[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 76 ไฟล์ 9 : ตัวตนของยามาโนเกะ [3]
พวกเราไปกันได้ช้ากว่าออกเดินเองกันอีก―อยู่ที่ 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมงล่ะนะ―ทำให้ภาพทิวทัศน์รอบข้างพวกเรามันก็ไหลผ่านไปด้วยความเร็วเอื่อยๆ ไม่ต่างกัน
หลังจากที่ออกมาจากเกท ถนนมันก็ราบรื่นดีนะ ระดับพื้นดินมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากมายอะไร ทางด้านขวาของพวกเราเป็นหนองน้ำ ผิวน้ำตรงนั้นก็เป็นประกายวิบวับ มีฟองผุดขึ้นมาจากในนั้นบ้าง บางจุดก็มีน้ำวน เหมือนจะบอกจุดที่มีกลิตช์บางแบบอยู่เลยแฮะ
คงยุ่งยากแน่ถ้าเกิดฉันดันไปเห็นคุเนะคุเนะซักตัวเข้า ฉันก็เลยต้องเพ่งสมาธิไว้ที่ตาตัวเอง ตั้งใจไม่ให้มองออกไปไกลเกินกว่าที่ควรจะทำ
“ฉันใช้ตาขวามองเอาไว้ตลอดแล้วนะ แต่เพื่อความปลอดภัย ช่วยโยนตัวนอตพวกนี้ไปข้างหน้าด้วยได้มั้ย?”
“ได้เลย”
ฉันยื่นกระเป๋าตะปูหนักๆ ให้เธอไป โทริโกะก็ล้วงมือเข้าไปในนั้น ก่อนจะโยนพวกตัวนอตไม่ก็แหวนนอตออกไปข้างหน้าในทางที่พวกเราตรงไป
แถวนี้กลิตช์ไม่ได้หนาแน่นเท่าไหร่ แบบนี้เดินหน้าต่อไปสบายเลย-…
พอคิดแบบนั้นเท่านั้นแหละ ตัวนอตที่เธอโยนออกไปตัวนึงก็ตกลงกับพื้น แล้วก็มีอะไรซักอย่างคล้ายๆ กับต้นเฟิร์นสีรุ้งเริ่มงอกออกมาจากพื้นตรงนั้นเลย
“อุหวา! อะไรล่ะนั่น!?”
ฉันเผลออุทานออกมาเลย
“ไม่สมเหตุสมผลเลยนะนั่นน่ะ…”
นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกซักหน่อยที่เรื่องมันไม่สมเหตุสมผลเลยแบบนี้ พอคิดได้แบบนั้นฉันก็พยายามจะไม่คิดมากกับมันเกินไป ก่อนจะค่อยๆ ขับอ้อมตรงนั้นไปช้าๆ
“ประมาทกันไม่ได้จริงๆ เลยนะเนี่ย ฉันว่าถ้าเกิดเข้าไปใกล้กว่านี้ฉันก็คงจะเห็นนั่นแหละ แต่ก็ไม่อยากจะเข้าไปใกล้เจ้าของแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้วล่ะนะ”
“ฉันจะจริงจังกับหน้าที่ปาของนี่ให้มากกว่าเดิมอีกซักหน่อยก็แล้วกัน…”
มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะว่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นที่โลกเบื้องหลังจะเกี่ยวข้องกับการรับรู้ของพวกเราอย่างลึกซึ้งเลย แต่ว่า แต่ละครั้งที่พวกเราเจอกับอะไรที่มันไร้เหตุผลแบบนี้แล้วเนี่ย มันก็รู้สึกขึ้นมาอย่างแรงเลยล่ะว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ
แล้วมันก็ต่างจากความไม่สมเหตุสมผลแบบที่เจอในเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริงไปนิดหน่อยด้วย หรือบางที นี่มันอาจจะเกิดมาจากการติดต่อระหว่างโลกเบื้องหลังกับการรับรู้ของมนุษย์ซักแบบนึงก็ได้
ถ้าฉันมองออกไปในทุ่งหญ้าโล่งนี่ มันก็ดูเหมือนๆ กันไปหมดเลย มีหินเหลี่ยมๆ ถูกฝังไว้ใต้กอหญ้าส่วนนึง โผล่ขึ้นมาเหมือนป้ายหลุมศพ มีกล่องกระดาษที่เปื่อยยุ่ย แล้วก็มีของคล้ายๆ สายเคเบิลสีเหลืองเยอะแยะเลยออกมาจากใต้มัน มีอะไรซักอย่างคล้ายๆ โมบายกลับหัวงอกขึ้นมาจากพื้นด้วย―นั่นมันเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นมา หรือว่าเป็นต้นไม้ที่หน้าตาบังเอิญออกมาเป็นแบบนั้นล่ะเนี่ย?
กลิตช์บางอันต่อให้ไม่มีแสงสีเงินอยู่รอบๆ ก็ยังบอกได้เลยนะว่ามันอันตราย บางอันเองก็ดูน่าสงสัยชัดๆ เลยนะ แต่พอมองด้วยตาขวาของฉันแล้วมันก็ไม่ได้ดูผิดปกติอะไรซะงั้น
ถ้าฉันมองออกไปไกลๆ มันก็มีเสาไฟฟ้าอยู่เป็นแถวเลย สายไฟพันไปรอบพวกมันจนดูเหมือนเถาวัลย์ ตรงยอดเสาก็มีของรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมเคลื่อนไหวไปมาระหว่างยอดเสาด้วย นั่นเป็นตัวอะไรในโลกเบื้องหลังที่เคลื่อนไหวได้ถึงจะเป็นเวลากลางวันหรือเปล่านะ? ไม่งั้น มันก็คงเป็นแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติอะไรซักอย่างเท่านั้นแหละ
หลังจากที่ปาตัวนอตออกไปพร้อมกับสีหน้าจริงจังแบบนั้น อยู่ๆ โทริโกะก็พูดขึ้นมา
“นี่ อยากไปกินเบนโตะกันที่ไหนกันดีเหรอ?”
“เธอคิดถึงเรื่องนั้นแล้วเหรอเนี่ย?”
“ก็ แบบว่า―ฉันตั้งตารอเลยนะ กินข้าวกล่องกับเธอแบบนี้น่ะ”
ฉันรู้สึกเหมือนว่าโทริโกะทำตัวเหมือนเด็กกว่าตอนแรกที่พวกเราเจอกันเลยแฮะ คิดไปเองหรือเปล่านะ?
นานๆ ที ฉันก็จะคอยหันกลับไปมองข้างหลังของพวกเราบ้าง
“มีอะไรเหรอ? มีอะไรอยู่ข้างหลังพวกเราหรือเปล่า?”
โทริโกะเห็นฉันทำแบบนั้นก็ถามขึ้นมา
“เปล่าหรอก แค่สงสัยว่าเรามากันได้ไกลขนาดไหนแล้วเท่านั้นเอง”
AP-1 บดต้นหญ้าไปใต้ตีนตะขาบของมัน ทิ้งเอาไว้เป็นร่องยาว 2 รอยมาตลอดทางที่พวกเราขับผ่านมา พวกเราออกห่างจากจุดที่กากบาทเอาไว้ในแผนที่ที่เคยว่างเปล่าของพวกเรามาเรื่อยๆ แล้วตอนนี้…
“โซราโอะ ยิ้มด้วยนี่นา”
“เอ๊ะ? ฉันเหรอ?”
“เธอดูเครียดกว่าทุกทีนะ แต่ก็ดูดีใจด้วยน่ะ”
“อย่ามองกันแบบนั้นสิ…”
ถึงจะตอบโทริโกะไปแบบนั้น แต่ฉันก็ว่าตัวเองเห็นด้วยกับเรื่องนั้นนะ ตั้งแต่ตอนที่เจอโลกเบื้องหลัง ฉันก็อยากจะทำอะไรแบบนี้อยู่แล้วล่ะ
อยากจะออกสำรวจผืนหญ้าที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคยนี่―ที่มีแค่ฉันคนเดียว―ให้หนำใจไปเลย
คุณโคซากุระยังงงเลยว่าหลังจากเจอประสบการณ์น่าขนลุกแบบนั้นมาแล้ว ทำไมฉันถึงยังจะที่โลกเบื้องหลังนี่ต่ออีก แต่แรงจูงใจของฉันมันก็ยังเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่แรกอยู่ดี ตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะเจอกับโทริโกะด้วยซ้ำ
ฉันยังจำความหงุดหงิดตอนที่ได้เจอกับเธอครั้งแรกได้ชัดเจนอยู่เลยนะ ตอนนั้น ฉันตกใจมากที่ว่าโลกเบื้องหลังมันไม่ใช่ที่ลับๆ ของฉันคนเดียวมากกว่า นอกเหนือจากนั้น ตอนที่ฉันตื่นเต้นอยากจะสำรวจมัน ทางเข้ามันก็หายไปต่อหน้าต่อตาฉันเลย
ถ้าเกิดโทริโกะไม่ได้แวะมาเจอฉันหลังจากนั้น หรือถ้าเกิดเธอไม่ได้เล่าเรื่องเกทที่จิมโบโจให้ฟังล่ะก็ อยากรู้เหมือนกันนะว่าฉันที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกเบื้องหลังเลยเนี่ยจะเป็นยังไง
คุณอาบาราโตะ ชายที่พวกเราเจอตอนที่เรามาเจอเข้ากับท่านฮัชชาคุ ที่กำลังออกตามหาตัวภรรยาของเขาเป็นบ้าเป็นหลัง จนหาเกทเจอได้ด้วยตัวเองเลย แต่ฉันจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าระดับความมุ่งมั่นของเขามันสูงขนาดไหนกัน ที่ฉันอยู่ที่นี่ ตอนนี้ มาทำนู่นทำนี่แบบนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณที่โทริโกะที่อยู่ตรงนั้นด้วยนี่แหละ
ฉันจ้องไปที่โทริโกะ ที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตาโยนตัวนอตออกไปเต็มที่เลย
“หืม? อะไรเหรอ?”
“เปล่าหรอก ก็แค่คิดขึ้นมาเฉยๆ น่ะ ว่าดีใจที่ได้เจอเธอเท่านั้นเอง”
“อุหวา? จู่ๆ ก็พูดอะไรเนี่ย?”
โทริโกะถามออกมาโดยที่ยิ้มยิงฟันออกมาเลย
ฉันเริ่มจะมองเธอออกขึ้นมาแล้ว―เธอจะทำตัวแบบนี้แหละเวลาที่รู้สึกเขินขึ้นมา ฉันพยายามเต็มที่เลยที่จะไม่เบือนหน้าหนีมา ไม่อยากจะแพ้ขนตาสีทองกับนัยน์ตาสีน้ำเงินสวยที่อยู่ในกรอบขนตาคู่นั้นเลย แล้วก็… ดีล่ะ เธอเริ่มจะทำตัวแปลกๆ แล้ว
“โซราโอะ อย่าจ้องกันขนาดนั้นสิ มันน่าอายออก”
เธอเบือนหน้าหนีไป หูแดงแจ๋เลย
ถึงเธอจะดูห่างเหิน แต่ถ้าเกิดชมเธอตรงๆ ล่ะก็ เธอจะเขินเพราะเรื่องนั้นมากกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีกนะ ฉันคิดได้แบบนี้พอดีตอนพวกเราเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำกันที่ชายหาดที่พวกเราหลุดเข้ามาตอนอยู่ในโอกินาว่า
ฉันก็หันกลับไปมองข้างหลัง แล้วก็กลืนน้ำลายอึก ก่อนจะเปิดปากพูด
“พ- พวกเรา 2 คน อยู่ด้วยกันแค่นี้ สำรวจไปในโลกที่ไม่คุ้นเคย มันทำให้ฉันดีใจน่ะ ฉันดีใจมากๆ เลยนะที่เธอเลือกฉันน่ะ”
ระหว่างที่พูดออกมา ฉันก็พูดจนคล่องได้ซักที แล้วคำพูดมันก็ไหลออกมาได้คล่องเลย
“ตอนนั้น ที่เธอเรียกมันว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดในโลกน่ะ เอาจริงๆ ตอนแรก ฉันก็ไม่เข้าใจเลยนะว่าเธอพูดเรื่องอะไรกันแน่ แต่ว่า―”
“ว- หวา หวา หวา เดี๋ยวสิ อะไรกันน่ะ?”
พอทนไม่ไหวแล้ว โทริโกะก็หันกลับมามองที่ฉัน ตาเบิกกว้างเลย
“เป็นอะไรเนี่ย โซราโอะ? ไม่คิดเหรอว่าวันนี้เธอทำตัวแปลกๆ น่ะ?”
“ค- คิดงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าฉันก็เป็นยังงี้ตลอดหรือไง?”
“ไม่อะ ไม่ใช่เลยซักนิด แบบว่า ยังไหวใช่มั้ย? ไปเห็นอะไรที่มันปั่นป่วนในหัวเข้าให้งั้นเหรอ?”
ทีนี้ เป็นตาโทริโกะที่จ้องมาที่ฉันบ้างแล้ว ด้วยความกังวลเต็มใบหน้าเลย ตอนที่ฉันอึกอักทำอะไรไม่ถูก เธอก็ฉวยโอกาสตรงนั้นช่องว่างตรงนั้น เข้ามาหยิกแก้มฉัน แล้วตอนที่เธอบี้แก้มฉันไปมา โทริโกะก็บอก
“ถ้าเธอเสียสติไปจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย? ตีซักทีหรือตบซักฉาดจะช่วยให้หายหรือเปล่า? นี่―――”
“อย่ามาบีบหน้าฉันสิ!”
ฉันสะบัดเธอออกไป แต่การขยับตัวแบบนั้นก็เกือบทำฉันร่วงลงมาจากที่นั่งของตัวเองเลย
“เหวอ นี่”
โทริโกะยื่นมือออกมาคว้าแขนฉัน แล้วช่วยดึงตัวกลับขึ้นมาได้ทันเวลาพอดี
“เห็นมั้ยล่ะ เพราะดิ้นเยอะไงถึงได้เป็นแบบนี้น่ะ”
“เป็นความผิดของเธอนั่นแหละ โทริโกะ!”
คำตอบของฉันทำให้โทริโกะหัวเราะคิกคักออกมาเลย
“โอ้ เยี่ยมเลย กลับมาเป็นโซราโอะอย่างทุกทีแล้ว”
“ทำไมถึงชอบมาจับหน้าฉันจังเลยเนี่ย? เห็นคนอื่นทำหน้าตลกๆ แล้วมันสนุกขนาดนั้นเลยรึไง?”
“อืม เวลาฉันเห็นเธอทำสีหน้าน่ากลัวแล้ว มันรู้สึกขึ้นมาว่าอยากจะดึงเธอให้กลับมาเป็นปกติน่ะสิ แล้วมือมันก็ขยับไปเองเลย”
“ฉันมีสีหน้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“อย่างตอนนี้สีหน้าเธอก็ดูเครียดๆ ตึงๆ นะ”
หา? เธอดูเครียดยิ่งกว่าฉันซะอีกนะ… นี่เธอพูดประชดหรือไงเนี่ย?
ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะเรื่องนี้ซักหน่อยก็เถอะ แต่ฉันก็เหลือบไปมองข้างหลังพวกเรา แนวรอยล้อ―ที่ส่วนใหญ่ก็ขับมาตรงๆ นั่นแหละ ยกเว้นหลายๆ จุดที่เราต้องเลี้ยวหลบกลิตช์กัน―คดไปคดมายังกับคนขับเพิ่งจะไปดื่มมาจนเมาแอ๋เลยก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ฉันขับตรงไปข้างหน้า หนองน้ำทางด้านขวาของพวกเราก็ตื้นขึ้นๆ จนสุดท้ายก็พ้นจากเขตหนองน้ำจนได้ พื้นดินค่อยๆชันตัวขึ้น แล้วฉันก็มองเห็นต้นไม้โตกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วด้วย
“แค่ตรงไปอีกหน่อย แล้วก็เลี้ยวข้างหน้า จากตรงนั้นไป ถ้าเกิดพวกเราตรงไปทางตะวันออก พวกเราก็ควรจะไปถึงเกทที่จิมโบโจแล้วนะ”
ได้ยินแบบนั้น โทริโกะก็ยกมือขึ้นมา
“หัวหน้าคะ เมื่อไหร่จะได้เวลากินข้าวกล่องกันซักที?”
“รอจนกว่าจะไปถึงเกทก่อนไม่ได้เหรอ?”
“อุหวาา ถ้าพวกเรากินหลังจากที่ไปถึงจุดหมายแล้ว มันก็ไม่ได้อารมณ์น่ะสิ หยุดแวะตรงไหนซักที่ก่อนระหว่างทางดีกว่านะ”
AP-1 ปี่ขึ้นเนินไปอย่างช้าๆ และมั่นคง ถึงจะมีจุดด้อยอยู่บ้างก็เถอะ แต่ใช้รถคันนี้นี่มันก็ทำการเดินทางเหนื่อยน้อยลงไปเยอะเลยนะ ป่าข้างหน้านั่นมันดูพื้นดินจะอยู่ในระดับเดียวกันพอสมควรเลย เพราะงั้นพวกเราก็เลยเลาะตัดผ่านตามต้นไม้ไปได้
“อารมณ์งั้นเหรอ? โอเค ถ้างั้นลองแวะแถวๆ นี้ก่อนแล้วก―ฮะ?”
พอเห็นอะไรซักอย่างที่ฝั่งตรงข้ามของทิวไม้ ฉันก็หรี่ตาเพ่งดู
“โทริโกะ นั่นมันตึกหรือเปล่า? ตรงนั้นน่ะ”
“โอ้… เห จริงด้วยนะ”
“แล้ว เสียงนี่มัน…”
พอฉันตั้งใจฟังดีๆ ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังลอยมาไม่หยุด เหมือนเสียงของหนักๆ บดเข้าด้วยกันเลย
พวกเราหันมามองหน้ากัน จากนั้นก็พยักหน้าให้กันและกัน โทริโกะไปคว้า AK มา ตรวจดูในรังเพลิง จากนั้นก็พักปากกระบอกบนรางวางสัมภาระของ AP-1 แล้วก็ระแวดระวังรอบข้าง ฉันเองก็เช็คกระสุนของ M4 ของตัวเองด้วยเหมือนกัน พอฉันเริ่มขับ AL-1 เดินหน้าอีกรอบนึง ก็ใช้เวลาไม่นานเลยที่เจ้าของชิ้นนั้นที่ถูกพวกกิ่งไม้ซ่อนเอาไว้จะโผล่ออกมาให้เห็นเต็มๆ ตา
มันเป็นอาคารสูงสร้างจากคอนกรีต ส่วนข้างนอกพังลงมาหมดแล้ว จนโดนทั้งมอสทั้งต้นไม้ขึ้นคลุมไปหมดเลย ตรงยอดสุดของตึกก็มีจานหมุนหนาๆ อันใหญ่เท่าๆ กับชั้นๆ นึงได้แบบสบายๆ อยู่ด้วย ส่วนรอบวงของมันทั้งหมดก็ทำมาจากแก้วหมดเลย
ตัวจานมันหมุนไปช้าๆ สงสัยเสียงบดที่ฉันได้ยินคงจะมาจากเจ้านี่ล่ะมั้ง
“คิดว่ามันคืออะไรเหรอ โซราโอะ?”
“ไม่ใช่หอชมวิวเหรอ?”
ฉันตอบไปแบบง่ายๆ แล้วโทริโกะก็เบิกตาโพลงเลย
“เห็นก็บอกได้เลยเหรอ?”
“มันมีอยู่ที่นึงบนภูเขาคัมปู ในจังหวัดอาคิตะน่ะ สมัยประถม ฉันเคยไปทัศนศึกษาที่นั่นอยู่ หรืออะไรแบบนั้นนั่นแหละ ฉันแค่พอจะจำได้ว่ามันมีหอชมวิวหมุนรอบแบบนี้ที่นั่นด้วยเท่านั้นเอง”
“หมุนรอบ… แสดงว่ามันหมุนได้รอบทิศเลยงั้นสินะ? คิดว่ามันอันตรายหรือเปล่า?”
“จากตรงนี้ ฉันไม่เห็นอะไรที่ดูเหมือนกลิตช์เลยนะ”
ระหว่างที่ฉันมองมันอยู่ ฉันก็ขับ AP-1 เข้าไปใกล้อาคารนั้นขึ้นอีก จากที่ฉันกวาดสายตามองดูเร็วๆ แล้ว ฉันก็เห็นทางเข้าเปิดโล่ง ก่อนจะลงจากรถไปแอบมองดูข้างในตึกนั่น ข้างในมันว่างเปล่าเลย มีแค่บันไดวนที่ติดอยู่รอบๆ เสาค้ำตรงกลางอาคารกับราวจับเท่านั้นเอง
ฉันดับเครื่องยนต์ แล้วพวกเราก็ยืนรอดูก่อนซักพักเผื่อจะมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวเลย นอกจากส่วนห้องชมวิวที่หมุนรอบๆ อยู่เหนือหัวพวกเราแค่อย่างเดียว
“ดูจะปลอดภัยดีนะ”
โทริโกะพูดขึ้นพร้อมกับลดปืน AK ในมือเธอลง
“อยากขึ้นไปดูหรือเปล่า? จุดชมวิวก็เป็นจุดสวยๆ ที่ทำให้เราเห็นภาพดีๆ ได้รอบเลยนะ แล้วอีกอย่าง―――”
“ก็เป็นที่เหมาะๆ จะกินข้าวกล่องกันด้วย?”
“ใช่เลย!”
โทริโกะหัวเราะร่าเลยตอนที่ฉันพูดจบประโยคนั่นให้ ดูเหมือนเธอจะปักหลักเรื่องกินข้าวกล่องกันมากๆ เลยนะเนี่ย
TN: เพราะ ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดในโลกแล้วยังไงหล้า~!
หอชมวิวหมุนรอบเขาคัมปู (寒風山回転展望台) พื้นที่บริเวณยอดเขาคัมปูนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าและไม่มีสิ่งกีดขวางทิวทัศน์ หอชมวิวนี้จึงทำให้สามารถชมทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่สวยงามได้ จนได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งในสามวิวงามของโลก (โดยนักวิจารณ์ชาวญี่ปุ่น)
ลองพื้นที่รอบๆ ดูสิครับ ผมเห็นด้วยเลยนะที่ว่าสวย