ไป๋อี้และคนอื่น ๆ เคลื่อนย้ายศพของชอว์และอีกสี่คนไปยังด้านนอก จากนั้นก็ขุดหลุมฝังศพอย่างเรียบง่าย อย่างไรก็ตามมีสุสานขนาดใหญ่อยู่ด้านนอกห่างออกไปไม่ไกล สำหรับสถานการณ์ของพวกชอว์นั้น พวกกลุ่มของไป๋อี้ก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกอะไร เพียงแค่รู้สึกเวทนาเล็กน้อย พวกเขายังมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์อยู่บ้าง
ใช่ พวกเขาช่างน่าเวทนา!
คาดว่าตอนนี้ในนิวซีแลนด์มีมนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งล้านคน ถึงแม้ว่าจำนวนประชากรทั้งหมดของนิวซีแลนด์ก่อนหน้านี้จะมีไม่มากนัก แต่ว่าก็มีถึงห้าล้านเกือบหกล้านคนโดยประมาณ ในเวลาเพียงเก้าเดือนประชากรมากกว่า 80% เสียชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นแม้กระทั่งตอนนี้มนุษย์กลายพันธุ์ยังคงอยู่ในความหวาดระแวงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะกลัวว่าจะเจอกับสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการที่เป็นอันตรายบางชนิดได้ ถ้าหากไม่ระมัดระวังตัวคงเอาชีวิตไม่รอดแน่ ๆ อีกทั้งยังต้องคอยเป็นกังวลว่าหากตัวเองเข้าสู่ระยะดุร้ายแล้วจะไม่สามารถฟื้นคืนสติกลับมาจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีสติสัมปชัญญะขึ้นมาจริง ๆ
นิวซีแลนด์ในปัจจุบันนี้ มนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดล้วนมีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวงและต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว
ถึงแม้ภายในไม่กี่เดือนนี้พวกไป๋อี้จะได้เจอกับความอันตรายมามากมาย แต่ด้วยความโชคดีและรวมถึงการตอบสนองที่ทันท่วงทีนั่นจึงทำให้ท้ายที่สุดจึงยังไม่มีใครตายจากไปก็เท่านั้น แต่ถ้าหากคิดว่าเมื่ออยู่ในนิวซีแลนด์แล้วพวกไป๋อี้จะสามารถทำตัวกร่างได้ล่ะก็มันคือความเข้าใจที่ผิดมหันต์ ฉะนั้นเมื่อเห็นชอว์และคนอื่น ๆ ต้องมาเสียชีวิตไป พวกไป๋อี้จึงมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์เช่นกัน
สิ่งที่ร่างแม่แบบทดลองกล่าวว่าต้องชดใช้ต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งใบ และนิวซีแลนด์ในตอนนี้กลับมองไม่เห็นความหวังนั้นเลยแม้แต่น้อย
……
“โม่โม่ให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้ตามพวกเราไปด้วยได้ไหม?” ไป๋อี้ถามขึ้น เมื่อสักครู่มีผีร้ายสองตนตามเข้ามา ผลก็คือไม่นานพวกมันก็ถูกผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้ดูดกินจนสิ้น ผีร้ายที่ตามมาเบื้องหลังราวกับว่ารู้สึกเกรงกลัวตามสัญชาตญาณจึงไม่ได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ หากว่าออกเดินทางโดยพาผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้ไปด้วยละก็การเดินทางในเมืองผีแห่งนี้คงจะราบรื่นขึ้นมาก ๆ
“พ่อยอมให้เลี้ยงพวกเขาแล้วเหรอคะ?” โม่โม่ถามขึ้นด้วยความดีใจ
“พ่อถามว่าพาพวกเขาไปด้วยได้หรือเปล่า สำหรับการเลี้ยงดูพ่อไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งนี้ต้องเลี้ยงดูให้อาหารยังไง” ไป๋อี้อธิบาย สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งค้นพบใหม่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้ง่ายขนาดนั้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของตาคู่นั้นของโม่โม่ก็เกิดขึ้นตั้งแต่เข้ามาในเมืองแห่งนี้ หลังจากที่ออกไปก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรอีกบ้าง ไป๋อี้มีความเป็นกังวลในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“ค่ะ ……” โม่โม่ตอบกลับคำหนึ่งอย่างเคือง ๆ อย่างไม่พอใจนัก
“อืม แต่ถ้าลูกสามารถทำให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้สมัครใจตามพวกเรามาได้ละก็ แค่เลี้ยงดูสักหน่อยก็คงไม่ใช่ปัญหา”
“จริงเหรอคะ?” โม่โม่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“จริง ๆ” ไป๋อี้พยักหน้า
“พ่อของฉันบอกว่าพาพวกเธอไปด้วยได้อยากจะตามพวกเราไปด้วยไหม ……” โม่โม่พูดกับผีเสื้อเหล่านั้นที่ล้อมรอบเธออยู่อย่างดีอกดีใจ
วูล์ฟและคนอื่น ๆ มองดูอย่างหมดคำพูด การเอาใจลูกสาวต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ ไม่ต้องพูดถึงว่าผีเสื้อที่เยอะขนาดนี้จะพาไปด้วยอย่างไร เพียงแค่ความอันตรายของผีเสื้อชนิดนี้ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างมากแล้ว ความอันตรายที่กล่าวนั้นไม่เพียงแค่ความสามารถในการดูดกินวิญญาณได้เท่านั้น ใครจะรู้ว่าผีเสื้อเหล่านี้จะยังมีความอันตรายอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ แต่ว่าในเมื่อไป๋อี้พูดออกมาอย่างนั้นแล้วคนอื่น ๆ จึงไม่ได้เปิดประเด็นโต้กลับไป
ไป๋อี้กำลังมองดูโม่โม่สนทนากับผีเสื้อเหล่านั้น น่าตลกจริง ผีเสื้อเหล่านี้สามารถฟังที่ลูกพูดออกได้ด้วยเหรอ
ที่นิวซีแลนด์ในปัจจุบันนี้ พืชและสัตว์สิ่งมีชีวิตแทบจะทุกชนิดล้วนผสานเข้ากับเซลล์ดัดแปลงทั้งสิ้น สติปัญญาต่างก็ล้วนถูกยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากและแพร่หลายแต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สติปัญญาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะสามารถยกระดับได้สูงขึ้นมากกว่าชนิดอื่น ๆ อยู่สักหน่อย บางทีนี่อาจจะเกี่ยวกับเหตุผลที่ร่างแม่แบบทดลองเองก็เป็นมนุษย์เช่นกัน
“อืม ๆ อย่างนี้หรอกเหรอ พวกเธอไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างนั้นเหรอ ที่นี่คือสภาพแวดล้อมที่พวกเธอกลายพันธุ์และปรับตัวนี่เอง” ขณะที่เหล่าผีเสื้อเกาะอยู่บนหนวดที่อยู่บนหน้าผากของโม่โม่นั้น โม่โม่ก็คุยพึมพำอยู่คนเดียวคล้ายกับว่าฟังคำพูดของผีเสื้อเหล่านี้ออกจริง ๆ อย่างไรอย่างนั้น
เธอฟังออกจริง ๆ เหรอ?
ไป๋อี้อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ก่อนหน้านี้โม่โม่ก็สนทนากับชาร์ไป่อย่างนี้เหมือนกัน ตอนนั้นเขาเพียงแค่คิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะโม่โม่และชาร์ไป่เติบโตผูกพันกันมา เห็นทีว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เหตุผลข้อนั้นแล้ว
เป็นมิตรกับสัตว์?
ไม่สิ ดูเหมือนว่าโม่โม่เองก็ไม่ได้มีท่าทางที่แสดงออกว่าสนิทสนมอย่างนี้กับสัตว์ทุกตัว
ไป๋อี้เดาเหตุผลเรื่องนี้ไม่ออก แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
ในเวลานี้มีผีเสื้อ 11 ตัวบินออกมาจากบรรดาฝูงผีเสื้อ ก่อนหน้านี้พวกมันบินปะปนรวมอยู่ในฝูงเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถแยกออกว่าพวกมันมีความแตกต่างกันอย่างไร ในขณะนี้พวกมันได้บินแยกออกมาแล้ว ทุกคนก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าผีเสื้อทั้ง 11 ตัวนี้ดูเหมือนจะมีสีดำและโปร่งใส พอมองดูแวบแรกถึงขั้นรู้สึกว่าผีเสื้อเหล่านี้ออกมาจากภาพฉายที่ไม่มีตัวตนจริง ต่อมาผีเสื้อ 11 ตัวนี้ก็เกาะอยู่บนลำตัวของโม่โม่จากนั้นก็ค่อย ๆ ติดอยู่กับเธอ
“พวกเธอไปกับฉันได้ไหม ไม่เป็นอะไรนะโม่โม่ชอบพวกเธอมาก ๆ เลยนะ” โม่โม่พูดด้วยความดีใจ
ในขณะที่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นั้น ผีเสื้อทั้ง 11 ตัวนี้ก็เกาะอยู่บนตัวของโม่โม่อยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ค่อย ๆ ผสานติดเข้าไปในตัวอย่างช้า ๆ ผสานติดเข้าไป …! ไป๋อี้ตกใจยกใหญ่ในทันทีและอยากที่จะไปหยุดยั้งโม่โม่เอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาเจอกับผีเสื้อชนิดนี้ แม้กระทั่งผีเสื้อกลืนกินวิญญาณก็เพิ่งถูกตั้งชื่อขึ้นเมื่อสักครู่นี้เอง พวกเขาไม่ได้รู้ซึ้งถึงคุณสมบัติพิเศษของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอะไรขึ้นจริง ๆ ไป๋อี้คงจะต้องมาเสียใจภายหลังแน่
“โม่โม่!”
“ค่ะพ่อ มีอะไรเหรอคะ?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผีเสื้อเหล่านั้นทำไมถึงได้ผสานติดเข้าไปในร่างกายของลูก?” ขณะที่มือของไป๋อี้วางอยู่บนไหล่ของโม่โม่ เขาก็สงบลง ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทางที่ดีที่สุดควรจะถามอย่างระมัดระวังด้วยความใจเย็นจะดีกว่า
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พวกเขาบอกว่าตามไปกับหนูได้ค่ะ” โม่โม่พูดพลางยื่นมือขวาออกมา
ปลายนิ้วของโม่โม่มีผีเสื้อตัวหนึ่งคล้ายกับว่ามันกำลังกระพือปีกอยู่บนปลายนิ้วของเธอจากนั้นก็บินออกมา ทุกคนล้วนมองผีเสื้อที่เรืองแสงอ่อน ๆ ตัวนี้ จนถึงกับอึ้งไปสักพัก รับประกันได้เลยว่าบนมือของโม่โม่ก่อนหน้านี้ไม่มีผีเสื้ออยู่เลยจริง ๆ แต่ทว่าผีเสื้อตัวนี้ปรากฏออกมาได้อย่างไรกัน ไม่สิ …… ทุกคนพบว่าผีเสื้อตัวอื่น ๆ ยังสามารถมองออกว่ามีตัวตน แต่กลับผีเสื้อตัวนี้ก็มีตัวที่โปร่งใสแบบที่ไม่มีตัวตนโดยสิ้นเชิงอยู่ด้วย
“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วฉันมีอาการภาพหลอน” วูล์ฟตบหัวตัวเอง พูพูที่อยู่ข้าง ๆ วูล์ฟก็สะบัดหัวส่ายไปส่ายมาเช่นกัน
ไป๋อี้ถึงกับนวดคลึงที่หน้าผากตัวเองเช่นกัน แม้ว่าต่อให้จะเคยเจอสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดชนิดใหม่ ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนในนิวซีแลนด์ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันเหนือจินตนาการโดยสิ้นเชิง
“โม่โม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่อย ๆ อธิบายให้ชัดนะลูก” ไป๋อี้พูดกับโม่โม่ด้วยความอ่อนโยน
“ค่ะ!” โม่โม่พยักหน้า
หลังจากที่อธิบายด้วยภาษาที่เรียบง่ายตามประสาเด็กน้อยอยู่นานสองนานจนจบ พวกไป๋อี้ก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจโดยคร่าว ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
————————————————
ดินแดนสิงสถิต เป็นสถานที่ที่มีการล้มตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาล สภาพแวดล้อมภูมิประเทศลักษณะพิเศษซึ่งดวงวิญญาณสามารถคงอยู่ได้
ภายในตำนานหลายเรื่องล้วนกล่าวถึงการมีอยู่ของดินแดนสิงสถิตแต่ความเป็นจริงดูเหมือนจะไม่พบว่าสถานที่ไหนที่มีภูตผีวิญญาณอยู่จริง ๆ บนโลกเลย ไม่ว่าจะเป็นสนามรบโบราณในตำนานเหล่านั้นหรือสุสานโบราณ ที่จริงแล้วโลกมีความสามารถในการฟื้นตัวโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดาวโลกคือโลกที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ถ้าหากไม่มีการรักษาให้คงอยู่ต่อไปดินแดนสิงสถิตที่อุตริเกิดขึ้นมาอย่างบังเอิญเช่นนี้ก็จะค่อย ๆ ถูกโลกปกตินั้นกลืนกินจนสุดท้ายก็ต้องสลายหายไป
ดังนั้นสนามรบโบราณผีสิงในตำนานเหล่านั้นหรือสุสานโบราณ คนรุ่นหลังจึงไม่พบภูตผีวิญญาณอะไรเช่นนี้
หากต้องการคงไว้ซึ่งการดำรงอยู่ของยมโลก นอกจากจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญแล้วยังต้องได้รับการบำรุงรักษาจากการสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอีกด้วย อย่างเช่นค่ายกลที่อยู่ในตำนานของโบราณตะวันออก เช่น สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ พีระมิดของอียิปต์ เกาะอีสเตอร์ เป็นต้น ……
สิ่งที่อยู่ในตำนานเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น แต่มีบทบาทจริง ๆ นั่นก็คือการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมและกลิ่นอายของดินแดนสิงสถิต
เป็นที่น่าเสียดายที่มนุษย์รุ่นหลังมีความอหังการ พวกเขาเข้ามาในสถานที่เหล่านี้เพื่อทำการสำรวจ จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบเค้าโครงจึงทำให้ดินแดนสิงสถิตที่ให้คนเหล่านี้บำรุงรักษาถูกกลืนกินจากโลกปกติอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นโบราณสถานธรรมดาในโลกมนุษย์เท่านั้น
ฉะนั้นการที่มีคนเข้ามาปล้นของจากหลุมฝังศพ ขุดหาทอง หรือการสำรวจ เมื่อคนพวกนี้สัมผัสกับสถานที่เหล่านี้เป็นครั้งแรกก็มักจะได้เจอกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายบางอย่างโดยง่าย นั่นคือตอนที่เค้าโครงของดินแดนสิงสถิตยังไม่ได้ถูกทำลายลงและตอนที่ภูตผีวิญญาณยังมีตัวตนอยู่จริง ๆ หลังจากนั้นในเวลาต่อมาดินแดนสิงสถิตสูญก็สลายหายไปและผีวิญญาณก็ไม่สามารถอยู่ในโลกวัตถุได้เป็นเวลานาน แน่นอนว่าคนรุ่นหลังไม่ได้สังเกตพบความผิดปกติและยังคุยโวยกใหญ่ว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความหลงผิดของคนรุ่นก่อนที่ไม่มีหลักฐานยืนยันซึ่งมันไม่มีหลักอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทว่ามนุษย์เองก็สูญเสียความเคารพและความเคร่งครัดในศาสนาขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน จนกลายเป็นคนอหังการมากขึ้น!
โง่เง่าสิ้นดี!
……
การที่มีมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมหาศาลอีกทั้งสภาพแวดล้อมของการก่อสร้างในลักษณะพิเศษของเวลลิงตันทำให้เวลลิงตันกลายเป็นดินแดนสิงสถิตที่อยู่ในตำนาน
ภายในสภาพแวดล้อมที่พิเศษเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตในเวลลิงตันออกจากสถานที่แห่งนี้หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัว สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาจปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมพิเศษและกลิ่นอายของโลกได้ แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คาดไม่ถึงว่าพวกมันจะกลืนกินวิญญาณเป็นอาหารเช่นนี้
ลักษณะเฉพาะแบบนี้ทำให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณส่วนน้อยเกิดความเปลี่ยนแปลงที่มากกว่านั้น นั่นก็คือ … ร่างกึ่งวิญญาณ!
ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณทั้ง 11 ตัวนี้คือกลุ่มแรกที่เกิดการเปลี่ยนแปลง พวกมันได้กลายเป็นร่างกึ่งวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งวิญญาณ ดังนั้นพวกมันจึงสามารถเกาะติดอยู่บนตัวของโม่โม่จากนั้นก็กลืนกินดวงจิตวิญญาณของโม่โม่ได้เพื่อรักษาการดำรงอยู่ของร่างตัวเองไว้ อีกทั้งผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้ได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของวิญญาณโม่โม่พอประมาณ จึงไม่ได้ให้ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเกาะติดอยู่บนตัวของโม่โม่เยอะเกินไป พวกมันหลงเหลืออยู่บนตัวของโม่โม่เพียงจำนวนเท่ากับที่โม่โม่พอจะสามารถรับได้เท่านั้น
ผีเสื้อกลืนกินวิญญาณทั้ง 11 ตัวก็คือจำนวนที่ดวงจิตวิญญาณของโม่โม่สามารถรับได้ ณ ตอนนี้
ไป๋อี้และคนอื่น ๆ มองดูพวกมันจากนั้นก็สังเกตเห็นว่าที่จริงแล้วภายในผีเสื้อกลืนกินวิญญาณกลุ่มนี้นั้นยังมีผีเสื้อกลืนกินวิญญาณที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันกับ 11 ตัวนี้อยู่อีกมาก
————————————————
โม่โม่เพียงแค่ใช้ภาษาที่เรียบง่ายบอกเล่าสภาพแวดล้อมที่พิเศษของเวลลิงตัน และได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของผีเสื้อกลืนกินวิญญาณเหล่านี้รวมถึงเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันจะต้องเกาะติดอยู่บนตัวของเธอด้วย
สำหรับดินแดนสิงสถิตนั้นอย่าว่าแค่โม่โม่ไม่เข้าใจเลย แม้แต่คนอื่น ๆ ก็สร้างนิยามที่สมบูรณ์ออกมาไม่ได้ ถึงแม้ว่าเวลลิงตันในตอนนี้จะมีผีสิงจริงแต่ก็คิดหาเหตุผลไม่ออกจริง ๆ ว่าเพราะอะไรกันแน่
เวลลิงตันก็คือดินแดนสิงสถิตที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความบังเอิญ และแน่นอนว่าตามกาลเวลาที่ไหลไปเรื่อย ๆ เวลลิงตันเองก็จะถูกกลืนกินโดยโลกวัตถุของมนุษย์อย่างช้า ๆ และค่อย ๆ กลายสภาพเป็นสถานที่ปกติในที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ในเวลลิงตันในตอนนี้ ถ้าหากพวกมันไม่เปลี่ยนแปลงปรับตัวทำความคุ้นชินใหม่อีกครั้งกับโลกธรรมดา พวกมันก็คงต้องสลายหายไปจริง ๆ ในเวลานั้นนอกเหนือจากพวกไป๋อี้ซึ่งมองเห็นภูตผีวิญญาณจริง ๆ คนอื่น ๆ จะต้องคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงเป็นเพียงนิยายที่เกินจริงเท่านั้น
อันที่จริง ในเวลานี้เฮลัวส์ได้มองไปยังวิวทิวทัศน์ของเวลลิงตันที่อยู่เบื้องล่าง และเธอตกอยู่ในความหม่นหมองและหวาดกลัว
เวลลิงตันเมื่อถูกมองลงจากท้องฟ้ามีลักษณะเป็นแบบนี้เองเหรอ ทำไมยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่า …… จะอธิบายอย่างไรดีล่ะ?
เฮลัวส์จนปัญญาในการสาธยายความรู้สึกที่แปลกประหลาดแบบนี้ แต่กลับรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมภูมิประเทศของที่นี่มีความแปลกประหลาดจริง ๆ เมื่อคิดไปคิดมาอยู่ชั่วครู่เฮลัวส์ก็ไม่ได้พะว้าพะวงในการมองหาพวกไป๋อี้อีกต่อไป แต่กลับวางแผนว่าจะวาดรูปเพื่อแสดงให้เห็นถึงลักษณะของเวลลิงตันในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรแทน แน่นอนว่าเฮลัวส์เองก็คิดไม่ถึงว่ารูปวาดแผนผังเมืองในมือของเธอจะสื่อถึงความหมายอะไร
MANGA DISCUSSION