กันหน่อยแล้ว ไม่ว่าจะต้องเชิญชวนเข้ามาในทีมหรือให้คนอื่นไปช่วยค้นหาก็ได้หมด อย่างน้อยพวกเราจะต้องรู้ให้ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงของชาร์ไป่นั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ถึงแม้ไป๋อี้จะยอมรับพฤติกรรมของชาร์ไป่เป็นนัย ๆ แล้วก็ตาม แต่เขาก็ต้องการรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของชาร์ไป่ให้กระจ่างแจ้ง เพราะถ้าหากว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีจริง ๆ ละก็จะต้องจัดการโดยเร็วที่สุด
ในเวลานี้พวกไป๋อี้ถึงรู้สึกว่าพวกเขากำลังขาดแคลนสมาชิกในทีมอยู่ เห็นทีว่าพวกเขาจะต้องเพิ่มสมาชิกใหม่เข้ามาในทีมอย่างจริงจังเสียแล้ว หลังจากสมาชิกใหม่เข้ามาร่วมทีมแล้วจะมีระยะห่างต่อกันหรือไม่นั้นมันคือปัญหาที่ต้องพิจารณากันต่อไปในอนาคต
ไป๋อี้คลี่แผนที่ออกมาสำรวจดู จากนั้นจึงกำหนดเป้าหมายแห่งหนึ่งขึ้นมา
หุบเขาหิมะไวราราปา!
นี่คือหุบเขาหิมะที่ค้นพบขึ้นแห่งใหม่ ณ เทือกเขาธารารัวที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเวลลิงตัน ซึ่งตอนนี้สถานที่แห่งนั้นได้กลายเป็นจุดรวมตัวกันของมนุษย์วิวัฒนาการแห่งหนึ่ง เพราะภายในของหุบเขาหิมะแห่งนี้ได้ค้นพบพืชกลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง นั่นคือมินต์น้ำแข็ง มินต์น้ำแข็ง คือ พืชชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตเป็นกลุ่มจำนวนมากซึ่งมีประโยชน์ในการทำให้จิตใจสงบ
เป็นเพราะระยะดุร้ายมีความอันตรายถึงขีดสุด เพราะฉะนั้นหลังจากที่มีผู้คนค้นพบพื้นที่ที่มีมินต์น้ำแข็งผืนนี้แล้ว มนุษย์วิวัฒนาการทั้งหลายจึงยึดหุบเขาหิมะแห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลางแล้วก่อตั้งเป็นจุดรวมตัวกัน วัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะได้เก็บเอามินต์น้ำแข็งมาบริโภคได้ในบริเวณใกล้ ๆ เพื่อใช้ในการยับยั้งระยะดุร้าย
“พวกเราไปหุบเขาหิมะไวราราปากัน” ไป๋อี้พูดขึ้นมา สำหรับสถานที่รวมตัวกันแห่งนั้น น่าจะสามารถพบมนุษย์วิวัฒนาการได้ไม่น้อย ถ้าหากได้เจอสมาชิกที่มีความสามารถล่ะก็ พวกเขาก็จะเชิญคนผู้นั้นเข้าร่วมทีมด้วยเลย
ทุกคนล้วนไม่มีข้อโต้แย้ง หลังจากที่พวกเขาเตรียมตัวกันเสร็จแล้วจึงได้ออกเดินทางมุ่งไปยังหุบเขาหิมะไวราราปา
หลังจากเดินทางเข้าสู่เส้นทางแล้วนั้น โม่โม่จึงนึกขึ้นได้ว่าต้องการตั้งชื่อให้กับลูกแมว และหลังจากที่โม่โม่เสนอชื่ออย่างแป้งกลม ตัวขน ออกมาชื่อเหล่านี้ก็ถูกปฏิเสธ เฮลัวส์จึงได้พูดเสนอขึ้นมาชื่อหนึ่ง
“ชื่อว่าชินชิล่าเถอะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่าสายพันธุ์ของลูกแมวตัวนี้ก็คือแมวพันธุ์ชินชิล่านี่นา ชาร์ไป่ก็คือสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ไม่ใช่หรือไง” เฮลัวส์พูดเชิงหยอกล้อ แต่ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าไป๋อี้และโม่โม่ต่างพยักหน้ากันอย่างจริงจัง เฮลัวส์จึงได้แต่กุมขมับไว้อย่างช่วยไม่ได้ เป็นเช่นนี้นี่เอง ไป๋อี้และโม่โม่ล้วนไม่มีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อให้สัตว์เลยจริง ๆ
ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ชื่อของลูกแมวก็เป็นเอกฉันท์แล้ว ชินชิล่า!