ไป๋อี้เดินอยู่บนถนนในแฮมิลตันประเทศนิวซีแลนด์ สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ไม่ต่างกับสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยเมฆดำครึ้มในตอนนี้ จากประเทศจีน เขาไล่ตามมาจนถึงประเทศนิวซีแลนด์ แต่ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นกลับมีเพียงประโยคเดียวนั่นคือ “เราเลิกกัน” อย่างไรก็ตามไป๋อี้ไม่ใช่คนประเภทที่จะเป็นจะตายเพราะปราศจากความรัก ในเมื่อความรักครั้งนี้จบลง เขาก็จะไม่เก็บมันมากวนใจอีกต่อไป
ซ่า ซ่า ซ่า เสียงฝนตกหนักดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ทำให้ไป๋อี้รีบต้องรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนตามชายคาข้างทาง
พอคิดว่าสภาพจิตใจแย่ไม่ต่างกับสภาพอากาศ ฝนก็ดันตกลงมาจริง ๆ ไป๋อี้ได้แต่แอบหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจ เขามองไปที่ม่านฝนที่ไหลรินตามชายคาลงมาอย่างไม่ขาดสาย ไป๋อี้คิดว่าเขาควรจะกลับประเทศ และตอนนี้เขาก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ทันใดนั้นเองไป๋อี้ก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงสุนัขเห่า
เขาค่อย ๆ หันไปตามเสียง ไป๋อี้เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ทว่าเสียงฝนตกหนักดังกลบเสียงอื่นจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไร สงสัยจะคิดไปเอง เวลาแบบนี้จะไปมีเสียงเด็กที่ไหนมาร้องไห้แถวนี้กัน ไป๋อี้กล่าวแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจในขณะที่ยืนหลบฝนอยู่ริมฟุตบาท เขายืนอยู่สักพักก็รู้สึกอดใจไม่ไหว เสียงนั่นไม่เหมือนกับเสียงที่คิดไปเอง
“คุณลูกค้า……!”
พนักงานของร้านที่ไป๋อี้ยืนอยู่เปิดประตูออกมาและยินดีให้ไป๋อี้เข้าไปหลบฝนข้างใน แต่ไป๋อี้กลับพุ่งพรวดออกไปท่ามกลางสายฝน พนักงานผิวขาวคนเดิมยื่นมือขวาออกไปและค้างเอาไว้อย่างนั้น บ้าไปแล้ว …… เป็นนักท่องเที่ยวจีนที่แปลกจริง ๆ เธอยักไหล่ จากนั้นก็ปิดประตูและกลับเข้าไปในร้าน
ไป๋อี้ตามเสียงร้องแผ่วเบาที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ไป จนพบตรอกเล็ก ๆ แล้วจึงวิ่งเข้าไป จากนั้นก็มองหาอย่างพินิจพิจารณา น่าจะได้ยินมาจากแถวนี้ ได้ยิน จริง ๆ นะ มีเสียงเด็กร้องไห้จริง ๆ
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงร้องของลูกหมาดังกระชั้นขึ้นมา ไป๋อี้ตื่นเต้นและรีบวิ่งตรงไปตามเสียงนั้นทันที เมื่อมาถึงมุมเปลี่ยว ไป๋อี้พบกล่องกระดาษแข็งขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังพบสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ตัวเล็กเห่าอยู่ท่ามกลางสายฝน
ไป๋อี้รีบพรวดเข้าไป จากนั้นก็เปิดกล่องกระดาษออก
ทารก~ เด็กผู้หญิง!
ในกล่องกระดาษพบเด็กทารกเพศหญิงอายุไม่ถึงขวบนอนอยู่ข้างใน ซึ่งขณะนี้น้ำฝนก็เกือบจะท่วมไปทั่วทั้งตัวของทารกน้อยอยู่แล้ว หลังจากไป๋อี้ตื่นตระหนกตกใจไปสักพัก เขาก็รีบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาพลางถอดเสื้อโค้ทของเขากางออกกันน้ำฝนให้ จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปที่ถนนข้างนอกอย่างฉับพลัน ในเวลาเดียวกันนั้นเองเจ้าสุนัขพันธ์ุชาร์ไป่ตัวน้อยแสนรู้ก็ติดตามไป๋อี้ไปด้วย
“Taxi,Taxi!” ไป๋อี้พุ่งพรวดออกมาจากตรอกเพื่อหยุดรถแท็กซี่จนเกือบจะโดนรถชน
“ไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ขอบคุณ” ไป๋อี้เปิดประตูรถแท็กซี่และเข้าไปในรถแท็กซี่ ในขณะที่เจ้าสุนัขตัวน้อยก็กระโดดตามเข้ามาด้วยอย่างรู้ความ ทั้งไป๋อี้และเจ้าสุนัขตัวน้อยเปียกปอนกันทั้งคู่ คนขับรถแท็กซี่เห็นดังนั้นก็นึกอยากจะบ่นสักสองสามประโยค แต่เมื่อหันไปเห็นเด็กทารกในอ้อมแขนของไป๋อี้ก็ต้องเปลี่ยนความคิด ฝนตกหนักทำให้เด็กน้อยเปียกปอนจนหน้าตาดูซีดเซียวผิดปกติ ทำให้เดิมทีคนขับรถที่อยากบ่นก่อนหน้าตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
“นั่งให้มั่น” พอพูดจบ คนขับรถก็รีบออกรถทันที เขาขับรถออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าจะบินได้อย่างไรอย่างนั้น
ในไม่ช้ารถแท็กซี่ก็พาไป๋อี้มาส่งถึงโรงพยาบาล ไป๋อี้เปิดประตูรถออกอย่างรีบร้อน แล้ววิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ เมื่อคนขับรถเห็นท่าทางเร่งรีบของไป๋อี้พลางส่ายหัวอย่างอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าคนนี้ ค่ารถก็ไม่จ่าย แต่คนขับรถกลับยิ้มออกมาและไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เริ่มสตาร์ทรถอีกครั้งและขับออกไป
“มีใครอยู่ไหม!!! นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน เร็วเข้า เธอจะไม่ไหวแล้ว”
เขาตะโกนเรียกที่เคาน์เตอร์พยาบาลแผนกต้อนรับดังลั่น ไป๋อี้วิ่งตรงไปที่ห้องฉุกเฉิน เตะประตูบานใหญ่ให้เปิดออก แพทย์ในห้องฉุกเฉินที่กำลังถือถ้วยน้ำชาอยู่ตกใจจนเกือบทำถ้วยน้ำชาในมือตกแตก
“หมอ รีบช่วยชีวิตเธอเร็ว ๆ เธอจะไม่ไหวอยู่แล้ว” ไป๋อี้พูดอย่างตื่นตระหนกพลางยื่นห่อเสื้อโค้ทใส่มือหมอ
แพทย์หญิงคนนั้นทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกไป แต่เมื่อเธอเปิดห่อเสื้อออกดูก็ต้องพบกับใบหน้าอันซีดเซียวของเด็กน้อย ทันใดนั้นเองสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังต่อหน้าที่ทันที
หลังจากที่ไป๋อี้เห็นว่าทารกน้อยถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว ไป๋อี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้จ่ายค่ารถ เขาจึงรีบวิ่งออกไป แต่กลับพบเพียงสายฝนพรำ มองออกไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถแท็กซี่คันนั้น
……
“นี่ เช็ดตัวก่อนสิ แล้วก็ถือโอกาสเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่แค่เจ้าหญิงน้อยที่คุณพามาแต่เกรงว่าตัวคุณเองก็ต้องลงทะเบียนผู้ป่วยอยู่ที่นี่กับพวกเราต่ออีกคน” พยาบาลคนหนึ่งกล่าว พร้อมกับนำผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าผู้ป่วยมาให้ที่หน้าห้องฉุกเฉิน
ไป๋อี้มองไปที่ของในมือพยาบาลก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณครับ!”
หลังจากที่ไป๋อี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเขาจึงกลับไปที่นอกห้องฉุกเฉิน แต่ก็ต้องพบเข้ากับเจ้าลูกสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่ที่นั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นมาตลอด ไป๋อี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเอามือลูบหัวเจ้าลูกสุนัขตัวนั้น เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว ไป๋อี้พูดกับเจ้าสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่
“รออีกสักพัก เดี๋ยวฉันจะไปซื้ออาหารมา”
“บ๊อก บ๊อก … !” เจ้าสุนัขตัวน้อยเห่ารับเบา ๆ ราวกับว่าเข้าใจสิ่งที่ไป๋อี้พูด
ต่อมาไม่นาน ไป๋อี้ก็กลับมาพร้อมกับกล่องข้าวสองกล่อง และกินข้าวไปพร้อมกับเจ้าสุนัขน้อย จากนั้นก็กลับมารอที่หน้าห้องฉุกเฉินดังเดิม ครู่ต่อมา คุณหมอก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน ไป๋อี้รีบพรวดออกไปทักทายคุณหมออย่างร้อนรน
“คุณหมอ เป็นยังไงบ้าง”
“จะเป็นยังไงงั้นเหรอ …… คุณคิดว่ายังไงล่ะ แน่นอนว่าต้องถูกส่งไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ในสถานที่อย่างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คุณคงมองออกนะว่าเด็กน้อยคนนี้จะมีชีวิตยังไง” พูดจบคุณหมอก็เดินไปยังห้องทำงานของตัวเองด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เห็นได้ชัดว่าแพทย์หญิงคนนี้รู้สึกไม่ดีต่อเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่เพราะอย่างนี้จึงยิ่งจนหนทาง
ไป๋อี้รู้สึกหนักใจมาก หลังจากแยกจากแพทย์หญิงคนนั้น เขาก็เข้าไปในห้องผู้ป่วยเพื่อดูทารกตัวน้อย
ขณะนั้นพยาบาลคนหนึ่งกำลังดูแลทารกตัวน้อยอยู่ พอเห็นไป๋อี้เข้ามา ก็รีบบอกกับเด็กน้อยว่า “ดูสิ พ่อของหนูมาแล้ว ไหนยิ้มหน่อย” เห็นได้ชัดว่าพยาบาลคนนี้กับแพทย์หญิงคนก่อนหน้านี้คิดเหมือนกันว่าไป๋อี้คือพ่อของเด็กน้อย
ไป๋อี้ยิ้มฝืด ๆ และก็ไม่ได้แก้ตัวอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อทารกน้อยมองไปที่ไป๋อี้ จากใบหน้าที่สงบนิ่งของเด็กน้อยกลับเผยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
ช่างใสซื่อบริสุทธิ์!
คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของไป๋อี้อย่างฉับพลัน เขาไม่สามารถคิดคำอื่นใดเพื่ออธิบายถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มของทารกน้อยได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาต้องการที่จะปฏิเสธใบหน้าเปื้อนยิ้มนี้ เพราะเขาไม่ใช่พ่อของทารกคนนี้
“ขอโทษนะ ผมไม่ใช่พ่อของเธอ”
“คุณพูดอะไรโง่ ๆ น่ะ ลูกสาวออกจะน่ารักน่าเอ็นดู ระวังคำพูดหน่อย มันอาจจะทำร้ายเธอเอานะ” พยาบาลสาวคนสวยเข้าใจว่าไป๋อี้แค่พูดขำ ๆ หลังจากนิ่งอึ้งไปสักพัก เขาก็เริ่มพูดออกมาเบา ๆ
“ผมไม่ใช่พ่อของเธอ” เขาพูดพร้อมกับหันหน้าไป
“เดี๋ยวนะ คุณหยุดเลย ทำไมเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ นี่หรือว่าคุณคิดจะทิ้งเธอไปใช่ไหม” พยาบาลดึงไป๋อี้ไปที่ประตู จากนั้นก็ว่ากล่าวตำหนิเขาเสียงดัง
“จะให้ผมรับผิดชอบอะไร ก็บอกแล้วว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของผม”
“จะไม่ใช่ลูกสาวคุณได้ยังไง ก็ดูคุณกระวนกระวายขนาดนั้นตอนพาเจ้าหญิงตัวน้อยมาส่งที่โรงพยาบาล ฉันก็นึกว่าคุณจะเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นคนอย่างนี้” พยาบาลยังคงตำหนิเขา ในขณะนั้นคนอื่น ๆ ในโรงพยาบาลก็เริ่มได้ยินเสียงเอะอะโวยวายและรู้ว่าเกิดเรื่องวุ่นวายที่นี่ หลายคนจึงเริ่มตามออกมาดูสถานการณ์
……
“ดูสิดู ดูเหมือนว่าคู่รักคู่นั้นกำลังทะเลาะกันอยู่!”
“หึ ฉันว่าผู้ชายคนนี้คงคบเล่น ๆ กับคนนั้นจนเบื่อแล้ว จากนั้นก็ปฏิเสธเธอ ดังนั้นผู้หญิงเลยมาตามเขาเพื่อให้เขารับผิดชอบ”
“จากที่ฟังมาเหมือนจะมีลูกสาว ผู้ชายคนนั้นบอกว่าไม่ใช่ลูกของเขา หรือว่าผู้หญิงจะคบชู้สู่ชาย”
“คุณนี่โง่จริง นี่เป็นอุบายที่ผู้ชายใช้บ่อยที่สุด ทำให้ผู้หญิงท้องป่องและบอกว่าไม่ใช่ลูกเขาเพื่อปัดความรับผิดชอบ”
……
คนรอบข้างยิ่งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้ามาห้อมล้อม แต่พวกเขาก็กระซิบกระซาบกันอยู่ตลอดเวลาและเสียงกระซิบเหล่านี้ก็ค่อนข้างจะดัง พยาบาลสาวได้ยินเสียงของคนรอบข้างพูด ยิ่งพูดยิ่งไร้สาระ แต่เธอก็อดทีจะอายจนหน้าแดงไม่ได้ ทันใดนั้นเธอก็ยื่นมือคว้าหมับบิดเข้าที่หูของไป๋อี้
“เฮ้ย นี่คุณ คุณจะทำอะไร มีพยาบาลแบบคุณด้วยเหรอเนี่ย ปล่อยผมนะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลย” ไป๋อี้ต้องการดิ้นสู้ แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่หูก็เจ็บยิ่งขึ้นเท่านั้น
“เห็นหรือยังว่าการเป็นผู้หญิงต้องมีความกล้าแบบนี้กล้าที่จะบิดหูของผู้ชายไม่อย่างนั้นคงได้แต่รอจนตัวเองถูกรังแกอย่างไร้เดียงสา” ฝูงชนรอบข้างเห็นท่าทีของไป๋อี้เเละพยาบาลสาว ทันใดนั้นก็เริ่มมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของฝูงชนพยาบาลสาวรีบดึงใบหูของไป๋อี้ลากกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809
MANGA DISCUSSION