[นิยายแปล] มหาวิบัติยีนกลายพันธุ์ - ตอนที่ 105 ความกลัวมาจากสิ่งที่ไม่รู้
“ฉันได้ยินมาว่าเมืองนี้มีผีสิง” วูล์ฟพูดขึ้นในขณะที่มองออกไปไกลสุดสายตา ในเมืองนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางวันแสก ๆ
“อืม เมืองผีสิง” ไป๋อี้พยักหน้า
นิวซีแลนด์ในปัจจุบันอันตรายมาก แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้มนุษย์กลายพันธุ์อยู่อย่างยากลำบากนัก อย่างน้อยก็ยังสามารถเดินออกไปข้างนอกได้ แน่นอนว่ามันอันตรายมาก ถ้าหากว่าไม่ระวังล่ะก็อาจพบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและอาจจะถึงตายได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นข่าวของเซลล์ดัดแปลงหรือแม้แต่เรื่องอดีตเมืองหลวงของนิวซีแลนด์อย่างเวลลิงตันมีผีสิง
“สิ่งมีชีวิตประเภทผีเนี่ย ไม่รู้จะทำยังไงดีจริง ๆ นะ” เฮลัวส์รวบผมเข้าหากัน
“เธอเคยเห็นผีไหม?”
“ไม่นะ ยังไม่เห็น”
“แหม ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็อย่าพูดเหมือนกับว่ารู้ไปหมดทุกอย่างสิ”
ไป๋อี้เพิกเฉยต่อการทะเลาะเบาะแว้งของวูล์ฟและเฮลัวส์และเป็นผู้เดินนำเข้าไปในเมืองที่รุ่งเรือง แต่เดิมอดีตเมืองหลวงของนิวซีแลนด์เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง แม้ว่าตอนนี้จะยังสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของเมืองนี้ได้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ตามเวลลิงตันในปัจจุบันมักจะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงบรรยากาศที่มืดมนและเป็นที่น่าสยดสยอง ผู้คนที่เดินทางมาที่นี่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเป็นพิเศษ
วูล์ฟตัวสั่นและขนลุก
ในระหว่างนั้นจู่ ๆ กระจกหน้าต่างบานใหญ่ก็ตกลงมาจากบ้านทั้งสองฝั่งของถนน เศษกระจกนี้ตกลงมาอย่างรวดเร็วและเกือบจะตกลงบนศีรษะของไป๋อี้อย่างไม่ทันตั้งตัวภายในชั่วพริบตาเดียว ไป๋อี้และคนในกลุ่มอีกสองสามคนหันไปมองทางด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเดินต่อไปทางด้านหน้าอย่างทองไม่รู้ร้อน การสั่นคลอนของกระจกที่ตกลงมานั้นมีเพียงเล็กน้อย แต่ไป๋อี้และคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็น ทว่าไม่มีใครให้ความสนใจ มีเพียงโม่โม่ที่มองไปทางด้านนั้นและดูเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง
“มีอะไรเหรอ” ไป๋อี้ถามขึ้น
โม่โม่มองไปทางนั้นพลางกระพริบตาเล็กน้อยแล้วส่ายหัว โม่โม่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง แต่ในเมื่อพ่อและคนอื่นไม่มีใครสังเกตเห็น เธอก็น่าจะมองมันผิดไป ไป๋อี้ตบไหล่โม่โม่โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าตรงกลางดวงตาของโม่โม่มีจุดสีแดงเล็ก ๆ ค่อย ๆ แพร่กระจายออกมา
สายตาของโม่โม่ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เธอยังเด็ก เป็นการผิดปกติด้านการมองเห็นตั้งแต่กำเนิด แต่ว่าหลังจากการรวมเซลล์ของเซลล์ดัดแปลง การมองเห็นของเธอก็ไม่ได้แย่ลงแต่กลับฟื้นตัวขึ้นมา ถ้ายึดตามจุดนี้จากมุมมองของโม่โม่เซลล์ดัดแปลงไม่เพียงแต่เป็นสิ่งเลวร้ายแต่กลับเป็นสิ่งที่ดีอีกด้วย ถึงอย่างไรก็ตามดวงตาของโม่โม่ก็เปลี่ยนไปพิเศษจากคนอื่น ๆ ลูกตาดำของเธอไม่มีอีกแล้วเหลือแต่เพียงตาขาวเท่านั้นและต่อมาภายหลังดวงตาของโม่โม่ก็ได้รับหยดเลือดจากร่างแม่แบบทดลอง ซึ่งมันกระจายอยู่ในตานั้น เพียงแต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของโม่โม่ดังนั้นจึงลืมเรื่องนี้กันไปตั้งนานแล้ว
ทุกคนเดินทางมุ่งหน้าไปในเมือง ขณะนั้นบานหน้าต่างที่แตกด้านข้างก่อนหน้านี้อยู่ ๆ ก็ปรากฏเงาร่างโปรงใสอันเลือนลางของคนผู้หนึ่งขึ้น
ยิ่งเดินมุ่งไปข้างหน้ามากเท่าไหร่บรรยากาศก็ยิ่งแปลกประหลาดและโม่โม่ก็ขยี้ตาเป็นระยะ ๆ
“โม่โม่” ในที่สุดไป๋อี้ก็รับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาย่อตัวลงและมองไปที่ตาทั้งสองข้างของโม่โม่
โม่โม่เงยหน้าขึ้นมามองพ่อของเธอ ทันใดนั้นไป๋อี้ก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติในดวงตาของโม่โม่ มันเหมือนกับหยดเลือดสดที่กระจายอยู่ในน้ำสะอาดกำลังค่อย ๆ แผ่ขยายและการแผ่ขยายนี้ไม่ได้จำกัดเพียงที่ดวงตาทั้งสองข้างของโม่โม่เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วยังดูเหมือนกับว่าจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกอันมืดมัว
ไป๋อี้ย่อตัวลงอย่างประหม่าทันทีพร้อมกับมองไปที่ดวงตาของโม่โม่อย่างระมัดระวัง ส่วนเมย์ริสก็วิ่งเหยาะ ๆ มาเตรียมที่จะช่วยตรวจดูโม่โม่ แต่เธอก็ไม่ได้ผลีผลามอะไร ไม่ว่าจะมองอย่างไรตอนนี้ดวงตาทั้งสองของโม่โม่ก็ค่อนข้างที่จะแปลกประหลาดเข้าไปทุกที ถ้าหากผลีผลามทำอะไรลงไปแล้วทำให้ดวงตาของโม่โม่เกิดเป็นอันตรายขึ้นมาคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ขอโทษนะ ฉันไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้มาก่อนเลย” เมย์ริสเอ่ยขอโทษขึ้น
“โม่โม่รู้สึกไม่ปกติที่ตรงไหนหรือเปล่า?”
“ตาหนูบวม ๆ รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้แต่ว่าร้องไห้ไม่ออก” โม่โม่ตอบกลับมา “อ๊าาาาา” ทันใดนั้นโม่โม่ก็ดีดตัวออกมาและได้ดึงมีดสั้นที่ด้านหลังออกจากฝัก ในชั่วพริบตานั้นก็มีเสียงร้องเกิดขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็จับจ้องไปยังสถานที่แห่งนั้น
ไป๋อี้และพรรคพวกงุนงงกับท่าทางเช่นนั้นของเธอในทันที จากนั้นจึงมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าพร้อมกันแต่ว่าที่นั่นมันก็เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าจริง ๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลยสักนิด
วิญญาณ!
ทันใดนั้นก็มีคำ ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของทุกคน เวลลิงตันเมืองผีสิงเป็นข่าวที่มีออกมานานแล้ว ก่อนหน้าที่ทุกคนจะมาที่นี่ในใจพวกเขาต่างก็ตระหนักดีในข้อนี้ แต่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างไร ตอนนี้พอมองไปที่ดวงตาและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของโม่โม่ก็รับรู้ได้ในทันที เหมือนกับว่าหลังจากที่โม่โม่มาถึงสถานที่แห่งนี้ ดวงตาทั้งสองข้างก็ได้รับการกระตุ้นให้สามารถเห็นผีหรือสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณได้
ดวงตาทั้งสองข้างของโม่โม่โฟกัสอย่างมีสมาธิ เธอพุ่งตัวไปข้างหน้าทันที มีดสั้นผ่านไปในอากาศอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงหยุดลง
สิ่งมีชีวิติรูปแบบวิญญาณตนนั้นที่เพิ่งขึ้นมาจากพื้นดินยังไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พลันเห็นแสงโค้งตามแนวการเคลื่อนไหวของมีดปรากฏผ่านตาแวบหนึ่ง มีดตัดเข้าที่เหนือลำคอของเขาโดยตรง แม้จะรู้ว่าเขานั้นได้ตายไปแล้วก็ตามแต่ว่าในตอนนี้ร่างวิญญาณก็ถึงกับสะดุ้งโหยงโดยที่ไม่รู้ตัว ตั้งแต่กลายมาเป็นวิญญาณเขามีแต่ทำให้คนอื่นตกใจกลัวแต่นี่เป็นครั้งเลยที่ถูกคนอื่นทำให้ตกใจกลัวแบบนี้
โม่โม่หยุดชะงักและหรี่ดวงตาของเธอลง จากนั้นจึงวางมีดสั้นขนาบไปกับหน้าอกของเธอพร้อมกับมองไปที่ด้านหน้าอย่างเคร่งขรึม
“โม่โม่ ใจเย็น ๆ~!” ไป๋อี้เตือนเธอไปหนึ่งประโยค
แม้จะไม่รู้ว่าผลสุดท้ายแล้วเหตุผลคืออะไร แต่เห็นได้ชัดว่าโม่โม่สามารถมองเห็นผีหรือที่พวกวิญญาณได้ เห็นได้ชัดว่าวิญญาณที่ปรากฏตัวต่อหน้าโม่โม่นั้นทำให้โม่โม่ตกใจ จากนั้นโม่โม่ก็เริ่มโจมตีไปโดยที่ไม่รู้ตัว ต้องรู้ไว้ว่าตอนนี้โม่โม่ถูกอบรมและฝึกฝนจนมีไหวพริบและปฏิกิริยาตอบโต้อย่างฉับไวเช่นนี้
บรรยากาศค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ไป๋อี้ยิ่งรับรู้มากขึ้นไปอีกว่ามีอะไรบางอย่างเกาะอยู่บนลำคอของเขาราวกับว่ากำลังหายใจรดต้นคอเขาอยู่
“ไสหัวลงไป ฉันไม่อนุญาตให้มาอยู่บนหลังของพ่อฉันนะ” โม่โม่ตะโกนใส่ทางไป๋อี้เหมือนแมวบ้า
“ลงมาเถอะ” ไป๋อี้พูดขึ้นอย่างใจเย็นโดยรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่แตกต่างด้านหลังของเขาอย่างเงียบ ๆ
เห็นได้ชัดว่าเจ้าวิญญาณตนนี้ยังไม่ยอมแพ้ มันบิดร่างกายเล็กน้อย จากนั้นไป๋อี้ก็รู้สึกได้ทันทีว่าอุณหภูมิโดยรอบลดลงอีกครั้ง ซึ่งมันไม่ใช่อุณหภูมิโดยรอบแต่เป็นเพียงความรู้สึกในใจ ราวกับว่าความร้อนถูกบางสิ่งดูดออกไป และเวลานี้ในสายตาของไป๋อี้ก็ปรากฏเงาร่างโปร่งใสขึ้น นัยน์ตาของชายผู้นั้นมีเลือดไหลออกมา ผมยาวปกคลุมใบหน้ามองเห็นได้เลือนรางและร่างกายก็ค่อย ๆ ลอยไปในอากาศ
เขาเจอผีเข้าให้แล้ว!
ถ้าหากเป็นคนธรรมดามาที่นี่ในเวลากลางคืน พวกเขาอาจจะกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้นกันเลยทีเดียวเชียว
แต่รู้มานานแล้วว่าจะมีพวกภูตผีวิญญาณในเวลลิงตันแห่งนี้ดังนั้นไป๋อี้และคนอื่น ๆ จึงไม่ตื่นตระหนกกันเท่าไหร่ แต่มันกลับค่อนข้างที่จะบอกได้ว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นการก่อกวนแบบนี้มันก็ทำให้คนธรรมดาหวาดกลัวได้ แต่จากเกิดสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้ในนิวซีแลนด์จะนับประสาอะไรกับพวกภูตผี ไป๋อี้เองได้ฆ่าพวกเดนมนุษย์เหล่านั้นด้วยวิธีที่โหดร้ายกว่านี้เสียอีก
“หึ~ ฉันมองเห็นมันได้แล้ว” ไป๋อี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ
……!
คาดเดากันว่าวิญญาณตนนั้นต้องตะลึงงันแน่ ปกติถ้ามันมักจะก่อกวนคนเล่นแบบนี้ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะกลายเป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการแล้วหรือไม่ พวกเขาล้วนต้องตกใจกลัวทั้งสิ้น แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นโม่โม่หรือพวกไป๋อี้ดูเหมือนพวกเขาจะสงบนิ่งมากและดูไม่ได้ตกใจจากการถูกหลอกเลยสักนิด
“ความกลัวเกิดจากสิ่งที่ไม่รู้ มนุษย์ไม่เคยเห็นวิญญาณจริง ๆ ดังนั้นในหลาย ๆ ครั้งพวกเขาจึงตกใจกลัวกันไปเอง แต่ว่าลูกสาวของฉันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะแบบนี้ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติฉันคงจะตกใจกลัว แต่ว่าตอนนี้น่ะเหรอ ไม่มีความกลัวหลงเหลืออยู่เลยสักนิด” ไป๋อี้ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเผชิญหน้ากับวิญญาณ ดวงตาแผ่รูปแบบกลิ่นอายลึกลับ
วิญญาณกระพริบไปมาอีกครั้งและหายไปจากดวงตาของไป๋อี้ จากนั้นไป๋อี้ก็รู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างพันอยู่บนร่างกายของเขาและรู้สึกหายใจได้อย่างลำบาก
ในตอนนี้โม่โม่มองไปที่ร่างกายของไป๋อี้
ไม่จำเป็นต้องพูดทุกคนก็รู้ว่าวิญญาณนั่นเข้ามาพันตามร่างกายของไป๋อี้ไว้ หากเป็นฉากแบบนี้ที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่คนคงคิดว่าถูกวิญญาณเข้าสิงแล้วเป็นแน่ นั่นจึงทำให้เขาหายใจลำบากและจะต้องเกิดความกลัวขึ้นในใจอย่างแน่นอน ยิ่งตกใจก็ยิ่งกลัวจากนั้นก็จะหวาดผวากันไปเองจนแทบตาย และนี่คือสิ่งที่เรามักจะเห็นในพล็อตหนังผีเหล่านั้น
“นี่คุณ ถ้าไม่อยากรักษาหน้าตาไว้แล้ว ฉันจะจัดการให้เอง” โม่โม่หน้าแดงและเอ่ยอย่างมีน้ำโห
“เป็นอะไรไปน่ะ โม่โม่”
“เธอกลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็โหนอยู่บนตัวของพ่อ” โม่โม่พูดขึ้นอย่างโกรธ ๆ
“โอ้ ผู้หญิงเหรอ สวยหรือไม่สวยล่ะ … คล้ายกับพล็อตเรื่องในหนังที่มันเย้ายวนหรือเปล่า โม่โม่เด็กขนาดนี้ก็เริ่มอิจฉาหวงพ่อแล้วเหรอ” เฮลัวส์ในเวลานี้ยังคงมีความคิดที่จะแกล้งโม่โม่อยู่อีก คนอื่น ๆ ก็มองไปที่ไป๋อี้ด้วยท่าทางขี้เล่น เห็นได้ชัดว่าบนตัวของไป๋อี้ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่แต่สายตาของทุกคนก็มองดูด้วยความแปลกประหลาด
“เฮ้ อย่าใช้สายตาแบบนี้มองฉันจะได้หรือเปล่า ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ไป๋อี้โต้กลับ
ในเวลานี้ทุกคนดูกังวลเพียงเล็กน้อย ทั้งหมดพูดคุยและหัวเราะกันตามอำเภอใจ เช่นเดียวกับที่ไป๋อี้กล่าวว่าความกลัวมาจากสิ่งที่ไม่รู้ ในเมื่อทั้งหมดได้รู้จักมันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอีก ตอนนี้ทุกคนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปและความตกใจกลัวก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลใด ๆ อย่างมากที่สุดก็แค่ทำให้พวกเขาลำบากเล็กน้อย จากนั้นต้องใคร่ครวญดูว่าจะจัดการกับเจ้าวิญญาณนี้อย่างไรดี
“กล้ามเนื้อถูกบีบด้วยแรงที่อธิบายไม่ได้ซึ่งจะทำให้หายใจลำบากบ้างแต่ว่าไม่เป็นไรหรอก สถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อคุณไม่มากนัก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือวิญญาณตนนี้มีความสามารถในการส่งผลกระทบต่อความเป็นจริง แต่ดูเหมือนจะอ่อนแรงมากเหมือนกับในภาพยนตร์น่ะที่คนธรรมดากลัวไปเองจนขาดใจตาย” เมย์ริสก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากเช่นกัน เธอช่วยไป๋อี้ตรวจดูตามร่างกายและพูดอย่างจริงจัง
“อย่างนั้นหรอกเหรอ” ไป๋อี้ขยับร่างกายเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเมื่อรู้ว่าไม่มีปัญหาอะไรที่มันผิดปกติ
นี่มันไม่มีปัญหาจริง ๆ น่ะเหรอ บนตัวมีวิญญาณโหนอยู่นะ วิญญาณน่ะ!
วิญญาณตนนั้นตะโกนดังๆอยู่ในใจและในที่สุดก็มองไปที่โม่โม่ด้วยความโกรธ จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษยัยเด็กผู้หญิงคนนี้ ถ้าหากโม่โม่มองไม่เห็นเธอล่ะก็จะเกิดสิ่งที่ไม่สมควรแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นในเวลานี้คนกลุ่มนี้คงจะตกใจกลัวเตลิดไปที่ไหนสักแห่งเพราะกลัวผีแล้วล่ะ