[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 110 ประสบพบเจอ
‘ผมอยากสอบถามเรื่องคนคนหนึ่งจากพวกคุณ’
หลังจากที่ไป๋อี้สอบถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเวลลิงตันแล้วก็ได้สอบถามที่อยู่ของพวกหยูหานต่อ ถ้าหากจะถามว่าที่นี่ยังมีใครที่อาจจะรู้ว่าพวกหยูหานอยู่ที่ไหน นั้นก็คงมีแต่วิญญาณผีของที่นี่เท่านั้นที่จะล่วงรู้ได้
และทันใดนั้นเองก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนที่น่ากลัวเสียดหูดังมาทางด้านซ้าย จะพูดอย่างไรดีเสียงร้องนี้ไม่ได้เป็นเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดแต่กลับเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนที่คล้ายกับตกใจจนถึงขีดสุดอย่างไรอย่างนั้น ทุกคนล้วนมองไปยังทิศทางนั้นโดยสัญชาตญาณ แม้กระทั่งการสนทนาของไป๋อี้และวิญญาณสองตนนั้นก็ถูกลืมไปชั่วขณะด้วย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“น่าจะมีคนอื่นมาที่นี่เหมือนกัน”
“คงไม่ใช่คนของพวกหยูหานใช่ไหม” วูล์ฟพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะไปพิสูจน์ดู ตั้งแต่ข่าวลือที่ว่าเวลลิงตันมีผีสิงถูกแพร่ออกไป ก็มีน้อยคนที่คิดจะมาสถานที่แห่งนี้เพื่อเล่นหวาดเสียว บางทีอาจจะเป็นพวกหยูหานจริง ๆ ก็ได้ จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง แต่ทว่าในเวลานี้บนพื้นก็ได้ปรากฏรอยตัวอักษรขึ้นมา …… หยุดก่อน ห้ามไป!
ยังไม่ทันรอให้ไป๋อี้สอบถามว่าทำไม ทุกคนก็มองไปทิศทางนั้นโดยสัญชาตญาณทันที
กลุ่มคนหกคนวิ่งขวัญหนีดีฝ่อพุ่งมาทางนี้ คล้ายกับว่าข้างหลังมีสิ่งที่น่ากลัวกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่พวกไป๋อี้กลับมองไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย แต่ทว่าร่างกายของโม่โม่กลับเกร็งขึ้นอย่างเหนือการควบคุม มือน้อย ๆ พลางจับมีดสั้นไว้แน่น เมื่อทุกคนเห็นการกระทำของโม่โม่ก็เข้าใจทันทีว่าโม่โม่จะต้องมองเห็นอะไรแน่ ๆ โม่โม่เคยเห็นวิญญาณผีมาอยู่หลายครั้งหลายคราแล้ว ถ้าหากเป็นแค่ผีธรรมดาเท่านั้น โม่โม่ก็น่าจะไม่ตื่นตระหนกถึงขนาดนี้
“เป็นอะไรไป?”
“มีสิ่งที่ดำสนิทขนาดใหญ่กองหนึ่งห้อยอยู่บนตัวพวกเขาแล้วฉีกร่างกายของพวกเขาอยู่ …… ไม่ใช่สิ คือ บางอย่างในร่างกายที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ต่างหากค่ะ” โม่โม่พูดเสียงเบา ๆ
บางอย่างในร่างกาย!
วิญญาณ!
ทันใดนั้นในหัวสมองของทุกคนก็มีคำนี้แวบขึ้นมา และหลังจากที่กลุ่มคนเหล่านั้นที่อยู่ตรงข้ามมองเห็นพวกของไป๋อี้ บนใบหน้าก็ปรากฏเป็นสีหน้าแห่งความดีใจถึงขีดสุด ในเวลานี้คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะไปทำความรู้จักว่าตัวตนของพวกกลุ่มไป๋อี้คือใครและไม่สนว่ารู้จักหรือไม่ ขอเพียงยังสามารถมองเห็นมนุษย์หน้าใหม่ได้ก็ควรค่าที่พวกเขาจะดีใจแล้วล่ะ
‘วิ่งหนีไป ให้โม่โม่ตามพวกเรามา พวกกลุ่มนี้คือผีร้าย ถ้าพวกเธอถูกเกาะเข้าล่ะก็ซวยแน่ ๆ’ ในเวลานี้ด้านบนลานทรายก็ได้ปรากฏรอยตัวอักษรใหม่ด้วยความรวดเร็วขึ้นมา
“โม่โม่ตามปู่จอห์นนี่ไป” เมื่อไป๋อี้มองเห็นตัวอักษรเหล่านี้จึงหันไปพูดกับโม่โม่ทันที ในเวลานี้ไม่มีเวลาไปตัดสินแล้วว่าผีแก่ที่มีชื่อว่าจอห์นนี่ตนนี้นั้นจะทำร้ายพวกเขาหรือไม่ แค่มองท่าทางของคนกลุ่มนั้นก็รู้เลย ว่าพวกเขาถูกสิ่งที่มองไม่เห็นตามเกาะอยู่ ถึงแม้อยากจะต่อสู้กลับแต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปต่อสู้ด้วยวิธีอะไร
พอโม่โม่ได้ยินพ่อพูดมาแบบนั้นอีกทั้งผีสองตนก็ได้ลอยออกไปนำไปข้างหน้าแล้ว ดังนั้นเธอจึงตามไปทันทีอย่างช่วยไม่ได้ วิญญาณผีดุร้ายที่อยู่เบื้องหลังนั้นแตกต่างจากผีธรรมดาทั้งสองตนนี้อย่างสิ้นเชิงเพราะโม่โม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าแต่ว่าขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้นโม่โม่เอาแต่หันไปมองข้างหลัง เธอมองไปตามทางที่วิญญาณผีร้ายกรูออกมา
กลุ่มคนข้างหลังเมื่อเห็นพวกไป๋อี้วิ่งหนีไปก็เลยวิ่งตามมาด้วยในทันที สำหรับพวกเขาแล้วพวกไป๋อี้ก็คล้ายกับฟางข้าวตอนตัวเองจมอยู่ในน้ำ ฉะนั้นถ้าสามารถคว้าไว้ได้ก็ต้องรีบคว้า
“พ่อคะ กระโดดขึ้นมา” โม่โม่ตะโกนบอกเสียงดัง
ไป๋อี้ไม่ได้ถามว่าทำไม เขากระโดดขึ้นไปคว้าขอบหน้าต่างห้องข้าง ๆ ไว้ในทันทีและพลิกตัวตัวตีลังกาขึ้นไป จากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งก่อนจะกระโดดออกไปจากขอบหน้าต่าง ครั้นในเวลานี้โม่โม่ได้วิ่งผ่านข้างลำตัวของไป๋อี้ไป จากนั้นมีดด้ามสั้นก็ถูกโยนออกไปอย่างแรงแล้วหล่นลงบนพื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังของไป๋อี้
ขณะที่ไป๋อี้และโม่โม่วิ่งผ่านกันไปนั้นก็ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าดวงตาคู่นั้นของโม่โม่คล้ายกับถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีขาวจาง ๆ หนึ่งชั้นที่มืดมัวแต่กลับชัดเจน
มีดสั้นของโม่โม่ฟันผ่านอากาศว่างเปล่าไปแต่ทันใดนั้นด้วยแรงที่อยู่ใต้เท้าของเธอ ทำให้ร่างกายของเธอกระเด้งออกไปด้านหลังอย่างผิดธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าไป๋อี้จะมองไม่เห็น แต่เมื่อเธอล้มลงเขาก็ดึงโม่โม่ไว้ด้วยมือของเขาตามสัญชาตญาณ จากนั้นทั้งสองคนก็หล่นลงไปยังพื้นด้านล่างด้วยความเร็วสูง
“วิญญาณผีร้ายใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ถ้าคุณปู่จอห์นนี่ไม่ได้พูดโกหกนะคะ แต่ว่าโม่โม่ฟันไม่โดนมัน” โม่โม่พยักหน้า ภายใต้สายตาคู่นั้นทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฟันผีร้ายไปแล้วแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ราวกับว่าเขาอยู่ในมิติอื่น
“จอห์นนี่ล่ะ?” ไป๋อี้ถามขึ้น
โม่โม่ได้ยินดังนั้นจึงมองหาและเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าวิญญาณผีสองตนที่สื่อสารกับพวกไป๋อี้ในก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าวิ่งหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว พอไป๋อี้มองเห็นท่าทางของโม่โม่ก็รู้ว่าการขัดจังหวะเมื่อชั่วครู่นี้นั้นคงจะทำให้คลาดกันกับคน …… ไม่สิ ทำให้คลาดกันกับวิญญาณผีถึงจะถูก ในเวลานี้พวกไป๋อี้ก็ไม่ได้มีเวลาไปสำรวจดูว่าพวกจอห์นนี่นั้นวิ่งไปถึงไหนแล้วเหมือนกัน พวกเขาทำได้แค่วิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนตามทิศทางที่โม่โม่ชี้ซึ่งเป็นทิศทางที่ไม่มีผีร้าย
ไม่นานก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากหนึ่งในกลุ่มคนที่วิ่งอยู่ด้านหลังสุดคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็วิ่งพุ่งออกไปและร้องแผดเสียงดังด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาชนสิ่งของที่อยู่บนทางเดินอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งรถที่ถูกทิ้ง ถังขยะ ทั้งที่เขาชนจนมีเลือดสด ๆ ไหลลงมาไม่หยุดจากบนศีรษะแต่เขากลับไม่สามารถหยุดตัวเองได้
พอทุกคนมองเห็นก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนี้ ความหวาดกลัวถึงขีดสุด ทำให้สติสัมปชัญญะของพวกเขาถูกทำลายลง จะต้องเข้าใจว่าตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังอยู่ในระยะดุร้าย ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการรับมือจากระยะดุร้ายที่ไป๋อี้และหยูหานเปิดเผยออกไป และคนที่ประคองสติสัมปชัญญะได้จริง ๆ มีจำนวนสูงกว่าข้อมูลในสถาบันวิจัย แต่อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขได้อย่างสิ้นเชิง
“โคริน ไอ้ชั่ว ผีงั้นเหรอ วิญญาณผีใช่ไหม ฉันไม่กลัวหรอกนะ ย๊าก……” ในขณะที่อีกคนพอเห็นสหายของเขาพุ่งออกไปอย่างนั้นก็ได้ตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับจับคบไฟในมือแน่นแล้วยกขึ้นสะบัดไปมา คล้ายกับว่าการทำอย่างนี้จะสามารถฆ่าผีร้ายเหล่านั้นได้ แต่ว่าการที่ทำเช่นนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ ทุกคนต่างก็มองเห็นว่าท่าทางท่วงทีของทั้งสองคนนี้เริ่มเชื่องช้าลงเรื่อย ๆ จากนั้นดูเหมือนกับว่ากำลังถูกอะไรสักอย่างห่อหุ้มตัวเอาไว้ และต่อมาก็ล้มพับลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
กลุ่มคนวิ่งหนีอย่างลนลานแม้จะมองไม่เห็นอะไรเบื้องหลังพวกเขา ในสภาพแวดล้อมที่มืดมนเช่นนี้แม้แต่ความคิดในสมองก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็ง เมื่อทั้งสองกลุ่มหยุดลงทุกคนก็พบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ แต่สถานที่ที่กลุ่มของพวกเขายืนอยู่นั้นไม่ได้อยู่ในโบสถ์ แต่อยู่ในสุสานขนาดใหญ่ทางด้านหลัง เนื่องจากเมื่อครู่นี้พวกเขาเอาแต่วิ่งไม่หยุดฉะนั้นเลยยังไม่ทันสังเกตเห็น แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้หยุดวิ่งลงแล้วสุสานที่รกร้างขนาดใหญ่แห่งนี้ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาทันที
“ทำไมถึงได้วิ่งหนีมาอยู่ในสถานที่เฮงซวยนี้ได้ล่ะเนี่ย” คนกลุ่มนั้นที่วิ่งหนีตามพวกไป๋อี้มาตลอดก่นด่าขึ้นมาทันที
ที่มายังเยือนเวลลิงตันครั้งนี้พวกเขาได้ประสบการณ์อันน่าหวาดผวาอย่างตื่นเต้นเร้าใจสุดขีด คิดไม่ถึงเลยว่าเวลลิงตันเมืองแห่งนี้จะมีผีสิงตามหลอกหลอนจริง ๆ และคนที่คิดว่าพวกเขาเคยสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงที่โหดร้ายในนิวซีแลนด์มาแล้วก็กลับกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แต่ขณะที่กำลังวิ่งหนีก็ได้เจอกับพวกของไป๋อี้ที่ยังมีชีวิตอยู่เข้า ความดีใจขีดสุดก่อนหน้านี้นั้นไม่ใช่ของปลอม แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะวิ่งหนีมายังสุสานอีกครั้ง
ทันใดนั้นก็มีลมพายุกระโชกแรงพัดมาชั่วครู่หนึ่ง ลมได้พัดเอาใบไม้ที่อยู่รอบ ๆ ปลิวว่อนจนเกิดเสียงดังซู่ ๆ นั่นทำให้ทุกคนตกใจกลัวอย่างถึงที่สุด
“โม่โม่?”
“มันไม่ได้ตามมาด้วยค่ะ แต่ว่า …..!” โม่โม่พูดไปพลางมองไปยังคนที่กำลังอ้าปากสบถคนนั้น คนผู้นี้ผิวหนังพุพองเต็มทั้งใบหน้า ทั้งตายังถลนคล้ายกับคางคกตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“เขาเป็นอะไรเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร” หลังจากที่โม่โม่มองดูอย่างละเอียดแล้วจึงส่ายหน้ากลับไป ตอนนี้การมองเห็นของโม่โม่แปลกประหลาดมาก ๆ เมื่อมองคนดูแล้วรู้สึกเหมือนว่ามีเงาซ้อนทับปรากฏออกมา แต่ก็ไม่ใช่เงา ภายในสายตาคู่นั้นของโม่โม่ เธอมองเห็นจุดดำขนาดใหญ่บนร่างของคนที่ถูกวิญญาณร้ายกัดฉีก
“พวกเราทำไมเหรอ เฮ้ พวกแกพูดให้ชัดเจนหน่อยสิ”
คนผิวคางคกคนนั้นที่อยู่ตรงข้ามถามขึ้นอย่างร้อนรนในทันที ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกผีเกาะติดมา ถึงแม้พวกเขาจะมองไม่เห็นแต่ว่าเมื่อเกิดอะไรบางอย่างขึ้นบนร่างกายของตัวเองก็ย่อมมีความรู้สึกอยู่บ้าง ในขณะนี้เมื่อเห็นว่าโม่โม่คล้ายกับว่ามองเห็นอะไรบางอย่างแต่กลับไม่อยากพูดมันออกมา ทำให้เขารู้สึกโมโหขึ้นมาทันที และพุ่งตัวเข้าไปหาโม่โม่
แต่ว่ายังไม่ทันรอให้เขาเข้ามาถึงตัวหนูน้อย ชาร์ไป่ก็ขวางอยู่เบื้องหน้าของชายผู้นี้ ท่าทางดุร้ายของมันทำให้คนกลุ่มนี้เตรียมตัวป้องกันตัวในทันที
“ขอโทษด้วย ออร์คอตต์ผลีผลามเกินไป” หัวหน้าของทีมนี้รีบดึงสหายของตัวเองไว้ในทันที
“ออกไป”
“ฉันบอกให้นายออกไปไง …!”
ชายคนที่ชื่อว่าออร์คอตต์คนนี้ยังขัดขืนอย่างเอาเป็นเอาตายภายใต้การห้ามปรามของสหาย ครั้นหลังจากที่ขัดขืนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ดวงตาของชายผู้นี้ก็จ้องอย่างเหี้ยมโหดไปยังโม่โม่และอยู่ ๆ เขาก็แลบลิ้นออกมา รวมถึงยังแทงไปยังแผ่นหลังของคนที่ปรามตัวเขาไว้อีกด้วย ในเวลาเดียวกันนั้นตุ่มที่คล้ายกับผิวหนังพุพองเหล่านั้นอยู่ ๆ ก็ระเบิดแตกออกและกระจายเป็นน้ำหนองสีเหลืองคล้ายอุจจาระ
เมย์ริสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กวาดตาไปมองจากนั้นมีดผ่าตัดก็พุ่งออกไปทันที มีเสียงฉึกดังขึ้น มีดผ่าตัดได้พุ่งตรงไปยังลิ้นยาว ๆ นั้นโดยตรง แรงอันมหาศาลทำให้ลิ้นเฉออกไปในทันใด จากนั้นก็เสียบอยู่บนป้ายหน้าหลุมศพข้าง ๆ ดังกริ๊ง
ถึงแม้เมย์ริสจะช่วยเหลือชีวิตของหัวหน้าคนนั้นไว้ได้ แต่ผู้ชายอีกคนที่กอดเจ้าคางคกผิวพุพองคนนั้นไว้ก็ช่างน่าเวทนาจริง ๆ น้ำหนองที่อยู่ในตุ่มพุพองนั้นพุ่งกระจายออกมา แล้วสาดกระเซ็นไปตามลำตัวของเขาทันที จากนั้นคนผู้นี้ก็กุมหน้าของตัวเองไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด ต่อมาก็ทำการฉีกผิวหนังบริเวณที่ถูกน้ำหนองกระเด็นใส่ตัวออกไป
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้หัวหน้าของทีมนี้และคนสุดท้ายที่เหลือไม่สามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงที
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเพราะออร์คอตต์ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อเนื่องกันจนบีบให้จิตตก นั่นจึงทำให้เมื่อเจอการกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็เข้าสู่สภาวะดุร้ายเหี้ยมโหดขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันคือระยะดุร้ายของ LV1-2 ซึ่งเป็นปัญหาที่ทุกคนล้วนเป็นกังวลเนื่องจากมันทำให้สูญเสียการควบคุมตัวเองได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ในเวลาทั่วไปจะมีพฤติกรรมที่ปกติมากแค่ไหนแต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้อยู่เสมอที่ในเวลาชั่วพริบตาเดียวก็สูญเสียสติสัมปชัญญะไปได้ทันที
ในเวลานี้ ออร์คอตต์ได้ฉวยโอกาสสะบัดตัวออกจากการดึงรั้ง ลิ้นของเขาฉีกออกจนเป็นแผลขนาดใหญ่ที่มาจากมีดผ่าตัด จากนั้นเขาก็พุ่งตรงไปยังโม่โม่ด้วยท่าทางที่เหี้ยมโหด ร่างกายของชาร์ไป่เกร็งตึงขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าเพียงแต่ออร์คอตต์พุ่งเข้ามาชาร์ไป่ก็เตรียมจะฉีกร่างของออร์คอตต์ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทันที
ตอนนี้ชาร์ไป่มีพละกำลังมหาศาลมากพออย่างแน่นอน
แต่ทว่าทันใดนั้นดวงตาของไป๋อี้ก็เบิกกว้างพร้อมทั้งยื่นมือขวาออกไปขวางเบื้องหน้าของออร์คอตต์ไว้ ออร์คอตต์ถูกมือขวาของไป๋อี้กดหัวไว้และหยุดอยู่ท่ามกลางอากาศอันเวิ้งว้างอย่างนั้นเงียบ ๆ ต่อมาทันใดนั้นเองเขาก็ล้มพับลงไปกับพื้น
“ไอ้คนชั่ว แกทำอะไรกับออร์คอตต์” สองคนตรงข้ามที่เหลืออยู่เมื่อเห็นสภาพของออร์คอตต์ที่เป็นแบบนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ถึงแม้ออร์คอตต์จะตกอยู่ในสถานะเหี้ยมโหดถึงขั้นทำร้ายคนของตัวเองแต่ถึงอย่างไรเขาก็คือสหายในทีมของพวกเขาอยู่ดี
“หุบปาก เงียบเดี๋ยวนี้!”
ไป๋อี้พูดขึ้นมาหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างมากพร้อมเงยหน้าขึ้นมาทันทีแล้วเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา คนทั้งสองที่เดิมทีกำลังตกอยู่ในสภาวะความขุ่นเคืองจัดก็มีอาการตกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่อารมณ์ปกติ ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่กำลังกลับคืนสู่ความปกตินั้น สองคนนี้ได้หันหน้าขวับไปอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายเพื่อหลบสายตาคู่นั้นของไป๋อี้
ช่างเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดจริง ๆ!