[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 120 ดวงตาต้องคำสาป
สามวันต่อมาภายในอาคารด้านนอกของเวลลิงตัน ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยุ่งอยู่กับการจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ อยู่ภายในห้อง เธอกำลังบดขยี้ดอกไม้มรณะที่เหี่ยวเฉาจนแหลกละเอียดและได้นำมันมาผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ อีกหลายชนิด จากนั้นจึงยกยาที่ปรุงเสร็จแล้วไปให้กับคนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งสามคน
หลังจากตกอยู่ในสถานการณ์ที่โหดร้ายทารุณ แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ยังคงสู้รบกันอยู่ในใจกลางเมืองแต่ทว่าเหมือนโชคเข้าข้างหยูหานและอดัมส์ เขาสามารถหนีออกมาได้ด้วยความโชคดีและได้พบเข้ากับหญิงสาวคนนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าหยูหานและคนอื่น ๆ แท้ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นคนแบบไหน แต่หญิงสาวคนนี้ก็ยังคงช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ด้วยความใจดี
ทันใดนั้นเองหยูหานก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา มือซ้ายของเขาอยากที่จะเอื้อมไปด้านหน้าแต่อย่างไรก็ตามหญิงสาวผู้นี้กลับเหลือบมองมาทางเขาอย่างไม่เห็นด้วย นิ้วของหยูหานค่อย ๆ ขยับเล็กน้อยแต่เขาไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้เลย ตอนนี้ร่างกายของเขาเจ็บปวดเป็นอย่างมากราวกับร่างกายกำลังจะฉีกขาดอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณเป็นใคร ตอนนี้คุณคงกำลังตื่นกลัวอยู่ แต่มันก็เปล่าประโยชน์เพราะจิตวิญญาณของพวกคุณได้รับบาดเจ็บจากวิญญาณที่ชั่วร้าย การที่พวกคุณยังมีชีวิตอยู่นั้นถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว ดื่มยานี้สักหน่อยเถอะ นี่คือยาที่ปรุงจากดอกไม้มรณะ มันจะทำให้อบอุ่นขึ้นและค่อย ๆ หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของพวกคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิฉะนั้นพวกคุณอาจจะต้องตายจากการบาดเจ็บในส่วนอื่น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย” หญิงสาวได้พูดขึ้น
“คุณเป็นเภสัชกรปรุงยาเหรอ?”
“ในเวลาแบบนี้คุณควรจะเป็นห่วงพวกเขาไม่ใช่เหรอ?” หญิงสาวได้ถามขึ้น
หยูหานได้หันหน้าไปด้านข้างและเขาเพิ่งจะเห็นว่าอดัมส์และหนิงเสวี่ยก็ได้นอนอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน เมื่อได้เห็นหนิงเสวี่ย นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววแห่งความเศร้าใจในทันที ผู้หญิงคนนี้ที่คอยติดตามเขามาตลอดเพื่อจะทำให้ชีวิตของตัวเองมีค่าขึ้น ผ่านไปได้ไม่นานหยูหานก็ได้เห็นว่าหญิงสาวคนนั้นได้นำยาที่ปรุงจากดอกไม้มรณะค่อย ๆ กรอกเข้าปากของหนิงเสวี่ยอย่างช้า ๆ
“หนิงเสวี่ยตายไปแล้ว คุณยังจะทำอะไรเธออีก?”
“ตายแล้วเหรอ? ใครบอกว่าเธอตายแล้ว ถึงแม้ว่าสภาพของเธอจะดูแปลกไปสักหน่อยแต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเธอยังมีชีวิตอยู่” หญิงสาวส่ายหัว ถึงแม้ว่าหยูหานจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าแท้ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้มันทำให้เกิดแสงสว่างภายในใจเขาอย่างไม่ต้องสงสัย “เธอยังไม่ตายจริง ๆ ใช่ไหม?” น้ำเสียงของหยูหานได้เผยออกมาอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น
“ไม่! ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ตาย” หญิงสาวได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
หนิงเสวี่ย แม้หัวใจของเธอถูกแทงทะลุถึงเพียงนั้นแต่คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะยังคงมีชีวิตอยู่ ราวกับว่ามีพลังแห่งชีวิตอีกชีวิตหนึ่งกำลังเกื้อหนุนร่างของเธออยู่อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งตำแหน่งที่ว่าก็มาจากบริเวณหน้าท้องของเธอเอง
ในครรภ์ของหนิงเสวี่ยมีอายุนานกว่าเก้าเดือน ตัวอ่อนไม่ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์เนื่องจากอิทธิพลของเซลล์ดัดแปลงหลั่งพลังชีวิตที่ไม่อาจจินตนาการได้ออกมาและยังคงความมีชีวิตชีวาของหนิงเสวี่ยไว้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ได้ส่งผลแปลก ๆ ต่อตัวอ่อนนี้ด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นอย่างไร
ไม่นานหลังจากที่ยานั้นถูกกรอกลงไปในปากของอดัมส์ เขาก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่เขาตกอยู่ในอาการหวาดผวาอีกครั้งเขาก็ได้มองไปที่หยูหาน ถึงแม้ว่าจะจำไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้วเขาก็สามารถหวนนึกไปถึงจุดจบของเพื่อนคนอื่น ๆ ของเขาได้ว่าผลสุดท้ายมันเป็นอย่างไร
“หยูหาน!” อดัมส์ได้มองไปยังหยูหาน เหมือนกับว่ากำลังเฝ้ารอคำตอบของเขาอยู่
————————————————
ฝันร้ายที่ราวกับกำลังจะเกิดขึ้นจริงปลุกให้ไป๋อี้ตกใจตื่นขึ้นมาจากความฝัน หลังจากนั้นไม่นานดวงตาที่หมองคล้ำของไป๋อี้ก็ค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิมอย่างช้า ๆ ในตอนนี้ไป๋อี้ยังไม่ฟื้นอย่างเต็มที่ หลังจากผ่านไปได้ไม่นานสมองของเขาก็ได้นึกถึงเหตุการณ์รุนแรงก่อนหน้านี้ขึ้นมา
เนื่องจากม่านตาบุษบาผกผันของไป๋อี้ ดังนั้นการตอบโต้ที่รุนแรงสำหรับภายในตัวของไป๋อี้จึงเป็นทางที่ดีที่สุด นอกจากวูลฟ์ที่เข้าสู่ระยะดุร้ายมาหลายครั้ง ซึ่งภายหลังเขาก็ได้รับการควบคุมเป็นอย่างดี ส่วนไป๋อี้และเมย์ริสพวกเขาไม่เคยเข้าสู่ระยะดุร้ายรุนแรงเลยสักครั้ง
แต่ครั้งนี้ไป๋อี้ได้เข้าสู่ระยะดุร้ายรุนแรงอย่างจริงจัง และได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างสมบูรณ์
ดวงตาของไป๋อี้เบิกกว้าง สมองของเขาเจ็บปวดราวกับถูกทุบให้แตก ในการเข้าสู่ระยะดุร้ายเช่นนี้แท้ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ ไป๋อี้พยายามจะลุกขึ้นแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายของเขาเหมือนกับกำลังจะฉีดขาดออกเป็นชิ้น ๆ ไปทั้งตัวและเกิดความความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนทานได้หากเขาขยับตัวเพียงนิดเดียว แต่ทว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่ได้รุนแรงมากเท่าไรนัก
บาดแผลแห่งจิตวิญญาณ!
ไป๋อี้เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามฝืนตัวเองอีกครั้งและพบว่าไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเขาก็ขยับศีรษะ เพื่อดูสถานการณ์โดยรอบ และเมื่อเขาเพิ่งจะหันไปดูรอบ ๆ ได้ไม่นานเขาก็เจอสมองที่แห้งกรัง ถึงแม้ว่าเขาคือไป๋อี้แต่ภายในจิตใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงันในบัดดลด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็ได้สังเกตการณ์สถานการณ์ภายนอกอย่างระมัดระวัง นั่นจึงทำให้เขาค้นพบว่าที่ที่เขานอนบาดเจ็บอยู่นี้ มันคือที่ไหนกันแน่ มันคือใจกลางของเมืองเวลลิงตันและเนินเขาที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้าแท้ที่จริงแล้วมันคือกองศพที่นอนสุมกันอยู่
ตอนนี้ไป๋อี้ได้ล้มลงเหนือใจกลางเนินของกองซากศพขนาดใหญ่
ไป๋อี้ค่อย ๆ คลายลมหายใจที่อ่อนแรงและรอให้ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นกลับมาแข็งแรงอย่างช้า ๆ
เขาหยุดนิ่งอยู่นาน จากนั้นจึงค่อย ๆ ปีนป่ายขึ้นไปด้านบนเพื่อหาร่องรอยของคนอื่น ๆ เขาพยายามปีนขึ้นไปอย่างช้า ๆ แต่ทว่ายังไม่ทันปีนไปได้ไกลเท่าไหร่นักเขาก็ได้เห็นซากศพที่สดใหม่ที่ดูเหมือนเพิ่งตายได้ไม่นาน ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสมาชิกของทีมหยูหาน แต่ในตอนนี้สภาพศพของเขามีดวงตาที่เบิกกว้างและปูดออกมาราวกับว่าก่อนที่เขาจะตาย เขาได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
ในไม่ช้า ไป๋อี้ก็ได้มองเห็นวูฟล์ที่นอนอยู่บริเวณนั้น ภายใต้ความตื่นเต้นเขาจึงพยายามปีนขึ้นไปอย่างเร่งรีบเพื่อที่จะไปหาวูลฟ์ให้เร็วที่สุดและเมื่อถึงตัววูฟล์เขาจึงพบว่าวูลฟ์นั้นยังคงหายใจอยู่ หลังจากที่วูลฟ์ได้เห็นไป๋อี้ เขาก็พยายามอ้าปากเพื่อที่จะกัดไป๋อี้แต่ทว่าตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่อ้าปากค้างไว้เท่านั้นแต่กลับไม่สามารถขยับมันได้ โดยในตอนนี้วูฟล์นั้นยังไม่ฟื้นตัวตื่นขึ้นจากสภาวะดุร้ายและจิตวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บของเขานั้นมันหนักหนาสาหัสกว่าไป๋อี้เป็นอย่างมาก
ไป๋อี้พยายามค่อย ๆ คลานต่อไปโดยไม่หยุด และใช้เวลาไม่นานเขาก็ได้พบกับคนอื่น ๆ อีกทีละคน ๆ
แต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ เขาไม่เจอศพของหยูหานและหนิงเสวี่ย ส่วนโม่โม่และเวอร์เนอร์ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาหนีไปไหนแล้ว นอกจากนี้ยังมีคนอื่น ๆ อีกสองสามคนที่ยังหาไม่พบ
ในที่สุดไป๋อี้ก็ได้คลานไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เมย์ริส และเป็นเวลานานที่น้ำตาของเขาได้หลั่งไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างอย่างไม่ขาดสาย
เมย์ริส ……… ตายแล้ว!
ไป๋อี้ไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุที่เมย์ริสเป็นแบบนี้นั้นมันเกิดจากความเจ็บปวดของจิตวิญญาณที่ดุร้ายหรือเกิดจากการต่อสู้ระหว่างพวกหยูหาน แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดก็คือเมย์ริสได้ตายไปแล้วจริง ๆ ไป๋อี้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่ทว่าเขาก็ไม่สามรถทำได้ ตลอดเวลาที่เขาเข้ามาอยู่ในนิวซีแลนด์ก็มีรุ่นพี่คนนี้ที่คอยดูชี้แนะเขาเป็นอย่างดีมาเสมอ แต่ทำไมเขากลับต้องมานอนตายอยู่แบบนี้
เมย์ริสได้ตายไปแล้ว และเพื่อนที่ดีอย่างหนิงเสวี่ยก็ตายไปแล้วด้วยน้ำมือของเขา วูลฟ์กับชาร์ไป่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ส่วนโม่โม่และเวอร์เนอร์พวกเขาได้หายสาบสูญไปเสียแล้ว ทุก ๆ คนล้วนหลงเข้าไปในภวังค์แห่งการแก้แค้นและในที่สุดก็เกิดผลลัพธ์ที่น่าเศร้าสลดเช่นนี้
ในตอนนี้ภายในใจของไป๋อี้นั้นสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาตำหนิตัวเองอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดและความรู้สึกทุกอย่างกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่กลับกันสีหน้าของไป๋อี้ที่แสดงออกมานั้นเฉยชาและไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นเองไป๋อี้ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขามองไปยังบนท้องฟ้าที่มีจันทร์แรมปรากฏอยู่บนนั้นอย่างไม่ละสายตา แสงของพระจันทร์ได้ส่องแสงสะท้อนกลับเข้ามาในแววตาของไป๋อี้ราวกับว่ามันได้จ้องมองไป๋อี้กลับมาเช่นเดียวกับที่เขากำลังจ้องมองมันอยู่ ชั่วพริบตาเดียวไป๋อี้ก็ตกอยู่ในสภาวะที่ถูกสะกดจิต
ลวดลายสีสันบนร่างกายของไป๋อี้เริ่มค่อย ๆ หายไปอย่างช้า ๆ อีกครั้งและไหลมาบรรจบกันที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา
หลังจากผ่านไปสิบนาทีดวงตาของไป๋อี้ก็กลับมาเป็นปกติ เขาตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งการสะกดจิตของดวงจันทร์ ไป๋อี้รู้แน่ชัดแล้วว่าดวงตาทั้งสองข้างของเขาได้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นอีกขั้น อารมณ์ด้านลบที่พลุ่งพล่านรุนแรงได้กลายมาเป็นตัวกระตุ้นทำให้ดวงตาของเขาเกิดการวิวัฒนาการขึ้นอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาแสดงออกราวกับว่าไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เขากลับรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
ในทุก ๆ ครั้ง ราวกับว่าเลือดของเพื่อนได้กลายมาเป็นต้นตอของการวิวัฒนาการในดวงตาของเขา
ดวงตาคู่นี่เป็นดวงตาต้องสาปอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตามเขายังคงต้องพึ่งพาดวงตาคู่นี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับโลกที่โหดร้ายในตอนนี้หรือต้องเดินไปตามเส้นทางแห่งการแก้แค้น จนกว่าเขาจะสามารถฆ่าหยูหานได้จริง ๆ
……
ไป๋อี้นอนมองพระจันทร์อย่างเงียบงันด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับว่าเขายังไม่อยากขยับตัวไปไหนในตอนนี้
แต่ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงเหมือนสิ่งมีชีวิตกำลังสะบัดปีก เขาได้ยินเสียงการกวัดแกว่งเกิดขึ้นเบา ๆ ไป๋อี้จึงมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นในทันที จากนั้นเขาจึงพบว่าด้านบนของกองศพนั้นมีต้นไม้ขนาดใหญ่และมีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่เหลืออยู่บินไปตามกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่นี้อย่างช้า ๆ เมื่อเขาเห็นผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้บินมาทางเขาไป๋อี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ไป๋อี้ยังไม่ลืมภาพก่อนหน้านี้ที่กลุ่มผีเสื้อเหล่านี้ได้ดูดกินจิตวิญญาณทั้งสี่
อย่างไรก็ตามในเวลานี้โม่โม่ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนที่ด้านบนกองศพ ใบหน้าเปื้อนเลือดของเธอเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง ดวงจันทร์ข้างแรมได้ส่องแสงจันทร์อ่อน ๆ ทอลงมาแสดงให้เห็นถึงแสงจันทร์สีขาวสะอาดราวกับว่ามันกำลังส่องแสงจากด้านหลังโม่โม่ แสงจันทร์สีขาวซีดได้ส่องมายังกองศพจึงทำให้เห็นซากศพที่แห้งกรังเหล่านี้ได้อย่างเต็มตา ซากศพเต็มไปด้วยเลือดและทำให้รู้สึกเศร้าใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า โม่โม่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงกลางที่รอบข้างถูกล้อมด้วยกองศพที่ทับถมกันเป็นภูเขา สีหน้าของเธอดูอ่อนแอและงุนงงเป็นอย่างมาก
“พ่อ!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก ไป๋อี้จึงรีบมองขึ้นไปยังด้านบนโดยทันที เขาเห็นเพียงเงาของโม่โม่ที่สะท้อนจากแสงจันทร์ เนินเขากองศพกองสุมอยู่ภายใต้เท้าของเขา มีเพียงต้นไม้ใหญ่ด้านหลังเท่านั้นที่ราวกับว่ามันได้ดูดซับสารอาหารทั้งหมดจากซากศพจึงทำให้มันได้เติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ในสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าดอกไม้จะเบ่งบานสะพรั่งและสวยงามได้เพียงนี้
ดอกไม้เหล่านี้สวยงามเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเป็นการผลิบานจากชีวิต สายลมที่พัดผ่านมาซึ่งไม่ตรงตามฤดูกาลและไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้นทำให้กลีบดอกไม้ที่มีลักษณะแปลกประหลาดแต่กลับสวยงามค่อย ๆ ร่วงหล่นสู่พื้นดิน ดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นเหล่านี้ประกอบกับเหล่าบรรดาผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่ค่อย ๆ บินอย่างช้า ๆ ปรากฏกลายเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างมาก เมื่อโม่โม่มองเห็นไป๋อี้ ทันใดนั้นน้ำตาของโม่โม่ก็ได้ไหลออกมาเป็นทางในทันที
สถานการณ์ในตอนนี้เป็นฉากที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันดูราวกับเวลาได้หยุดนิ่งอยู่แบบนั้น ในช่วงเวลานี้แสดงให้เห็นว่าโม่โม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีกครั้ง
“พ่อ พ่อ!” โม่โม่ทิ้งตัวลงมาจากกองศพและได้ตกลงมาภายในอ้อมกอดของไป๋อี้ เธอร้องเรียกออกมาเสียงดังลั่น เมื่อโม่โม่ตื่นขึ้นนั่นจึงทำให้เหล่าผีเสื้อกลืนกินวิญญาณได้ยินคำพูดของเธอ พวกมันจึงไม่ได้ดูดกินวิญญาณของไป๋อี้ โม่โม่เหวี่ยงตัวเข้าไปในอ้อมแขนของไป๋อี้ และเอาแต่ร้องไห้เสียงดังจ้าอย่างไม่เกรงใจใคร เสียงร้องไห้อันไร้เดียงสาดังไปทั่วบริเวณนั้นราวกับว่าเธอกำลังเล่าถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้
ดวงตาของไป๋อี้เอ่อล้นเต็มไปด้วยน้ำตา มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด นี่เป็นการโทษตัวเองหรือความสุขกันแน่?
ไป๋อี้ไม่รู้เลยว่าเขาจะอธิบายอารมณ์ความรู้สึกตอนนี้ของเขาออกมาอย่างไร มันแปลกมากจริง ๆ อารมณ์ทุกอย่างปะปนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ความปนเปเหล่านี้ทำให้เขาร้องไห้ออกมาต่อหน้าโม่โม่อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก