[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 90 ไฟล์ 11 : เสียงกระซิบเรียกร้องให้รับผิดชอบตัวเอง [1]
- Home
- [นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง
- ตอนที่ 90 ไฟล์ 11 : เสียงกระซิบเรียกร้องให้รับผิดชอบตัวเอง [1]
ครั้งต่อมาที่ฉันเห็นอุรุมะ ซัทสึกิ เป็นตอนที่ฉันกำลังจะออกจากร้านหนังสือจุนคุณโดที่อิเคบุคุโระ
มันเป็นตอนบ่ายวันเสาร์ โทริโกะกับฉันนัดเจอกันที่ชั้น 1 ช่วงนี้พวกเรานัดเจอกันที่อิเคบุคุโระบ่อยมากเลย ฉันอยู่ที่สถานีมินามิ-โยโนะของรถไฟสายไซเคียว ส่วนโทริโกะอยู่ที่สถานีนิชิ-นิปโปริของรถไฟสายยามาโนเตะ เพราะงั้น เวลาที่เราอยากจะไปที่บ้านของคุณโคซากุระที่สถานีสวนสาธารณะซาคุจิอิ อิเคบุคุโระก็เป็นจุดเริ่มที่ดีเลยเหมือนกัน
พวกเราจะตรงไปที่บ้านของคุณโคซากุระกันเองก็ได้นั่นแหละ แต่ก็ ไม่รู้สิ ดูเหมือนสุดท้ายพวกเราก็ทำแบบนี้กันจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครบอกให้ทำแบบนี้ก่อนกัน แต่ก็คงจะเป็นโทริโกะนั่นแหละ
ฉันจ่ายเงินที่แคชเชียร์ แล้วก็เดินไปรับโทริโกะ―ที่กำลังดูแผงนิยายออกใหม่อยู่
“ขอโทษที่ให้รอ”
“ซื้ออะไรมาน่ะ?”
“หนังสือเรื่องพวกการตั้งแคมป์กับเอาตัวรอดน่ะ”
เพื่อจะให้การออกสำรวจของพวกเราก้าวหน้าไปอีกก้าว พวกเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีค้างคืนที่นั่นให้ได้ ถึงที่โลกเบื้องหลังในตอนกลางคืนมันจะอันตราย การต้องกลับบ้านก่อนจะมืดทุกครั้งมันก็จำกัดระยะทางที่พวกเราเดินทางได้มากเกินไป ถ้าจะเดินทางไปให้ไกลกว่านี้ พวกเราต้องหาให้ได้ว่าจะรักษาความปลอดภัยในเวลากลางคืนได้ยังไง เพื่อจะทำแบบนั้น ก็ต้องเรียนรู้ทักษะเอาชีวิตรอดเอาไว้ จนกว่าเราจะมีวิธีที่ดีกว่าล่ะนะ
โชคดีที่ช่วงนี้การออกไปตั้งแคมป์กำลังบูมเลย หนังสือที่จะมาอ้างอิงได้ก็เลยมีเพียบ ไหนๆ เราก็มาเจอกันที่นี่อยู่แล้ว เพราะงั้นฉันก็เลยซื้อไปดูซักหน่อย
“เธอไม่เห็นต้องใช้หนังสือเลยนี่นา ฉันสอนให้ก็ได้”
โทริโกะบอกมาแบบไม่พอใจเท่าไหร่ ดูเหมือนเธอจะเคยไปตั้งแคมป์มาแล้ว แล้วก็ได้ทางบ้านช่วยสอนให้ด้วยสมัยเด็กๆ แต่ว่า…
“โทริโกะ ก็เธอบอกเองนี่ว่าลืมเรื่องที่เคยเรียนพวกนั้นไปแล้วน่ะ”
“แล้วก็ เดี๋ยวไปถึงที่ฉันก็นึกออกได้นั่นแหละ”
“เอาอีกแล้ว พูดสุ่มสี่สุ่มห้าเอาอีกแล้ว…”
“ไม่ได้สุ่มๆ ซักหน่อยนะ! ร่างกายฉันจำได้อยู่แล้ว―ไม่มีปัญหาแน่นอน!”
“จ้าๆ ไว้ถึงภาคสนามเธอก็สอนฉันหน่อยแล้วกันนะ”
ฉันรู้สึกว่ามีสายตาของคนรอบๆ มองมาทางพวกเราที่กำลังคุยกันอยู่แล้ว พอฉันหันไปมองที่โทริกะ เราก็สบตากันพอดี
“อะไรเหรอ?”
“อ๊ะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก?”
“หืม”
พอฉันทัดผม―ที่ตอนนี้ยาวมาประบ่าแล้ว―ไปไว้หลังหู โทริโกะก็เบือนหน้าไปอย่างอึกอักเลย
“ดูท่าฉันอาจจะตัดผมออกดีกว่าแฮะ”
“เอ๊ะ… ทำไมล่ะ?”
“ไม่ได้เหรอ?”
“ก็ไม่มีเหตุผลที่เธอจะทำไม่ได้หรอก”
“ก็นะ เธอกับคุณโคซากุระบอกว่าถ้าฉันไว้ผมยาวแล้วก็คงดูดีนี่นา”
“ไม่ใช่แค่ผมยาวซักหน่อย แค่ว่าเธอไว้ผมยาวก็ดูเหมาะดีเหมือนกันเท่านั้นเอง… คิดว่านะ”
ระหว่างที่โทริโกะหลบสายตาอยู่แบบนั้น ฉันก็หรี่ตามองเธอกลับไป อะไรล่ะนั่น? หืม? เธอรู้สึกผิดอะไรงั้นเหรอ?
เอาจริงๆ ฉันก็รู้แหละว่าทำไมโทริโกะถึงทำแบบนี้ ทั้งหมดมันเริ่มมาจากความเห็นความเห็นเดียวของเซโตะ อาคาริ
จากที่คาราเตกะบอก เธอว่าถ้าฉันไว้ผมยาว ฉันก็จะดูคล้ายๆ อุรุมะ ซัทสึกิเลย
อ้อ นั่นสินะ? เธอคนนั้นตัวสูงกว่าฉัน แถมสายตาก็ยังดูดุๆ ด้วย ไม่ใช่ว่าพวกเรา 2 คนเหมือนกันแค่ตรงที่มีผมสีดำเท่านั้นเองเหรอ? จริงด้วย อุรุมะ ซัทสึกิดูร้ายกว่าเยอะเลยนี่ อย่าเหมารวมฉันไปเหมือนกับเธอแบบนี้สิ
…บางทีฉันก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจไปนะ แต่พอโดนชี้ให้เห็นแล้วทีนึง มันกลับสำคัญกับทั้งโทริโกะทั้งคุณโคซากุระเกินกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย แถมยิ่งหลังจากที่ทั้งคู่เพิ่งจะแนะนำให้ฉันไว้ผมยาวด้วย ความอิหลักอิเหลื่อยิ่งเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณไปเลย―เพราะทั้ง 2 คนน่ะ ไม่มีใครซักคนที่ก้าวผ่านความรู้สึกที่มีต่ออุรุมะ ซัทสึกิที่หายไปเลย
ไหนๆ ก็ไหนๆ เมื่องานฉลองหลังจบงานของพวกเราคราวก่อน ที่มีคาราเตกะรวมอยู่ด้วยอีกคน พวกเราสั่งพิซซ่ามาที่บ้านของคุณโคซากุระกัน แน่นอนว่าเราไม่มีทางไล่ MVP ของงานนี้ที่แลกหมัด―หรืออันที่จริง เป็นคนที่กระหน่ำซัดอยู่ฝ่ายเดียวเลยมากกว่า―กับซันนุกิคันโนะมาออกไปจากงานเลี้ยงได้ยังไงล่ะ แต่ พอมาย้อนนึกดูแล้วเนี่ย การให้เธอมากินพิซซ่าด้วยทั้งๆ ที่เพิ่งใส่ฟันกลับเข้าไปมันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ล่ะมั้ง
ยังไงก็เถอะ ตั้งแต่ตอนนั้นมา โทริโกะก็เหมือนจะรู้สึกผิดกับฉันอยู่นิดๆ ตลอดเลย ถึงฉันจะไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้นซักหน่อย
จริงๆ นะ ไม่ได้อะไรหรอก
ฉันออกมาจากร้านหนังสือ แล้วก็ยืนอยู่หน้าโทริโกะที่เงียบไปนิดนึง พวกเรายืนอยู่หลังฝูงชนที่ยืนรอให้ไฟข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตรงนี้เป็นทางเท้าที่เกาะกลางถนนของถนนเส้นหลัก ที่มาพร้อมกับรถราที่คับคั่ง ทางม้าลาย 2 อันที่ตัดแบ่ง เชื่อมระหว่าง 2 ฟากของถนน
พอฉันเงยหน้าขึ้นมามอง ฉันก็ชะงักตัวแข็งไปเลย
ที่อีกฝั่งนึงของถนน ตรงข้ามของทางม้าลาย หน้าร้านราเมงที่มีคนต่างชาติยืนต่อแถวยาวเหยียด ตรงหน้าแถวคนพวกนั้นก็มีกลุ่มคนที่รอข้ามถนนแบบของฝั่งเรานี่แหละ ที่ยืนรอให้ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
เธออยู่ตรงนั้น อีกแล้ว อยู่ในกลุ่มคนกลุ่มนั้น
ผู้หญิงตัวสูงในชุดสีดำ ผมดำยาว ใส่แว่นตา―อุรุมะ ซัทสึกิ
“โซราโอะ? มีอะไรหรือเปล่า?”
โทริโกะที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันถามขึ้นมา อาจจะเพราะสงสัยที่เห็นว่าฉันทำตัวแปลกๆ ล่ะมั้ง
ฉันตอบออกไปไม่ได้เลย โทริโกะก็เลยย่อเข่าลงมาดูไปที่ฝั่งตรงข้ามที่ระดับสายตาเดียวกันกับฉัน
“มีอะไรอยู่ตรงนั้นงั้นเหรอ?”
ฉันเหลือบมองหน้าของโทริโกะจากทางด้านข้างในระหว่างที่เธอพูดแบบนั้น ไม่มีทีท่าเลยว่าเธอจะสังเกตเห็นอะไรที่มันผิดปกติ แบบนี้นี่ แสดงว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่เห็นสิ่งนั้นได้จริงๆ สินะ
พอลองมองกลับไปพร้อมกับที่คิดแบบนั้นอยู่ด้วยแล้ว อุรุมะ ซัทสึกิก็ดูเด่นออกมาจากฉากรอบๆ เลยนะ ยังกับเป็นการตัดรูปเธอออกมาแปะไว้ตรงนั้นดื้อๆ เลย หัวของเธอลอยอยู่นิ่งๆ แล้วก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย ดูเหมือนเธอเป็นแค่รูปนิ่งเฉยๆ―เหมือนกับตอนที่เจอกับเธอคนนั้นที่โลกเบื้องหลังเลยนี่นา
พอนินทาถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บ รู้สึกจะมีคนเขาพูดกันแบบนั้นสินะ แต่ฉันยังไม่ได้พูดถึงเธอเลยด้วยซ้ำ ถ้าโผล่มาก่อนแบบนี้มันผิดกฎนี่
ไฟทางข้ามเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว คนรอบๆ พวกเราก็เริ่มออกเดินกัน สายตาของฉันที่มองอยู่ก็เลยโดนขัดจังหวะ อุรุมะ ซัทสึกิที่ฉันมองเอาไว้อยู่ก็เลยคลาดสายตาไปแวบนึง
พอฉันมองเห็นที่อีกฟากได้อีกรอบนึง สาวชุดดำคนนั้นก็หายไปจากภาพตรงหน้าแล้ว
“โซราโอะ”
โทริโกะวางมือบนบ่าของฉัน ฉันสูดหายใจลึกๆ ทีนึงก่อนจะส่ายหน้าตอบไป
“…โทษที เหม่อไปน่ะ”
ได้ยินแบบนั้น โทริโกะก็ขมวดคิ้ว แล้วจ้องเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น
“ไหวมั้ย?”
“ไหวๆ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ไม่มีอะไร”
“งั้นเหรอ โอเค”
โทริโกะลูบแขนฉันแบบกังวลๆ ก่อนจะเอามือเธอออกไป
แทบจะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ จะเป็นก็แค่เหตุการณ์พิเศษๆ เท่านั้นแหละ บางทีอาจจะเพราะแผลใจก่อนหน้านี้มันแวบขึ้นมาก็ได้ แบบที่เกือบจะหมดสติไปเลยน่ะ โทริโกะเองก็เจอเรื่องนั้นมาเหมือนกัน เพราะงั้นเธอก็ไม่สงสัยเรื่องที่ฉันพูดหรอก
เรื่องที่ฉันกลัวมันกลายเป็นจริงไปแล้ว
หลังจากตอนที่พวกเราเจอเข้ากับยามาโนเกะ เงาของอุรุมะ ซัทสึกิที่โผล่มาที่โลกเบื้องหลัง จู่ๆ ก็หายไปเลย มันไม่จบง่ายๆ แค่นี้แน่ เธอต้องกลับมาแน่นอน เผลอๆ จะโผล่มาที่โลกเบื้องหน้านี่ได้เลยล่ะมั้ง… แล้วความกลัวของฉันนั่น โชคร้ายหน่อยที่มันดันเกิดขึ้นจริง
เอาไงดีล่ะทีนี้? ตอนนี้มันเป็นปัญหาแล้วสิ
ถ้าเธอตามสะกดรอยพวกเราไปทุกที่เลยนี่มันก็ไม่ไหวนะ ยังดีที่มีแค่ฉันคนเดียวที่เห็นเธอได้ แต่การจะปิดเรื่องนี้จากโทริโกะน่ะมันต้องใช้สมาธิสุดๆ ไปเลยเนี่ยสิ
ตอนที่ฉันจมอยู่ในความคิดของตัวเอง พลางเริ่มเดินข้ามทางม้าลาบ จู่ๆ ก็มีรถคันนึงวิ่งฝ่ามา พุ่งเข้ามาต่อหน้าต่อตาฉันเลย
“เหวอ! โซราโอะ! เกือบไปแล้วนะ! ทำอะไรของเธอเนี่ย!?”
“อ- เอ๊ะ? แต่ ไฟมันเขียวแล้วน-…!?”
ตอนที่ฉันเงยหน้าขึ้นมาแบบงงๆ ในตอนนั้น ไฟมันก็กลายเป็นไฟแดงไปแล้ว ไม่ใช่แค่นั้นด้วย พวกเราไม่ได้อยู่ที่ฝั่งไหนของถนนเลย แต่กลับมาอยู่ที่เกาะกลางถนนซะงั้น
“…เอ๊ะ? ทำไมฉันอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ?”
“นี่ แน่ใจนะว่าโอเคน่ะโซราโอะ? เธอเดินมาตรงนี้เองนะ แล้วก็มาหยุดยืนตรงนี้ไง จำไม่ได้เหรอ?”
โทริโกะบอก แล้วเรื่องนี้มันก็เข้าใจได้ซักที
แล้วนี่… ฉันสติหลุดไปจริงๆ เหรอเนี่ย?
รถวิ่งตัดผ่านหน้าฉันไปไม่หยุด นี่ถ้าสติฉันยังไม่กลับมา แล้วก้าวไปอีกซักก้าวล่ะก็ ฉันคงโดนชนไปเรียบร้อยแล้วล่ะมั้งป่านนี้
ฉันคิดว่านั่นทำให้โทริโกะเสียสมาธิไปน่ะนะ
ถนนที่เดินตรงไปที่สถานีรถไฟเริ่มจะมีคนแน่นแล้ว แล้วรถก็วิ่งช้าลงแล้วด้วย มีรถบรรทุกโฆษณาเชิญชวนบริการอาบอบนวดมาจอดตรงหน้าพวกเราด้วย เสียงเพลงโฆษณา โปรโมทค่าจ้างสูงๆ ดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงของรถบรรทุก
พวกตัวละครหญิงที่วาดเอาไว้ข้างตัวรถก็มีเหมือนมีคนเอาหมึกทาทับมั่วๆ อยู่บนตัวด้วย ฉันก็เลยเสียสมาธิกับมันไปหน่อย
ไม่ทันสังเกตเลยว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนี้เลย จนกระทั่งคนๆ นั้นเขาเรียกพวกเรามาจากข้างหลัง
“เออ ขอโทษนะ เออ…”
ฉันหันไปตามเสียงสั่นๆ นั่น แล้วตรงนั้นก็มีคุณป้าในวัย 40 ปลายๆ คนนึงยืนอยู่ เธอสวมเสื้อกันหนาวชายหลุมลุ่ย กระโปรงยับๆ แล้วก็รองเท้าแตะ เธอมีกระเป๋าสะพายเฉียงสีดำอยู่ใบนึงบนบ่า ผมของเธอมันแผลบ แถมมีกลิ่นเครื่องหอมอย่างแรงลอยโชยมาจากตัวเธอด้วย
ป้าคนนั้นมองมาที่โทริโกะ แล้วก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เลย
“มือ! มือ!”
“เอ๊ะ?”
“มือ เธอคือคนคนนั้น จากในรูปนี่”
ฉันกับโทริโกะหันมามองหน้ากัน ไม่รู้เรื่องเลยว่าป้าเขาพูดเรื่องอะไรกันแน่
“ฉันได้เห็นในบล็อก คิดมาตลอดเลยว่ามันสวยจริงๆ ฉันเลยปริ้นท์มันออกมา แล้วก็พกติดตัวไว้ตลอดเลย”
ป้าเขาเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองออก แล้วก็ให้พวกเราเห็นของที่อยู่ข้างในนั้น ซึ่งมันก็มีแฟ้มกระดาษอยู่หลายอันเลย แต่ละอันก็มีหัวข้อเขียนเอาไว้ที่สันด้วย อย่าง [ขอบคุณ] [ขอโทษ] [ความฝัน] แล้วก็ [!!!ปีศาจ!!!] เขียนเอาไว้ด้วยปากกามาร์คเกอร์เส้นหนา ป้าคนนั้นดึงแฟ้มที่เขียนว่า [ขอบคุณ] ออกมาจากกระเป๋า แล้วก็ดึงรูปใบนึงในนั้นออกมา
“นี่ นี่ไง นี่น่ะ คือเธอใช่มั้ย?”
รูปที่ป้าเขาเอามาโชว์ตรงหน้าพวกเราคือรูปของโทริโกะ
โทริโกะกำลังนั่งอยู่บนรถไฟ เปิดมือถือดูอยู่ มือของเธอไม่ได้ปิดอะไรเอาไว้ จนมองเห็นได้เลยว่ามือของเธอสามารถมองทะลุผ่านไปได้ ส่วนที่โปร่งแสงก็พอจะเห็นได้อยู่ว่ามีนิ้วของเธออยู่ตรงนั้น เพราะเธอไม่ได้ใส่ถุงมืออยู่ อาจจะเป็นช่วงที่เราไปเจอกับท่านฮัชชาคุก็ได้นะ
“อะไรน่ะ? ทำไม―”
ตอนที่โทริโกะกำลังจะเริ่มพูด ป้าคนนั้นก็เริ่มพ่นไม่หยุดเลย
“ฉันมองดูเธอมาตลอดเลย เธอและมือเป็นประกายข้างนั้นของเธอ คนที่สวยขนาดเธอไม่ได้มีมากมายอะไร ฉันก็คิดว่าการจะมองหามันง่ายๆ เลย รูปนี้ถ่ายมาจากรถไฟสายยามาโนเตะ ฉันก็เลยออกตามหาตามสถานีใหญ่ๆ ตามรถไฟสายยามาโนเตะทุกวัน แล้วพาตัวฉันไปเจอกับเธอให้ได้ แล้วตอนนี้ ในที่สุด ฉันก็หาเธอเจอแล้ว ความต้องการของฉันเป็นจริงตามปรารถนาแล้ว ทุกอย่างได้เชื่อมโยงกันแล้ว”
หนาวจนขนลุกไปถึงหัวเลยแบบนี้
ฉันเดินไปขวางหน้าป้าคนนั้นโดยไม่ต้องพูดอะไรซักคำ ก่อนจะพูดกับโทริโกะผ่านไหล่ของตัวเองไป
“ไฟเขียวเมื่อไหร่ วิ่งเลยนะ”
“โซร―”
“อย่าพูดชื่อฉัน!”
โทริโกะปิดปากของเธอได้ทันเวลาพอดี ฉันไม่อยากจะหลุดข้อมูลส่วนตัวอะไรให้กับคนแบบนี้ซักอย่างเดียวเลย
ดูเหมือนในที่สุด ป้าคนนี้ก็เพิ่งจะรู้สึกซักทีว่าฉันก็อยู่ตรงนี้ด้วย ก่อนจะชูกำปั้นของซ้ายที่กำจนแน่นมาหาฉัน เป็นท่าแปลกๆ อย่างการเอานิ้วโป่งไปเหน็บอยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง
TN: Fig sign / Manu Fica เป็นสัญญาณมือแบบนึง โดยการสอดนิ้วโป้งไปใต้นิ้วชี้แล้วกำมือเข้ามาอย่างที่จะเห็นในรูปข้างล่างนะครับ ตามความเชื่อของกรีกโบราณ นี่คือสิ่งที่ใช่ขับไล่หรือปัดเป่าคำสาปของนัยน์ตาปีศาจหรือสิ่งชั่วร้าย แต่ในปัจจุบัน ท่าทางนี้มีความหมายไม่ต่างจากการชูนิ้วกลางใส่เลยครับ เผลอๆ จะเป็นการด่าที่แรงกว่าอีกด้วยซ้ำ
อย่าไปทำมือแบบนี้ที่ไหนนะครับ โดยเฉพาะต่างประเทศ เดี๋ยวจะโดนสหบาทาพาหลับไม่รู้ตัว
“แก! หยุดเดี๋ยวนี้! อย่ามามองฉัน!”
ป้าพูดออกมาแบบแปลกๆ โดยที่ยังชี้มือซ้ายเข้าหน้าของฉันอยู่แบบนั้น
ก่อนที่ฉันจะทันได้ทำอะไร โทริโกะก็ตะโกนใส่ป้าคนนั้นเลย
“ทำอะไรเนี่ย!? หยุดเลยนะ!”
“นัยน์ตาปีศาจ! นั่นมันนัยน์ตาปีศาจ! อ๊าาา! แกจะเอาดวงตาน่าสะพรึงนั่นไปมองคนอื่นได้ยังไงน่ะฮะ! อย่ามามองฉัน!”
TN: นัยน์ตาปีศาจ (Evil eyes) หรือ 邪視 (Jashi) เป็นการมองที่เชื่อกันในหลายวัฒนธรรมว่าสามารถทำให้ผู้ถูกมองได้รับการบาดเจ็บหรือโชคร้าย หรือในกรณีอื่นก็เชื่อว่าการจ้องจะทำให้ผู้ถูกจ้องป่วย และบางครั้งอาจจะมีอาการหนักถึงเสียชีวิตได้ เกิดจากการจ้องมองด้วยความอิจฉาหรือความรังเกียจ มักจะหมายถึงอำนาจของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในการก่อให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายได้ด้วยการมองอย่างประสงค์ร้าย
สิ่งที่ง่ายที่สุดในการป้องกันในประเทศยุโรปที่เป็นคริสเตียนคือการทำสัญญาณกางเขนด้วยนิ้วมือไปยังแหล่งที่มาของอันตราย หรือก็คือ Fig sign ข้างบนนั่นแหละ ส่วนแป้นหรือลูกกลมที่เป็นวงน้ำเงินรอบวงกลมขาวที่มีชื่อว่า “nazar (nazar boncuğu/nazarlık)” เป็นสัญลักษณ์ของนัยน์ตาปีศาจที่เป็นที่นิยมใช้เป็นยันต์ในตะวันออกกลาง ตามตำนานแล้วตายันต์ที่จ้องเป็นสิ่งที่หันเหการจ้องด้วยความประสงค์ร้ายกลับไปยังผู้จ้องเอง หน้าตาแบบในรูปข้างล่างนี่เลยครับ
ดูเหมือนโทริโกะจะโมโหเพราะเธอคิดว่าป้าคนนั้นชูนิ้วด่าฉันสินะ แต่ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าป้าเขาทำอะไรกันแน่ เธอกำลังขจัดสิ่งชั่วร้ายอยู่ มันมีตำนานของ [นัยน์ตาปีศาจ] ที่สามารถสาปผู้คนได้เพียงแค่เหลือบมองอยู่ทั่วทุกมุมโลกเลยล่ะ แล้วเรื่องการทำท่าหยาบคายนี่สามารต่อต้านพวกมันได้เองก็แพร่กระจายไปทั่วเลยเหมือนกัน ถึงฉันจะคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะได้มาเจอก็เถอะนะ…
นี่ต้องเป็นทีท่าของคนที่งมงายในเรื่องเหนือธรรมชาติแบบสุดกู่อย่างชัดเจนเลยล่ะ แต่ในมุมแปลกๆ นี้นี่ ป้าเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเกินจริงไปเลยนะ ตาขวาของฉันมันก็สามารถจ้องใส่แล้วทำให้คนเป็นบ้าไปได้จริงๆ พอคิดแบบนั้นแล้ว ก็รู้สึกว่ามันน่าขำอยู่นิดๆ เหมือนกันนะ
สงสัยอารมณ์มันจะออกมาทางสีหน้าของฉันด้วยล่ะมั้ง เพราะป้าเขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะเริ่มกรีดร้องออกมาต่อ
“มีอะไรน่าขำรึไงฮะ!? ยัยเด็กเวร! อีเด็ก***ก! นังปีศาจ!”
ตอนที่ฉันกะจะบอกป้าเขาไปว่า “นั่นน่ะมันไม่ได้ผลกับฉันหรอกน้าาาา” แล้วขู่เธอเล่นซะหน่อย แต่ฉันก็ตัดสินใจไม่ทำแบบนั้น ก็นะ ไปแหย่ให้คนแบบนี้ยิ่งเอาใหญ่มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก
“ไปกันเถอะ”
ไฟข้ามถนนเพิ่งจะเปลี่ยนพอดี ฉันก็เลยเรียกโทริโกะแล้วก็หันหน้าจากมา พวกเราเดินอ้อมรถบรรทุกโฆษณาที่ยังจอดขวางทางอยู่แบบนั้น แล้วก็วิ่งข้ามทางม้าลายมา ในตอนที่เราฝ่าฝูงชนที่เดินสวนมาจากอีกฝั่งกันแบบเต็มที่ ป้าคนนั้นที่อยู่ข้างหลังพวกเราก็ตะโกนไล่หลังมา
“เดี๋ยว! ขอร้องล่ะ! รอเดี๋ยว! แค่นิดเดียวก็ได้! มือที่เป็นประกายนั่―”
พวกเราไม่หยุดอยู่รอฟังให้ป้าเขาพูดจนจบประโยคหรอก ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในมวลมหาชนของอิเคอุคุโระนี่
TN: เปิดมาก็น่าสงสัยเลยแฮะ แบบนี้