[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 75 ไฟล์ 9 : ตัวตนของยามาโนเกะ [2]
สัปดาห์ต่อมา วันเสาร์ 10 โมงเช้า
พวกเรามาเจอกันที่สวนหน้าบ้านของคุณโคซากุระ แล้วก็เตรียมตัวเดินทางออกไปกันแล้ว
ปืนของพวกเราประกอบเอาไว้แล้วเรียบร้อย แมกกาซีนก็ใส่กระสุนเอาไว้เต็ม ถึงฉันจะฝากหน้าที่ประกอบไรเฟิลให้โทริโกะอย่างทุกทีนั่นแหละ มาคารอฟ 2 กระบอก, AK-101 ของโทริโกะ แล้วก็ M4 CQBR ของฉัน คือบ้านหลังนี้มันก็มีรั้วสูงอยู่นะ แถมยังมีพวกต้นไม้กั้นระหว่างพวกเรากับบ้านข้างๆ ด้วย ฉันเลยไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็นพวกเราได้หรอก แต่เรื่องที่พวกเรามีอาวุธปืนครบมืออยู่ในกลางย่านที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่นแบบนี้เนี่ยมันก็ยังทำให้ฉันหวั่นใจอยู่ดีนั่นแหละ
“ถ้าคนส่งของมาตอนนี้พอดีจะทำยังไงเนี่ย?”
“บอกไปว่าเป็นเซอร์ไววัลเกมก็พอแล้ว หรือจะบอกว่าเป็นคอสเพลย์ก็ได้แหละ?”
“ถ้าเขาเกิดสนใจขึ้นมา มันจะยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่นะ”
“คนส่งของไม่มีเวลามาทำอะไรแบบนั้นหรอก เพราะงั้นไม่เป็นไรแน่ ว่ามั้ย?”
ไหนๆ ก็ไหนๆ นะ ครั้งนี้พวกเรา 2 คนมีของชิ้นใหม่มาด้วยนะ สายรัดไงหล้า! …ที่ฉันหมายถึงมันก็คือสายคล้องธรรมดาๆ บ้านๆ นี่แหละที่เราสามารถเอามาติดกับไรเฟิลของพวกเราได้ ที่เราสามารถปล่อยมันให้สะพายอยู่บนไหล่ของเราเองได้ ฉันลองซื้อของซักอย่างนะที่มันชื่อว่าสายสะพายปืนอเนกประสงค์ Magpul Multi-Mission มาจากอเมซอน ตามคำแนะนำในเว็บบล็อกเซอร์ไววัลเกมล่ะนะ
หลังจากที่ฉันปรับความยาวของสายซักหน่อย ฉันก็สะพาย M4 ของตัวเองไว้กับไหล่ได้เรียบร้อย
TN: Magpul Multi-Mission Sling เป็นสายสะพายแบบนี้นะครับ
“รู้สึกยังไงบ้าง โซราโอะ?”
“แบกง่ายสุดๆ เลยล่ะ…”
“ใช่มั้ยหล้า? รู้งี้ซื้อพวกมันมาตั้งนานแล้วนะเนี่ย”
“ถ้าเกิดรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เธอก็น่าจะพูดอะไรซักหน่อยนะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะลากไรเฟิลหนักๆ กระบอกนี้ร่อนไปทั่วด้วยมือเปล่าๆ แค่นั้นเลยเนี่ย”
“ฉันไม่เคยคิดเลยน่ะว่าอุปกรณ์เสริมปืนมันหาซื้อได้ง่ายๆ ในอเมซอนเลย”
มันเริ่มมาจากตอนที่ฉันคุยกับโทริโกะ แล้วก็พูดเรื่องที่ว่าไรเฟิลนี่มันหนักขนาดไหน กับมันทำให้เหนื่อยขนาดไหนล่ะนะ ตอนนั้นแหละที่ฉันได้รู้เรื่องการมีอยู่ของสายสะพายปืนน่ะ แล้วก็น่าตกใจเหมือนกันนะที่อุปกรณ์เสริมแต่งปืนที่ใช้กับปืนจริงๆ ได้เนี่ยมันถูกเกินคาดเลย แถมสินค้าตัวจริงกับของเลียนแบบคุณภาพสูงก็หาซื้อได้อย่างธรรมดาๆ เลย แม้แต่ในญี่ปุ่นแบบนี้ก็เถอะ
“พวกเรามีกระสุนอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่แล้วด้วย พอจะมีที่ไหนที่พวกเราพอจะหาเติมมั้ยนะ?”
ฉันถามขึ้นมาในขณะที่นับกระสุนที่เหลืออยู่ในกล่อง แล้วโทริโกะก็กลับมาคิด
“ที่โลกเบื้องหลังน่ะ ซัทสึกิทิ้งของเอาไว้หลายที่อยู่เหมือนกันนะ แต่เรื่องตำแหน่งเนี่ยฉันจำแทบไม่ได้เลย ไม่มั่นใจเท่าไหร่นะว่าจะไปเอาของพวกนั้นได้น่ะ แต่มันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้นจากตรงที่พวกเราออกสำรวจกันขนาดนั้นหรอก ถ้าฉันพาพวกเราไปถึงตรงนั้นได้ พวกเราก็ค่อยลองดูแล้วกัน”
“ได้เลย งั้นจดไว้เป็นรายการสิ่งที่ต้องทำอีกอันนึงนะ”
ฉันรูดซิปปิดกระเป๋าเป้ของตัวเอง แล้วก็ลุกขึ้นยืน
“ถ้างั้น ไปก่อนนะคะ”
ฉันตะโกนเรียกคุณโคซากุระ แต่เธอก็ไม่ตอบอะไรกลับมาเลย พอฉันเอี้ยวตัวไปมอง ก็เห็นเธอยืนกอดอก พิงเสาต้นนึงที่ระเบียงหน้าบ้านของเธออยู่ ดูเหมือนกำลังลำบากใจอยู่เลย คิ้วขมวดแน่น ตาเหล่มองอยู่แบบนั้นด้วย
“คุณโคซากุระ? มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
พอฉันเดินเข้าไปหา คุณโคซากุระก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลืมตาขึ้นกว้าง แล้วก็เตะเข้าที่หน้าแข้งฉันเบาๆ
“โอ้ย! ทำอะไรคะเนี่ย!?”
“จะบอกให้รู้แล้วกันนะ ฉันเตรียมใจเอาไว้ว่าอาจจะไม่ได้เจอพวกเธอ 2 คนอีกแล้วก็ได้ ฉันเคยคิดอยู่ตลอดเลยว่าตัวเองเป็นพวกไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา แต่ว่า… มันก็ยังทำให้ฉันหน่วงๆ อยู่ในใจมากอยู่ดี”
“โคซากุระ…”
โทริโกะเดินไปหาคุณโคซากุระ ก่อนจะวางมือบนบ่าของเธอ ส่วนสูงต่างกันสุดๆ ไปเลยนะ มองแบบนี้แล้วชวนให้นึกถึงพี่น้องที่อายุห่างกันมากๆ ยังไงยังงั้นเลย
“คุณแม่เองก็ร้องไห้อยู่บ่อยๆ เลยเหมือนกัน ก็แต่งงานกับทหารนี่นา ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะกลับมาหลังจบภารกิจได้หรือเปล่า แถมความตายก็เป็นความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ แม่บอกว่าเวลาแม่มองส่งใครไป แม่ก็จะคิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้อยู่ตลอดเลย”
คุณโคซากุระมองดูมือที่วางอยู่บนไหล่ของตัวเองอย่างเคลือบแคลงสงสัย แล้วก็เหลือบขึ้นไปมองที่หน้าของโทริโกะ
“เธอมีคำแนะนำอะไรให้ฉัน จากความทรงจำน่าเศร้าพวกนั้นหรือไง?”
“ถ้าเป็นคุณแม่ ตอนที่คุณแม่ไปเข้ากับกลุ่มสนับสนุนสำหรับครอบครัวทหาร ก็ช่วยให้ดีขึ้นอยู่หน่อยนึงนะ อ้อ แล้วก็ คุณแม่ชอบวาดมังงะด้วยล่ะ แม่ก็จะวาดอะไรนู่นนี่จิปาถะแล้วก็อัปโหลดมันขึ้น―โอ้ย!”
โดนเตะหน้าแข้งเข้าไปแบบนั้น โทริโกะก็สะดุ้งโดดถอยหลังมาเลย
“โอเค! พอแล้ว! ฉันขอโทษแล้วกัน! ขอโทษด้วยที่พูดอะไรแปลกๆ น่ะ!”
“อย่าอยู่ๆ ก็โมโหสิคะ…”
“หนวกหูน่า รีบไปกันซักทีเถอะ”
ฉันกับโทริโกะหันมามองหน้ากัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ทุกอย่างต้องราบรื่นแน่นอนค่ะ คุณโคซากุระ”
“อื้อๆ ฉันกับโซราโอะอยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเราก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มันก็เป็นแบบนั้นมาตลอดเลยนี่ว่ามั้ยล่ะ?”
“ฉันล่ะไม่เข้าใจความมั่นใจจนผิดปกตินั่นของพวกเธอเลยจริงๆ”
คุณโคซากุระส่ายหัวไปมาอย่างจนใจ
“เอาล่ะ ยังไงก็เถอะ กลับมาให้ได้ถ้าทำได้ก็แล้วกัน ดูแลสติของตัวเองให้ดีกันด้วยล่ะ”
คุณโคซากุระเหมือนจะพูดว่า [i]ดูแลตัวเองให้ดีกันด้วยล่ะ[/i] เลยนะ
โทริโกะกำพื้นที่ว่าที่เป็นเกทด้วยมือซ้ายที่โปร่งแสงของเธอ การเปลี่ยนแปลงที่มือของเธอตอนแรกก็เป็นแค่ที่ปลายนิ้วนะ แต่ตอนนี้มันก็แพร่ไปทั้งมือข้างซ้ายแล้ว ตอนที่มือข้างนั้นที่เปล่งประกายด้วยแสงแดดขยับ ก็เหมือนกับมีม่านถูกดึงออกมา แล้วทุ่งหญ้าที่ไม่ใช่ของโลกนี้ก็ปรากฏขึ้น พวกเราพยักหน้าให้กัน แล้วก็เดินลอดผ่านเข้าไปพร้อมกัน พอลอดผ่านหน้าตัดที่ปักสัญลักษณ์เอาไว้ด้วยเสาหลักไม้เลื้อยมาแล้ว อากาศชื้นๆ ที่ต่างจากที่พวกเรารู้สึกก่อนหน้านี้ กับความเงียบสนิทอันแสนล้ำค่าก็โอบล้อมรอบตัวพวกเรา
พวกเราเดินผ่านระหว่างเสาโทเทม 2 ต้นที่ตีนเนินเขา เข้ามาในอีกโลกนึงอีกครั้ง
พอโทริโกะปล่อยมือออก เกทก็ปิดลงข้างหลังพวกเรา ตัดขาดพวกเราออกจากโลกเบื้องหน้าอย่างสมบูรณ์
รู้สึกเย็นๆ ที่ผิวหนังกว่าก่อนหน้านี้ซะอีก นี่นอกจากโลกเบื้องหน้าแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงก็เข้ามาถึงโลกเบื้องหลังด้วยเหรอเนี่ย? ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ คงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับหิมะที่กำลังจะมาถึงในหน้าหนาวซะแล้วสิ
ข้างๆ เกทก็มีของชิ้นใหญ่ที่คลุมเอาไว้ด้วยผ้าใบสีฟ้าวางไว้อยู่ พอพวกเราแกะเชือกบางๆ ที่มัดเอาไว้รอบๆ มันออก แล้วก็ดึงผ้าใบออกมา ใต้นั่นก็มีเครื่องจักรทางการเกษตรสีแดง-ขาวที่อยู่บนล้อตีนตะขาบเล็กๆ นี่ก็คือรถ AP-1 ของพวกเรานั่นเอง พอเห็นแบบนี้ ฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเลย
“โล่งอกไปที ยังอยู่ดีสินะ”
“อยู่ดีงั้นเหรอ?”
“ฉันกังวลอยู่หน่อยๆ น่ะว่าถ้าเกิดมันเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นของแปลกๆ ล่ะก็ พวกเราจะทำยังไงกันดี ก็แบบ เหมือนตอนที่หุ่นยนต์ของพวกกองกำลังสหรัฐไปเหยียบกลิตช์เข้าจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปไง”
ตอนที่พวกเราอยู่ที่โลกเบื้องหน้าน่ะ ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นที่โลกเบื้องหลังอยู่บ้าง ถ้าเกิดไม่ได้มีเรื่องของพวกปืนที่โทริโกะทิ้งเอาไว้ที่นี่ก่อนหน้านี้ล่ะก็ ฉันไม่มีทางเอา AP-1 แสนมีค่าของพวกเรามาทิ้งเอาไว้ในนี้เด็ดขาดเลย ถึงยังไง เจ้านี่มันแพงมากเลยนะ เอาซะแทบหมดวงเงินในบัตรเครดิตของฉันเลยด้วยซ้ำ…
เพราะแบบนั้นแหละ ตอนนี้ฉันก็เลยถังแตก ยังไม่ได้ใช้หนี้จากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาเลยด้วย เพราะงั้น ถ้าเกิดฉันไม่เอาอะไรซักอย่างจากโลกเบื้องหลังนี่กลับไปล่ะก็ ฉันต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ๆ
โทริโกะเดินไปที่ AP-1 เอาเป้ของเธอเองไปวางบนชั้นวางที่หลังคา แล้วก็กำลังจะไปนั่งตรงที่นั่งของเธอแล้วด้วย ฉันก็เลยตะโกนทักเธอไว้ก่อน
“มาช่วยกันพับผ้าใบสีฟ้าอันนี้ก่อนสิ”
“โอ๊ะ จริงด้วย ได้เลยๆ”
ฉันกับโทริโกะจับผ้าใบเอาไว้ สะบัดมัน แล้วก็จัดให้ขอบมันตรงกัน เป็นผ้าใบผืนใหญ่จริงๆ เลยนะ การจะพับมันนี่ต้องใช้ความพยายามพอควรเลย
โทริโกะมองหน้าฉัน ก่อนที่จู่ๆ จะยิ้มออกมา
“มีอะไรเหรอ?”
“ก็ พอพวกเราถือผ้าใบเอาไว้แบบนี้ มองหน้ากัน แถมยืดแขนออกจนสุดแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ? ฉันคิดว่ามันดูคล้ายๆ กับกำลังเต้นลีลาศอยู่เลยล่ะ”
“โทริโกะ เธอเต้นเป็นด้วยเหรอ?”
“เป็นสิ! ฉันเคยเรียนในคาบออกกำลังกายที่ไฮสคูลน่ะ เพราะงั้น―โอ๊ะ เออ ในญี่ปุ่น ก็น่าจะเป็นประมาณชั้นม. 2 ล่ะมั้งนะ?”
“หืม”
“แล้วเธอล่ะ โซราโอะ?”
“รู้สึกว่าจะเคยโดนบังคับให้เต้นบงโอโดริอยู่ตอนประถมนะ”
ตอนที่ฉันตอบไปเนี่ย ฉันคิดว่าฉันเทียบประสบการณ์ของโทริโกะไม่ได้เลยล่ะนะ แต่ในตาของโทริโกะกลับลุกวาวเลย
“สอนการเต้นบงโอโดริให้ฉันหน่อยนะ เดี๋ยวฉันสอนวิธีเต้นลีลาศให้เธอเอง”
“ไม่ล่ะ ฉันจำไม่ได้ขนาดที่จะสอนให้เธอดีๆ ได้หรอกนะ”
“ถ้าเกิดได้ฟังเพลงไปด้วยล่ะก็ ฉันมั่นใจเลยล่ะว่าการเต้นพวกนั้นต้องกลับเข้ามาในหัวเธอแน่นอน”
หลังจากที่มัดผ้าใบเอาไว้ด้วยเชือกเรียบร้อย พวกเราก็วางมันไว้บนชั้นวางที่หลังคา แล้วฉันเองก็เอากระเป๋าเป้ไปวางบนชั้นด้วยเหมือนกัน
ก่อนที่ฉันจะขึ้นไปนั่งที่ที่นั่งของตัวเอง ฉันก็สตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์ดังก้องตัดผ่านทุ่งหญ้ารกนั่นช่วยให้ฉันสบายใจได้เลยล่ะ แต่ในเวลาเดียวกันนี่ ฉันก็คิดว่ามันอาจจะไปดึงดูดความสนใจจากตัวอะไรซักอย่างที่อยู่กันในฝั่งนี้เข้าก็ได้ จนทำให้ฉันเผลอหันไปมาอยู่รอบๆ เลย
ต้นไม้ที่กระจัดกระจายอยู่ตามทุ่งหญ้าสีซีด ก้อนหินที่มีรูปร่างต่างๆ ที่ดูเหมือนจะมีความหมายอะไรซักอย่างอยู่ เสาไฟฟ้าที่สายไฟขาดไปหมดแล้ว แล้วก็อาคารที่ถล่มไปแล้วที่เห็นได้อยู่ไกลๆ นั่น
ฉันมองไปทางเนินเขา พวกเราขับ AP-1 ขึ้นไปที่นั่นก่อน แล้วก็ก้มลงไปมองทางหนองน้ำทางทิศตะวันออก
“…”
“มีอะไรเหรอ โซราโอะ?”
โทริโกะมองตามสายตาของฉันขึ้นไปทางยอดเนินเขานั้นอย่างสงสัย
“เธอเห็นอะไรหรือเปล่า?”
หลังจากที่เหลือบมองหน้าของโทริโกะที่หันข้างอยู่พักนึง ฉันก็ส่ายหน้า
“…เปล่า ก็แค่คิดเรื่องว่าจะใช้เส้นทางไหนไปดีเท่านั้นเองน่ะ”
“พวกเราอยากจะไปที่เกทที่เปิดไปที่จิมโบโจใช่มั้ยล่ะ? ฉันว่าตัดผ่านเนินเขาไปเลยมันก็เร็วสุดแล้วนะ แต่…”
“มันมีพวกคุเนะคุเนะอยู่อีกฟากนึงของเนินเขานี้ด้วยงั้นสินะ? ฉันว่าพวกเราก็รับมือพวกมันได้นะ แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องลำบากเอาตัวเองไปเจอกับประสบการณ์น่าสะอิดสะเอียนแบบนั้นหรอก”
“โอ้ นั่นสินะ ก็จริงของเธอนั่นแหละ”
อาจจะเพราะเธอนึกถึงความคลื่นไส้ในตอนนั้นขึ้นมาได้ล่ะมั้ง โทริโกะถึงได้ทำหน้าบึ้ง แลบลิ้นออกมาแบบนั้นน่ะ
“ตรงนั้นน่ะ บนพื้นก็มีน้ำเอ่อท่วมอยู่ด้วยนะ ฉันเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ด้วยว่า AP-1 มันจะสามารถขับฝ่ามันได้ดีแค่ไหน ไปทางใต้อ้อมรอบเนินเขา แล้วเข้าไปทางทุ่งหญ้าที่มีกลิตช์เยอะๆ ตอนที่พวกเราเจอกับคุณอาบาราโตะครั้งแรกดีกว่านะ”
“นั่นมันตรงที่เจอกับท่านฮัชชาคุนี่นา แน่ใจเหรอ?”
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าฉันต้องเลือกซักทางนึงจาก 2 ทางนี้ล่ะก็ ฉันขอเลือกทางนี้แล้วกัน”
“อืม…”
โทริโกะพูดขึ้นพลางมองไปทั่วๆ
“ก็ ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมไม่ลองไปทางที่พวกเราไม่เคยไปมาก่อนดูล่ะ? ไม่ต้องไปทางใต้หรอก พวกเราอ้อมขึ้นไปทางเหนือของเนินเขากันเถอะ”
“ทางเหนือ งั้นเหรอ?”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ถ้าเกิด AP-1 ฝ่าพื้นที่นั้นไม่ได้ก็คงแย่เลยล่ะนะ แต่ก็… อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดนั่นแหละ ไว้พวกเราก็ค่อยจัดการกับเรื่องพวกนั้นก็แล้วกัน”
“ดีล่ะ งั้นก็ตกลงตามนั้นเลยนะ”
พวกเราขึ้นนั่งบนที่นั่งของตัวเอง โทริโกะนั่งฝั่งซ้าย ส่วนฉันก็นั่งฝั่งขวา มีช่องว่างกั้นระหว่างพวกเราอยู่ แต่ก็ไม่ได้กว้างขนาดจะเอื้อมมาหากันไม่ถึงหรอกนะ
“เอาล่ะ! งั้นก็ ไปกันเลย!”
“โอ้!”
หลังจากที่โทริโกะตะโกน ฉันก็ขยับคันบังคับเพื่อเปลี่ยนทิศทาง ตีนตะขาบอันเล็กๆ ก็หมุนเอื่อยๆ ขยับเปลี่ยนทิศทางของตัวรถไปอย่างช้าๆ
“…ฉันน่าจะเก็บเรื่องตะโกนเอาไว้ก่อน รอให้เธอเปลี่ยนทิศของรถให้เรียบร้อยก่อนน่าจะดีกว่าเนอะ?”
“อยากจะทำอีกซักทีมั้ยล่ะ?”
“ก็ไม่รู้สินะ…”
ในที่สุด พวกเราก็หมุนรถกันเสร็จซักที พอฉันดันคันโยก AP-1 ก็ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า
TN: โคซากุระซัง~^^
แล้วก็ เดี๋ยวมาเสริมเรื่อง [โอบง] ไว้ตรงนี้นะครับ
盆踊り (Bon Odori) จะเกิดขึ้นในเวลากลางคืนพร้อมกับเสียงกลองในศาลเจ้าวัดและสวนสาธารณะ มีจุดประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของทั้งการต้อนรับและการเฉลิมฉลองของคนเป็นกับคนตายผ่านการเต้นรำแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
ส่วนที่ว่าเทศกาลโอบง (お盆 : Obon) นี่ ก็คือประเพณีของชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งจะตรงกับวันที่ 13–15 สิงหาคม (ยกเว้นในภูมิภาคคันโตที่จะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 13–16 กรกฎาคม) โดยที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าในช่วงเวลาดังกล่าว บรรดาวิญญาณของบรรพบุรุษจะกลับมา และจะมีการจุดไฟรอรับที่หน้าบ้าน จัดสำรับอาหารเลี้ยง การละเล่น ในวันสุดท้ายของเทศกาลจะมีการจุดไฟเพื่อส่งวิญญาณกลับ
บางคนอาจจะคุ้นๆ กับแตงกวากับมะเขือม่วงเสียบไม้เป็นรูปม้ากับวัวนะครับ เจ้าพวกนี้ก็คือพาหนะสำหรับบรรพบุรุษ เรียกว่า 精霊馬 (Shouryou Uma) (แปลว่า ม้าวิญญาณ) โดยแตงกวาจะสื่อถึงม้า และมะเขือม่วงจะสื่อถึงวัว ความหมายก็คือ ขามาให้บรรพบุรุษขี่ม้าจะได้กลับมายังโลกโดยเร็ว ส่วนขากลับก็ค่อยขี่วัวกลับช้าๆ