ขณะที่กลุ่มไป๋อี้ยืนอยู่นอกเมืองเวลลิงตัน เมื่อมองกลับไปดูจากระยะไกลทำให้เห็นว่าเมืองถูกปกคลุมไปด้วยเงาดำ พวกเขายืนเงียบ ๆ อยู่เป็นเวลานาน หลังจากนั้นไป๋อี้ก็หันกลับมาสบตาทุกคน แล้วจึงเดินออกไปข้างนอก วูล์ฟ เฮลัวส์ โม่โม่ ชาร์ไป่ และพูพูเดินตามไป๋อี้ไปทันที
……
“ไป๋อี้ ตอนนี้พวกเราจะทำอะไร?”
“มองหาคนที่มีความสามารถ เพื่อขยายกลุ่ม จากนั้นสำรวจและแก้ไขสภาพที่เป็นอยู่ของมนุษย์วิวัฒนาการทั้งหมดในนิวซีแลนด์” ไป๋อี้กล่าว หลังจากพูดแล้วทุกคนดูเหมือนจะไม่เข้าใจนัก อย่างไรก็ตามไป๋อี้ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด
“ก่อนหน้านี้ฉันหมกมุ่นอยู่กับความเกลียดชังและคิดถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่นไม่เคยหาสมาชิกคนใหม่เพิ่มเข้ามาในทีม เพราะฉันไม่ต้องการเปิดเผยความเกลียดชังนี้ไปยังคนอื่น แต่ตอนนี้แม้ว่าฉันยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะฆ่าหยูหาน แต่ความคิดของฉันแตกต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย” ไป๋อี้แตะหน้าอกของเขาและไม่ได้พูดออกมาว่าอะไรคือความแตกต่างนั้น
“แม้ว่าเราจะเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเซลล์ดัดแปลงแล้ว แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะแก้ปัญหาการกลายพันธุ์ของมนุษย์ ในทำนองเดียวกันแม้ว่ามนุษย์ที่เกิดการวิวัฒนาการเหล่านั้นจะสามารถอาศัยอยู่ในนิวซีแลนด์ได้ในขณะนี้ แต่ก็ยังห่างไกลจากชีวิตที่มั่นคงแต่เดิมก่อนหน้านี้อยู่มาก คาดว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์ที่เหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งล้านคนในนิวซีแลนด์และจำนวนลดลงอย่างมากทุกวี่ทุกวัน ช่วงเวลาที่รุนแรงในสภาวะที่เข้าสู่ระยะดุร้าย การหาอาหารและยา บางครั้งก็นำมาซึ่งความตายอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้นิวซีแลนด์สมกับชื่อเรียกในนามเกาะปีศาจจริง ๆ”
“ฉันไม่ใช่นักบุญ แต่เรารับปากกับร่างแม่แบบทดลองว่าจะทำบางอย่างเพื่อสิ่งนี้”
“ยังมีนักวิจัยจำนวนมากในนิวซีแลนด์ แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่บางคนก็ยังรอดชีวิตอยู่ สิ่งที่ฉันต้องการทำตอนนี้คือรวบรวมคนเหล่านี้และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อเริ่มการวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ดัดแปลงนี้ และพยายามแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงและความรุนแรงที่โหดร้าย นี่คือปัญหาที่ต้องเริ่มแก้ไขจากการวิจัยก่อน”
“อย่างไรก็ตามในการดำเนินการตามแผนนี้เราต้องมีสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและปลอดภัยก่อน”
“ปัจจุบันนี้พวกเรามีการกินอยู่ราวกับมนุษย์ดึกดำบรรพ์ เราต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหาอาหารในทุก ๆ มื้อและอาจมีคนตายในเงื้อมมือของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นหากไม่ระวังตัว ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะมีพลังและสมาธิในการศึกษาสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง ดังนั้นสภาพแวดล้อมที่มั่นคงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อมที่มั่นคงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างเสร็จได้ในเวลาอันสั้น ผู้ที่มีความรู้จะไม่ตายเร็วและอย่างน้อยเราต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องพวกเขาภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด” ไป๋อี้อธิบายทีละประโยค ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาไป๋อี้ได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีมาแล้ว
“ต้องปกป้องพวกเขา?”
“ใช่!”
“เราเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องยอมรับว่าความรู้ในนิวซีแลนด์ตอนนี้ยังใช้ไม่ได้มากนัก ท้ายที่สุดแล้วไม่มีสัตว์ประหลาดตัวใดที่จะพูดคุยกับเราได้เกี่ยวกับสูตรทางคณิตศาสตร์ อันที่จริงแล้วไม่ว่านักวิจัยในปัจจุบันจะมีความเก่งกาจเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยความรู้ในหัวของพวกเขา เราถึงจำเป็นต้องปกป้องเพราะพวกเขาคือความหวังของเราสำหรับอนาคต จะคาดหวังให้พวกเราที่ไม่รู้อะไรเลยศึกษาค้นคว้าวิธีฟื้นคืนสภาพร่างมนุษย์ของเราได้อย่างนั้นหรือ?” ไป๋อี้ถาม
“ฉันรู้จักเซลล์และยีน” วูล์ฟเปิดปากของเขาและพูดอย่างมีชัย
“นายรู้จักโครงสร้างเซลล์ไหม?” ไป๋อี้เผยรอยยิ้มบนใบหน้า
“เซลล์นั้นเป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของร่างกายมนุษย์ไม่ใช่หรือ ฉันเรียนมาตั้งแต่มัธยมปลายแล้วอย่าจี้จุดฉันเลย” วูล์ฟถามอย่างมีโวหาร
“ฉันรู้ว่าเซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของร่างกายมนุษย์ แต่เซลล์ยังแบ่งออกเป็น เยื่อหุ้มเซลล์นิวเคลียส เซนโตรโซม ไมโทคอนเดรีย แวคิวโอลและอื่น ๆ อีกมากมาย” ไป๋อี้พูดเรื่องนี้พลางกางมือออก “จากนั้นฉันก็ไม่รู้แล้ว แต่ฉันจำได้ว่าแค่องค์ประกอบของเซลล์มันก็ซับซ้อนมากแล้ว นายคิดว่าระดับความรู้ของเราสามารถใช้เพื่อฟื้นคืนสภาพร่างมนุษย์ได้อย่างนั้นหรือ”
“ฉันรู้ว่าเราทำไม่ได้ อย่างพูดถึงเรื่องนั้นเลย” วูล์ฟพึมพำ
“ฉันสนับสนุนข้อเสนอของไป๋อี้อย่างเด็ดเดี่ยว และจะปกป้องกลุ่มบุคลากรทางวิทยาศาสตร์” วูล์ฟตะโกนเสียงดังออกมา
“โอ้ ~!” โม่โม่ตะโกนเสียงดัง แต่บังเอิญไปสบเข้ากับดวงตาของไป๋อี้ หมดกัน โม่โม่เกิดความคิดนี้ในใจของเธออย่างลับ ๆ และจากนั้นเธอก็ดูเศร้าเหงาหงอยลง แน่นอนว่าไป๋อี้กำลังจ้องไปที่โม่โม่และในที่สุดก็เผยยิ้มออกมา
“โม่โม่หนูก็คิดว่าถูกต้องแล้วเหรอ งั้นต่อไปต้องตั้งใจเรียนรู้ให้มากขึ้นอีกหน่อย”
“ค่ะ~!” หนูน้อยตอบกลับอย่างเห็นด้วย แต่ครั้งนี้โม่โม่มีอากัปกิริยาราวกับมะเขือยาวที่หลุดร่วงอย่างโล่งอก
เฮลัวส์มองดูอย่างขบขันอยู่ข้าง ๆ หนูน้อย โม่โม่มีความประพฤติที่ดีมาก แต่เธอไม่ชอบเรียนรู้เช่นเดียวกับเด็ก ๆ หลายคน โม่โม่ไม่ชอบอ่านหนังสือเรียนที่น่าเบื่อเหล่านั้น ตรงกันข้ามตอนนี้โม่โม่ชอบใช้มีดสั้นสับและเฉือนไปทุกหนทุกแห่งเพื่อฝึกฝนทักษะมีดสั้นของเธอ น่าเสียดายที่ไป๋อี้ไม่ได้จัดวินัยในการฝึกดาบของโม่โม่ แต่เขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายความเข้มข้นในการฝึกฝนเลย สิ่งที่โม่โม่กลัวที่สุดตอนนี้คือการที่พ่อของเธอจะกักตัวเธอไว้ให้เรียนหนังสือ
โม่โม่มองเฮลัวส์โดยหวังว่าป้าเฮลัวส์จะช่วยเธอได้ แต่เฮลัวส์กลับยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
โม่โม่เห็นท่าทีของเฮลัวส์แล้วจึงมองไปที่วูล์ฟ ชาร์ไป่ และพูพู ลืมมันไปเถอะ ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนตอนที่เวอร์เนอร์อยู่ด้วย เธอยังสามารถรวมตัวกับเพื่อนของเธอเพื่อต่อต้านความเข้มงวดของไป๋อี้หรือเข้าไปออดอ้อนป้าเมย์ริสอะไรทำนองนั้น แต่ตอนนี้เธอตัวคนเดียวเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น เราไปเอาของที่เราเก็บเอาไว้ก่อน” ไป๋อี้พูด ก่อนเข้าสู่เวลลิงตันไป๋อี้และคนอื่น ๆ ได้เก็บของใช้ในชีวิตประจำวันไว้ในที่เดียว ซึ่งในตอนนั้นท้ายที่สุดไป๋อี้และเพื่อน ๆ ได้ตัดสินใจที่จะหาทางแก้แค้น เมื่อพวกเขาเข้าไปในเวลลิงตัน นั่นจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้าเมืองพร้อมเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตจำนวนมากอย่างนั้น
……
เมื่อโม่โม่เห็นว่าเข้าใกล้สถานที่ที่ใส่หนังสือเรียนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
สถานที่ที่ไป๋อี้วางสิ่งของไว้นั้นอยู่ในบ้านที่ถูกปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้ซ่อนไว้ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะเข้าใกล้ไป๋อี้เหล่ตาและทุกคนก็สังเกตเห็นว่ามีคนเคยมาเยือนที่นี่
ดวงตาของไป๋อี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยและรูม่านตาระยะแรกก็ขยายออก
ระยะแรกดวงตาของไป๋อี้ไม่ได้ร้ายกาจมากนัก แต่การมองเห็นของเขาพิเศษกว่าคนปกติ มุมมองของคนธรรมดามีเพียง 120 องศา แต่ในที่นี้ไป๋อี้สามารถมองเห็นโดยรอบถึง 180 องศา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไป๋อี้สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่สะท้อนในดวงตาของเขาในสถานะนี้ได้ ทั้งหมดถูกจับตามองได้อย่างชัดเจนไม่เหมือนกับพื้นที่แคบ ๆ อย่างสายตาของคนธรรมดา
เขาไม่พบศัตรูโดยรอบ ไป๋อี้เข้ามาในห้อง จากนั้นก็เห็นสิ่งของกระจัดกระจายถูกโยนลงพื้นและไฟที่ดับลงแล้วอยู่ที่มุมห้อง
บ้าเอ๊ย จริง ๆ เลย!
ไป๋อี้ส่ายหัว แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะโยนสิ่งของกระจายไปรอบ ๆ แบบนี้ ไป๋อี้หยิบมีดทำครัวสกปรกบนพื้นขึ้นมาอย่างทำอะไรไม่ถูก มีดทำครัวเหลืออยู่สองเล่มและหม้อที่ใช้ใส่อาหารยังอยู่ตรงนั้น อีกทั้งมีอาหารเหลืออยู่ในนั้นด้วย
ในตอนนี้ เฮลัวส์และโม่โม่ก็เดินตามเข้ามา มีเพียงรูปร่างอย่างพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างง่ายดาย
“เกิดอะไรขึ้น?” เฮลัวส์ถาม
“มีใครบางคนมาที่นี่และทำให้ที่นี่ยุ่งเหยิงไปหมด” ไป๋อี้กล่าว ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องพูดออกมา แต่แค่ดูจากสถานการณ์ที่ปรากฏก็สามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ต้องมีคนพยายามหาของอะไรดี ๆ จากที่นี่แน่ ๆ แต่อันที่จริงจะมีใครที่ไหนนำเอาของดี ๆ มาวางไว้ที่นี่แบบโล่งโจ้งเช่นนี้กัน
โม่โม่มองไปที่กองไฟตรงนั้น ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้น รอบกองไฟยังมีหน้ากระดาษอีกสองสามหน้าที่ยังเผาไม่หมด โม่โม่ไม่คุ้นเคยกับมันนัก นั่นคือ “หนังสือเรียน” ที่เธอใช้เรียนตามปกติ
โอ้ นั่น!
โม่โม่กำหมัดแน่นทันทีด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ส่งเสียงเชียร์อยู่ในใจลึก ๆ
เผาได้ดี ทำได้สวยงาม!
นิวซีแลนด์ตอนนี้ไม่ใช่สังคมแบบที่เคยเป็นมา สภาพแวดล้อมย้ำแย่มาก หากไม่มีเงื่อนไขที่เหมาะสมแม้ว่าไป๋อี้อยากควบคุมให้โม่โม่เรียนหนังสือ แต่ก็คงจดจ่ออยู่ได้ไม่นาน เป็นไปได้ไหมที่จะวาดเขียนบนพื้นดิน ทำอย่างไรมันคงไม่สามารถผสมให้เข้ากันได้ ตราบใดที่หนังสือเรียนและหนังสือแบบฝึกหัดถูกเผาคาดว่าโม่โม่คงจะขี้เกียจไปอีกนาน
“หึ ดีใจมากใช่ไหม” ไป๋อี้ดีดที่หัวโม่โม่เบา ๆ
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ ……” โม่โม่กุมหัวพลางยิ้มอย่างเงียบ ๆ ไป๋อี้ใช้ม่านตาบุษบาผกผัน ความดีใจของโม่โม่ในตอนนี้ไม่สามารถหลบเล็ดลอดสายตาของไป๋อี้ไปได้ เห็นได้ชัดว่าโม่โม่ดีใจมากที่พบว่าหนังสือตำราของเธอถูกเผาไปแล้ว สำหรับเรื่องนี้ไป๋อี้ไม่สามารถช่วยได้ โม่โม่ไม่ชอบเรียนหนังสือและไป๋อี้ก็ไม่สามารถฝืนใจเธอได้ อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องมีการศึกษาขั้นพื้นฐานแม้ว่าสภาพแวดล้อมในตอนนี้จะย่ำแย่มากก็ตาม แต่ไป๋อี้ก็ไม่ต้องการให้โม่โม่กลายเป็นคนไม่รู้หนังสือในอนาคต
ทันใดนั้นโม่โม่ก็มองไปในทิศทางหนึ่ง
ไป๋อี้รู้สึกตัวเล็กน้อยและมองไปที่นั่น เขาพบว่ามันเป็นเพียงมุมห้อง ด้านหลังคือกำแพงจากนั้นก็มีพื้นที่โล่ง ไม่มีสิ่งของอะไรเลย
“มีอะไรเหรอ?”
“วิญญาณ!” โม่โม่มองไปยังสถานที่ตรงนั้นและพูดเบา ๆ จากนั้นก็เดินไปช้า ๆ
“วิญญาณ?” ไป๋อี้เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของโม่โม่จากนั้นก็จำลองตำแหน่งของวิญญาณในความคิดของเขา แต่น่าเสียดายที่สถานที่นั้นว่างเปล่าเสมอในสายตาของไป๋อี้
โม่โม่ปิดริมฝีปากเล็กน้อยราวกับว่าเธอพูดอะไรบางอย่างต่อหน้าวิญญาณหลังจากนั้นไม่นานการแสดงออกบนใบหน้าของโม่โม่ก็ค่อย ๆ หดหู่ลง
“มันกำลังจะหายไป” โม่โม่มองไปที่พ่อของเธอ
“หายไปเหรอ?”
“ค่ะ หนูอยากคุยกับเขา แต่เขาแตกต่างจากวิญญาณในเวลลิงตัน เขาอ่อนแอมากและดูโปร่งใส เขาไม่มีความรู้สึกที่แท้จริงแม้แต่ความคิดพื้นฐานก็ขาดหายไป” โม่โม่อธิบาย “หนูรู้สึกได้ว่าเขากำลังจะหายไป” โม่โม่กล่าวเสริมอีกครั้ง
“จริงเหรอ” ไป๋อี้ลูบหัวน้อย ๆ ของโม่โม่แล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
สำหรับจิตวิญญาณไป๋อี้และคนอื่น ๆ ยังไม่รู้เรื่องนี้มากนัก แต่เนื่องจากสายตาของโม่โม่เปลี่ยนไปเธอถูกกำหนดให้มองเห็นโลกที่แตกต่างจากสายตาของคนทั่วไป ไป๋อี้จึงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโม่โม่ในอนาคต แต่ตอนนี้ที่เขาอยู่ที่นี่เขาต้องการให้โม่โม่มีความสุขในโลกใบนี้
MANGA DISCUSSION