[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 109 สื่อสารกับภูตผี
เฮลัวส์มองหาทุกคนเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง หลังจากพบว่าตัวเองหลงทางแล้วจริง ๆ จึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นเพราะว่าเธอบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเลยทำให้หลงทิศทาง แต่ถึงอย่างไรเธอก็หลงทางอยู่แล้ว เพราะงั้นหากจะบินขึ้นไปอีกครั้งคงไม่เป็นไรหรอก ครั้นครั้งนี้เฮลัวส์ไม่หยุดที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเรื่อย ๆ จนสูงมาก ๆ ยิ่งกว่าเดิม
หลังจากที่คาดว่าเลยความสูงหมื่นกว่าเมตรขึ้นมาแล้วก็คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างลอดผ่านเข้ามา มีแสงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของเฮลัวส์
แสงอาทิตย์!
เฮลัวส์ถูกแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาท่ามกลางท้องฟ้า ร่างกายอบอุ่นซึ่งไม่สามารถหยิบยกมาเปรียบเทียบกับความมืดสนิทอันน่ากลัวในเบื้องล่างได้อย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้เฮลัวส์มองออกไปข้างนอกทะลุช่องว่างระหว่างชั้นเมฆซึ่งสามารถมองเห็นสถานที่อันไกลโพ้นสุดลูกหูลูกตาได้ ยอดเขาสูงชะลูดลูกนั้นที่อยู่ไกล ๆ เหล่าป่าไม้สีเขียวมรกตสุดลูกหูลูกตา ทั้งหมดนั้นล้วนแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา
ครั้นในขณะที่เฮลัวส์กวาดตามองไปยังเบื้องล่างเท้าก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าคล้ายกับเวลลิงตันถูกปกคลุมอยู่ภายใต้เมฆครึ้มอย่างไรอย่างนั้น มองไม่เห็นแสงอาทิตย์เลยแม้แต่นิดเดียว
สภาพทางภูมิศาสตร์และอากาศช่างน่าแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้!
ถ้าหากจะกล่าวว่านี่เป็นสาเหตุของเซลล์ดัดแปลง เฮลัวส์คงไม่เชื่อโดยเด็ดขาด ถ้าหากเซลล์ดัดแปลงเปลี่ยนแปลงได้แม้กระทั่งภาพทางภูมิศาสตร์และอากาศแล้วล่ะก็ เช่นนั้นยังจะให้คนมีชีวิตอยู่อีกหรือ อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้หรอก เดิมทีเฮลัวส์อยากที่จะบินไปยังด้านนอกเมืองเวลลิงตันและกลับเข้ามาใหม่จากทิศทางที่เขาเข้ามาก่อนหน้านี้ แต่ทันใดนั้นเองเธอกลับต้องถึงกับตะลึงงัน
สิ่งนี้คือ!
……
“ได้ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นตกใจจนหนีไปหรือเปล่า?” หลังจากที่วิญญาณผีผู้หญิงตนนั้นกลับมายังสถานที่ที่เธอพักอาศัยอยู่ ทันใดนั้นก็ปรากฏวิญญาณผีที่หล่อเหลากระชากใจอีกตนหนึ่งขึ้นมา
“เปล่าค่ะ ในนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมองเห็นพวกเราได้ อย่าว่าแต่ตกใจจนหนีไปเลย แม้แต่กลัวสักนิดก็ไม่มี นี่มันคนแบบไหนกันแน่เนี่ย” ผีผู้หญิงตนนั้นมีสีหน้าไม่พอใจ ปากพลางบ่นไปเรื่อย ๆ “หนูว่านะคุณปู่ คุณปู่เปลี่ยนเป็นหน้าตาเหมือนเดิมของคุณปู่ได้หรือเปล่าคะ คุณปู่อยากจะให้ใครดูหน้าตาแบบนี้ของคุณปู่เหรอ” หลังจากที่บ่นเสร็จ ผีผู้หญิงก็พูดขึ้นอีกหนึ่งประโยค
“หล่อมากเลยใช่ไหมล่ะ เมื่อก่อนปู่เคยบอกกับหลานว่าตอนที่ปู่ยังเป็นหนุ่มอยู่หล่อมากเลย หลานก็มักจะไม่เชื่ออยู่เรื่อย”
“คุณปู่ตายแล้วนะคะ”
“เอ่อ …!” ผีตนนั้นถูกพูดแทงใจดำเข้าให้ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“อ้อจริงสิ เมื่อกี้หลานพูดว่ามีเด็กผู้หญิงมองเห็นพวกเราได้งั้นหรือ?” หลังจากผ่านมาครู่หนึ่งผีที่เปลี่ยนเป็นชายแก่อีกครั้งก็กล่าวขึ้น
“ค่ะ”
“เช่นนั้นปู่จะไปดูสักหน่อย บางทีไม่ต้องถึงขั้นทำให้พวกเขาตกใจหนีไปด้วยซ้ำ ไปบอกพวกเขาโดยตรงเลยก็ได้” ผีชายแก่ลอยออกไปส่วนผีผู้หญิงลอยไปมาอยู่สักพักหนึ่งอย่างจนปัญญา เวลาต่อมาถึงจะลอยตามขึ้นไปอีกครั้ง จริง ๆ เลยตายไปแล้วแท้ ๆ คุณปู่ก็มักจะยังเป็นห่วงมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่เหล่านั้นประจำด้วยกลัวว่าพวกเขาจะเข้าไปยังใจกลางเมือง
……
ทันใดนั้นโม่โม่ก็หยุดชะงักลง พอไป๋อี้เห็นสีหน้าของโม่โม่ก็รู้ว่าโม่โม่จะต้องมองเห็นภูตผีอีกแล้วแน่ ๆ ไป๋อี้มองไปตามสายตาของโม่โม่ไปที่บนทางเดินที่มืดมัวซึ่งแน่นอนว่าบนถนนมืดไม่มีอะไร
“มีผีผู้ชายตนหนึ่งและก็ผีผู้หญิงคนก่อนหน้านี้ค่ะ” โม่โม่บอก
‘Hello น้องสาวมองเห็นพวกเราจริง ๆ เหรอเนี่ย’ ผีชายแก่ตนนั้นลอยเข้ามาในทันที
ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ได้แต่มองดูท่าทางของโม่โม่ ซึ่งพวกเขามองไม่เห็นผีสักตัวด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่สามารถเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไป๋อี้เดินมาข้างโม่โม่ เมื่อดูจากท่าทางของเธอก็เดาได้ว่าภูตผีสองตนต้องอยู่ข้างหน้าไม่ไกลแน่ ๆ ครั้นในเวลานี้ผีแก่ตนนั้นก็ลอยเข้ามาคล้ายกับว่ายังไม่เชื่อว่าโม่โม่มองเห็นพวกเขาได้จริง ๆ
ลองดูซิว่ามองเห็นได้จริง ๆ หรือไม่!
ผีแก่ตนนี้กำลังคิดที่จะแกล้งหลอกแต่ว่าเพิ่งจะขยับเพียงหนึ่งก้าว โม่โม่ก็ชักมีดด้ามสั้นของตัวเองออกมาดังเช้ง มีดสั้นครึ่งเมตรกว่าถูกยกขึ้นแนวเฉียงปลายมีดชี้ตรงไปยังหัวคิ้วของผีแก่ตนนี้เป๊ะ ๆ การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ผีแก่ตกใจแทบแย่ในทันที ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าตัวตนของพวกเขาที่เป็นแบบนี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บจากกายภาพที่ปกติได้ แต่ว่าท่าทีของเด็กน้อยคนนี้ก็ดูรุนแรงไปหน่อยหรือเปล่า
‘คิก ๆ ท่านปู่ก็ตกใจแย่เลยใช่ไหมล่ะ ครั้งแรกที่หนูออกมาก็ถูกเด็กน้อยคนนี้ฟันหัวขาดฉับเดียวเลย หลังจากที่นิวซีแลนด์เปลี่ยนไปแล้วนั้นเพิ่งจะผ่านไปได้เก้าเดือนกว่าเองคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าแม้กระทั่งเด็กน้อยก็ยังเปลี่ยนเป็นมีไหวพริบหลักแหลมและเยือกเย็นขนาดนี้ การลงมือฟันนั้นไม่ได้มีความลังเลแม้แต่น้อยเลยจริง ๆ’ ผีผู้หญิงเห็นท่าทางทึ่ม ๆ ของปู่จึงหัวเราะขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
แน่นอนว่าเธอก็คงจะไม่รู้ว่าภายในบรรดาเด็กน้อยทั้งหลาย โม่โม่นั้นถือว่าเป็นตัวอย่างที่พิเศษคนหนึ่งเลย
“พวกคุณทั้งสองอยู่ข้างหน้าใช่ไหม ไม่รู้ว่าพวกคุณจะได้ยินคำพูดของผมหรือเปล่า?” ไป๋อี้พูดขึ้น หลังจากผ่านมาชั่วครู่หนึ่ง ข้าง ๆ ใบหูของทุกคนก็คล้ายกับว่ามีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมา แต่ก็คล้ายกับไม่มีเสียงอะไรเลยทั้งนั้น ถ้าหากต้องพูดถึงละก็ นั่นก็คือภาษาลับของผีที่ว่านั่นล่ะ
“โม่โม่พวกเขาพูดอะไรหรือเปล่า สามารถได้ยินที่พวกเราพูดไหม?” ไป๋อี้ถาม
“พวกเขากำลังพูดอยู่แต่ว่าฟังไม่ชัด หนูหนวกหูจะตายอยู่แล้ว” โม่โม่คล้ายกับได้ยินเสียงบางอย่างได้ แต่ทว่าก็ฟังไม่ชัดเช่นกัน ซึ่งนี่กลับทำให้โม่โม่รู้สึกอึดอัดอย่างผิดปกติ
‘เจ้าหนูน้อยพูดอะไรน่ะ อะไรคือหนวกหูจะตายอยู่แล้ว’ ผีผู้หญิงตนนั้นโกรธขึ้นทันทีทันใด ถ้าเป็นไปได้พวกเธอเองก็ไม่อยากเป็นอย่างนี้นี่นา แต่ว่าระหว่างภูตผีและร่างกายมนุษย์มีความสัมพันธ์ระหว่างกฎเกณฑ์ชนิดหนึ่งอยู่ในตัว ซึ่งการที่พวกเขาพูดจาอะไรออกมา คนของโลกมนุษย์จะไม่ได้ยินถ้าหากต้องการสื่อสารกันให้ได้ละก็ จะต้องเข้าสิงร่างในสภาพเหมือนฝันทำนองนั้น
ไป๋อี้กวาดสายตามองละแวกนั้นหนึ่งรอบจากนั้นก็พบพื้นทรายที่กระจัดกระจายอยู่ สิ่งนี้นี่แหละก่อนหน้านี้หน้าต่างกระจกบานนั้นถูกผีผลักตกลงมานี่เอง เช่นนั้นก็แสดงว่าภูตผีเหล่านี้ก็สามารถแตะต้องสิ่งของบนโลกมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง
ไป๋อี้เข้ามายังพื้นทรายจากนั้นก็ลูบให้เรียบและเขียนคำทักทายง่าย ๆ ลงไป
หลังจากที่ไป๋อี้เขียนตัวอักษรลงไปเสร็จแล้วจึงค่อยมองตามสายตาของโม่โม่ไป ผ่านไปชั่วครู่บนพื้นทรายอ่อนนุ่มข้าง ๆ ไป๋อี้ก็ค่อย ๆ ปรากฏเป็นรอยบุ๋ม จากนั้นก็ปรากฏคำศัพท์ที่ง่ายมาก ๆ ขึ้นมาหนึ่งคำ ‘hello!’
เหอะ ๆ~!
คนทั้งกลุ่มของไป๋อี้หัวเราะขึ้นมาในใจทันทีทันใด การที่สื่อสารกับภูตผีแบบนี้นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลย ต่อมาไป๋อี้ก็ใช้พื้นทรายเขียนตัวอักษรในสิ่งที่ตนอยากจะพูดกับภูตผีสองตนนี้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการทำเช่นนี้จะช้าไปมากแต่อย่างไรก็ดีกว่าการไร้หนทางในการสื่อสารกันโดยสิ้นเชิง โชคดีที่โม่โม่มองเห็นภูตผีได้และยังมีกลุ่มคนของไป๋อี้ที่มีความกล้าหาญมีใจกล้า เพราะถ้าหากเป็นคนธรรมดาคาดว่าคงตกใจจนเป็นลมไปตั้งนานแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะได้ไปเจอผีในโลกหน้าจริง ๆ
‘ผมขอถามหน่อยครับ เกิดอะไรขึ้นกับเวลลิงตันกันแน่ ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้?’
‘พวกเราก็ไม่แน่ใจมากเท่าไหร่ หลังจากที่เซลล์ดัดแปลงที่นิวซีแลนด์แพร่กระจายออกไป ช่วงเวลาเริ่มต้นวุ่นวายมากเลยไม่ใช่เหรอ และเป็นเพราะเวลลิงตันคือเมืองหลวงดังนั้นคนมากมายในละแวกนี้ล้วนรีบอพยพมายังที่นี่ หลายคนก่อตั้งศาสนาขึ้นชั่วคราว เพื่อต้องการได้รับการไถ่บาป แต่ทว่าพระเจ้าที่ไม่มีตัวตนก็คงมาช่วยพวกเขาไม่ได้ ครั้นหลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเริ่มจากตอนไหนที่เวลลิงตันค่อย ๆ เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่อยากทำลายอย่างบ้าคลั่ง …… ทุกคนล้วนเป็นบ้าไปหมดแล้ว!’
‘เป็นบ้าเหรอ?’
‘ถูกต้อง เป็นบ้าเพราะคิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจึงทำการสังหารหมู่ ทำลายล้างอย่างบ้าคลั่ง’
‘อย่างนี้นี่เอง’ ความบ้าคลั่งอย่างรุนแรงและอารมณ์ความรู้สึกของการอยากทำร้ายตัวเองเหล่านี้ล้วนสามารติดเชื้อกันได้
‘แต่ว่าทำไมพวกคุณถึงได้กลายเป็นผีได้ล่ะครับ อันที่จริงคนที่เสียชีวิตในเมืองอื่น ๆ ก็มีไม่น้อยแต่กลับไม่มีสถานที่แห่งไหนเลยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้เหมือนเวลลิงตัน’
‘ไม่รู้เหมือนกัน ขณะที่พวกเรามีสติกลับคืนมาได้อีกครั้งก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว’
‘ในเมื่อไม่รู้ก็ช่างเถอะ แต่ว่าที่นี่พวกคุณมีภูตผีเท่าไหร่กันแน่ครับและที่นี่มักจะมีข่าวลือเรื่องผีสิงแพร่สะพัดออกไป ความต้องการของพวกคุณคืออะไรกันแน่?’ ไป๋อี้เขียนคำพูดต่อไป คนอื่น ๆ ล้วนกำลังมองดูทรายซึ่งถูกปัดให้เรียบไม่หยุดอย่างตั้งใจจากนั้นก็ปรากฏรอยตัวอักษรขึ้นมาลาง ๆ อย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ รู้สึกว่าความรู้สึกแบบนี้มันช่างน่าทึ่งและแปลกใหม่มากจริง ๆ
‘แน่นอนว่าพวกเราต้องการจะทำให้พวกคุณตกใจจนหนีไปน่ะสิ เพราะที่นี่อันตรายมาก’
‘ทำไมคุณถึงพูดอย่างนี้?’
‘ทำไมเวลลิงตันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ พวกเราล้วนแต่รู้ไม่ชัดเจนมากนักแต่ว่ายากที่จะเจอกับคนคนหนึ่งที่สามารถสื่อสารกันได้ เช่นนั้นฉันจะบอกนายให้ก็แล้วกัน’
‘ผีที่เวลลิงตันตอนนี้คาดว่ามีแสนกว่า ๆ ล่ะมั้ง แต่ผีที่ยังสามารถรักษาไว้ซึ่งสติปัญญาของตัวเองได้จริง ๆ ก็ไม่ได้มีมากนัก คาดว่ามีแค่ไม่ถึงหนึ่งหมื่นตนซึ่งอาศัยอยู่รอบนอกของเมือง อีกทั้งถึงแม้จะยังประคองสติปัญญาของตัวเองไว้ได้ แต่บนความเป็นจริงแล้วความรู้สึกและความทรงจำของผีทุกตนแน่นอนว่าล้วนมีส่วนที่สูญหายไป แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พวกเราก็ไม่รู้จริง ๆ’
‘นอกเหนือจากภูตผีหมื่นกว่าตนนี้ที่ยังคงรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ ที่เหลือก็คือเหล่าบรรดาภูตผีที่ไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะของตัวเองโดยสิ้นเชิงเลย ถ้าหากต้องอธิบายละก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผีร้ายล่ะมั้ง ปกติแล้วผีร้ายจะอาศัยอยู่ที่ใจกลางเมือง สถานที่แห่งนั้นเลวร้ายเป็นอย่างมาก ที่นั่นทำให้ภูตผีทั้งหมดล้วนรู้สึกสบายอย่างที่สุด แต่ว่ากลับทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองง่ายมาก’
‘นอกจากนี้พวกเราก็เคยคิดอยากจะลองออกไปจากเวลลิงตันดู แต่คล้ายกับว่านอกเหนือจากเวลลิงตันแห่งนี้แล้วนั้น หากพวกเราออกไปก็จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว มีเหล่าสหายไม่น้อยที่คิดว่านี่คือการขึ้นสวรรค์ดังนั้นจึงยืนหยัดที่จะเดินออกไป ครั้นอีกส่วนหนึ่งกลับคิดว่านี่คือการหายไปโดยสิ้นเชิงก็เลยอยู่ในเมืองต่อ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตามถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะเป็นภูตผีแต่ว่าอย่างน้อยก็ยังมีญาติและเพื่อน ๆ ที่เดิมทีรู้จักกันอยู่แล้ว’
‘ฉันต้องขอบใจจริง ๆ ที่ฉันไม่ได้หลงลืมความทรงจำเกี่ยวกับหลานสาวไป!’
‘หลานสาว?’
‘ใช่แล้ว พวกเราสองคนคือปู่กับหลาน’
‘อย่างนี้นี่เอง ที่พวกคุณหลอกพวกเรา หลัก ๆ ก็แค่ไม่อยากจะให้พวกเราเข้าไปใจกลางเมืองใช่ไหมครับ?’
‘ใช่แล้ว ผีร้ายเหล่านั้นไม่เหมือนกับพวกเรา ถ้าเกิดมีสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจเข้าไปมันก็จะเกาะติดไปอย่างบ้าคลั่ง ตามที่พวกเราเข้าใจนั้น สถานที่พิเศษซึ่งเคยมีคนล้มตายมากมายอย่างเวลลิงตันในตอนนี้นั้น ทำให้ภูตผีมีความสามารถในการส่งกระทบต่อโลกวัตถุได้เล็กน้อย แต่ที่สำคัญที่สุดนั่นคือมันสามารถทำให้ดวงวิญญาณแปดเปื้อนได้โดยตรงด้วย อาจจะดูเหมือนว่าแค่ผีร้ายตนเดียวพวกเธอจะสามารถรับมือไหว แต่ถ้าหากพวกมันมีจำนวนเยอะมากแล้วล่ะก็พวกเธอจะต้องตายแหงแก๋ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเธอมองไม่เห็นผีดุร้ายเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อยและไม่มีวิธีที่ถูกต้องในการฆ่าพวกมันเหล่านั้นได้’
‘เอ่อ ขอโทษนะเด็กน้อยคนนี้ชื่อว่าโม่โม่เหรอ เธอสามารถมองเห็นผีร้ายได้ก็จริง แต่ทว่าเด็กตัวน้อยๆคนหนึ่งคงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ล่ะมั้ง’
กลุ่มคนของไป๋อี้ได้สื่อสารกับภูตผีปู่หลานคู่นี้อีกไม่น้อย ครั้นเมย์ริสก็ได้นำสิ่งที่ได้ฟังเหล่านี้บันทึกลงทั้งหมดอย่างตั้งใจ ทั้งวิญญาณ ภูตผี ผีร้าย …… ทุกสิ่งอย่างนี้สำหรับมนุษย์ในปัจจุบันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นขอบเขตที่แปลกใหม่อย่างมากทั้งนั้น ไม่แน่ว่าข้อมูลที่ง่าย ๆ เหล่านี้จะสามารถกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ๆ ในอนาคตได้