[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 138 ไฟล์ 15 : ค้างคืนที่โลกเบื้องหลัง [2]
- Home
- [นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง
- ตอนที่ 138 ไฟล์ 15 : ค้างคืนที่โลกเบื้องหลัง [2]
พวกเราเริ่มการทดลองขับรถ AP-1 ที่ยกเครื่องมาใหม่เอี่ยมตรงที่ที่เราออกมาจากเกทเลย พวกเราขึ้นเนินลงเนิน ขับวนเป็นวงกลมอยู่ในทุ่ง หลังจากที่เราขับกันไปจนหมดทุกท่าแล้ว เราก็หยุด AP-1 ไว้ที่เกท แล้วก็ดับเครื่องยนต์
“นี่ ทำอะไรกับที่นั่งซักหน่อยดีกว่านะ”
โทริโกะพูดขึ้นมาในตอนนี้ที่เสียงเงียบลงแล้ว น้ำเสียงดูหงุดหงิดไม่น้อยเลย
“นั่นสิ… ก้มระบมไปหมดเลยเนี่ย…”
พอพวกเราขับฝ่าไปตามหลุมตามบ่อบนเก้าอี้พลาสติกแบบนี้ มันเจ็บจนพวกเรานึกขึ้นมาได้เลยว่าข้างใต้เนื้อก้นนิ่มๆ ของพวกเรามันมีกระดูกแหลมแข็งอยู่ด้วย นัตสึมิพูดถูกแล้วล่ะ―ตอนที่พวกเราขับเร็วแค่ 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งหมดที่ฉันรู้สึกมันก็แค่ โอ้ โยกไปโยกมาด้วยแฮะ แต่ตอนนี้ พอพวกเรามาขับที่ 10 โลน่ะเหรอ? มันต่างกันสุดกู่เลย
ฉันลุกออกมาจากที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะบิดเอวที่ตึงไปหมดของตัวเอง
“ไปซื้อเบาะรองนั่งมากันเถอะ”
“ที่ร้านอะไหล่รถยนต์น่ะเหรอ?”
“ไม่รู้สิ มันเล็กกว่าเบาะที่นั่งในรถเยอะเลยนะนี่น่ะ”
“ฉันเชียร์เบาะรองนั่งบนพื้นนะ หรืออะไรก็ได้แล้วล่ะตอนนี้… ไปหา อะไรซักอย่าง กันเถอะ”
ไม่ว่าทางออกจะเป็นยังไงก็ตาม ตอนนี้พวกเราก็มียานพาหนะเอาไว้สำหรับการออกเดินทางครั้งต่อไปเรียบร้อยแล้ว เราลูบนวดบั้นท้ายของตัวเอง ก่อนจะทิ้ง AP-1 เอาไว้ที่นี่แล้วก็มุ่งหน้ากลับโลกเบื้องหน้ากัน เราใช้เวลาอีก 3 อาทิตย์ต่อมาไปกับการซื้อของนู่นนี่นั่น กับการเตรียมตัวเรื่องอื่นๆ กัน
พวกเราแก้ปัญหาความสบายในการเดินทางด้วยเบาะที่ไว้ใช้สำหรับจักรยานคันใหญ่ๆ คู่นึงเรียบร้อย มันเป็นเบาะนวมเจลที่ออกแบบมาสำหรับคนที่ต้องขี่จักรยานต่อเนื่องเป็นเวลานาน แล้วพวกเราก็เห็นว่ามันใช้สายเข็มขัดมามัดตัวเบาะเพื่อติดตั้งกับ AP-1 ได้ด้วย ราคามันแพงหูฉี่เลย ไหนจะรวมถึงพวกของที่เราซื้อมาแต่ใช้ไม่ได้อีก พวกเราก็ใช้เงินกันไป 300,000 เยนแล้ว ซึ่งฉันว่ามันน่าหดหู่สุดๆ ไปเลยนะ
ก่อนหน้านี้ เราเคยคุยกันเรื่องที่ว่าถ้ามีโรงจอดรถอยู่ข้างๆ กับเกทเอาไว้เก็บ AP-1 ก็คงดีอยู่นะ แต่กลายเป็นว่าการทำเรื่องนั้นมันง่ายกว่าที่ฉันคิดเยอะเลย มันมีโรงรถเคลื่อนย้ายได้ที่ทำจากผืนผ้ากับท่ออยู่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นของที่พวกเราประกอบกันเองได้ด้วย
ฉันรู้ว่าตัวเองบอกว่ามันง่ายจนน่าตกใจ แต่ตัวอุปกรณ์ก็สูบเงินพวกเราไปเกือบๆ 400,000 เยนเลยเหมือนกัน พอเอารวมเรื่องบันได ชะแลง พลั่ว ค้อน กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นเข้าไปด้วยอีก มันก็จะเฉียด 500,000 เยนเลย การประกอบเองก็เป็นงานใหญ่ด้วย
เพื่อเตรียมการสำหรับงานนี้ พวกเรามองหาพื้นที่ราบเรียบใกล้ๆ กับเกทที่นึง ตัดหญ้าตรงนั้น แล้วก็ถอนรากพวกมันออกมาเลยเพื่อเตรียมพื้นที่
อย่างต่อมา พวกเราก็มาที่กล่องลังกระดาษใบใหญ่ที่เราสั่งโรงรถเคลื่อนย้ายได้มาทางออนไลน์ให้ไปส่งที่บ้านคุณโคซากุระ เปิดมันที่อีกฟากนึงของเกท ใช้ตลับเมตรกับฉากช่างไม้มาลากเส้นที่พื้นให้เรามั่นใจได้ว่าเราวัดทุกด้านได้ตรงเป๊ะๆ ต่อด้วยการขุดหลุมลึกๆ ที่ทั้ง 4 มุมที่เราจะปักท่อลงไป วางท่อระหว่างท่อพวกนั้นพาดไประหว่างข้างซ้ายกับข้างขวา ทำให้มั่นใจว่าท่อพวกนั้นขนานกันดี เพื่อจะไม่ให้ส่วนเชื่อมต่อของท่อมันหลุดออกจากกัน เราก็เลยเอาค้อนมาตอกส่วนบนของมัน แล้วก็ทำให้ท่อโลหะมันแบนไปเป็นจุดๆ ด้วย นั่นแหละ งานที่เหนื่อยสุดๆ ไปเลยล่ะ
หลังจากที่วางท่อขนาน 2 อันไว้บนพื้นเรียบร้อย พวกเราก็เอาท่อแนวดิ่งอันอื่นมาเพิ่ม ฉันตั้งท่อพวกนั้นขึ้นตรง แล้วโทริโกะก็ใช้ค้อนตอกมันลงมาจากด้านบนพร้อมๆ กับเอาไม้ชิ้นนึงมารองไว้เพื่อกระจายแรงด้วย ด้านซ้าย 4 อัน ด้านขวาอีก 4 อัน รวมกับอีก 4 ท่อตอนแรกที่ 4 มุม พวกเราก็มีท่อที่สูงเท่าๆ กันรวม 12 อันแล้ว
จากนั้น พวกเราก็ยกคานโค้งขึ้นมา เชื่อมมันระหว่างเสา 2 ข้างซ้ายขวาพวกเสามันควรจะปักให้เอียงออกไปซักนิดนึง แถมจะยึดคานเลโค้งเข้ากับเสาให้ได้ก็ต้องใช้แรงนั่นแหละ เราก็เลยต้องใช้แรงฝืนมันกันบ้าง ซึ่งมันก็ส่วนนี้แหละที่ยากจริงๆ สำหรับพวกเรา 2 คนเลย ขนาดแค่คานอันแรกพวกเราก็ลำบากลำบนกันแล้ว มันแย่พอที่จะทำให้หลังจากที่คุยปรึกษากันแล้ว พวกเราก็มองว่าเราอาจจะทำอะไรซักอย่างผิดแหงๆ พวกเราก็เลยตัดสินใจกลับมาที่โลกเบื้องหน้าก่อน เผื่อจะได้เช็คดูวิดีโอการประกอบโรงรถเคลื่อนย้ายได้ในยูทูปกัน
พอประกอบคานโค้งเข้าไปครบ 6 อัน เราก็ติดคานเสริมที่ทั้ง 2 ข้างกับตรงกึ่งกลางเพดาน เท่านี้ โครงของโรงรถก็เสร็จเรียบร้อย พวกเรา 2 คนดีใจมากจนถึงกับกรี๊ดกร๊าดกันเลย เราเอาผืนผ้าใบคลุมที่ส่วนบนของโครงเหล็ก แล้วก็ใช้เชือกกับหมุดดึงมันให้ตึง และแล้ว ในที่สุด โรงรถเราก็เสร็จซักที
ตอนพวกเรานัดเจอกันตอน 10 โมง ฉันคิดว่างานนี้มันก็แค่งานง่ายๆ ฉันยังพูดอยู่เลยว่า “ก่อนเที่ยงหน่อยๆ เราก็คงเสร็จแล้วแหละเนอะ ว่ามั้ย?” ซึ่งใช่ มันผิดไปไกลโขเลย กลายเป็นว่ากว่าจะเสร็จงาน เราก็ใช้เวลาไปทั้งวันเลย แต่เรื่องนั้นช่างมันละกัน ตอนนี้เราก็ไม่ต้องทิ้ง AP-1 แสนมีค่าของเราตากแดดตากลมเอาไว้กลางแจ้งแล้ว แถมเบียร์ที่พวกเราไปดื่มก่อนตอนจบวันนี้น่ะอร่อยแบบสุดเหวี่ยงไปเลยด้วย
หลังจากนั้น พวกเราก็ซื้อเพิงสังกะสีมาด้วยนะ
เพราะตัวรถ AP-1 มันทั้งสูงทั้งกว้าง พวกเราก็เลยต้องซื้อโรงรถเคลื่อนย้ายได้สำหรับรถมินิแวนมา แต่เพราะตัวรถมันสั้นกว่ากันเยอะ ข้างในก็เลยเหลือที่ว่างอีกเพียบ พวกเราก็เลยคิดว่าเอาเพิงมาไว้ข้างหลังโรงรถด้วยดีกว่า
ฉันก็จะสั่งเพิงอันเล็กๆ มานะ แต่พอเจอว่าขนาดอันแค่นั้นก็ยังราคาไปแตะ 200,000 หรือ 300,000 เยนแล้ว ฉันก็ช็อกไปเลย
“แพงจัง…! เอ๊ะ? มันราคาขนาดนี้จริงๆ เหรอเนี่ย? นี่มันก็แค่เพิงเองไม่ใช่เหรอ? โอเค อาจจะแปลกก็ได้ที่พูดว่ามันก็ แค่ เพิงน่ะ”
“จะไปขี้เหนียวกับของที่เราจะต้องใช้งาน ฉันว่าคงไม่ใช่ความคิดที่ดีหรอก คือแบบ ถ้าเราจะต้องออกไปวิ่งข้างนอก เราก็ไม่อยากให้มันเกิดน้ำมันรั่วหรือสนิมขึ้นใช่มั้ยล่ะ?”
“คือ เปล่านะ แต่… ฉันนึกว่ามันจะราคาซัก 6,000 เยน หรืออะไรประมาณนั้นนี่นา…”
“คิดแบบนั้นมันก็ดูจะเหยียดของไปหน่อยนะ”
นี่คือราคาที่ไม่ได้ประกอบมาแล้ว หรือค่าก่อสร้างก็ไม่มี เพราะงั้นนี่มันก็ยังถูกกว่าที่เป็นปกติอยู่แล้วนะ หรือก็คือ ตามปกติ เวลาซื้อเพิงมา ก็จะมาพร้อมกับคนงานที่ช่วยประกอบให้ด้วย แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดการขั้นตอนนั่นกันเอง
“ถ้าโทรเรียกอาคาริมาช่วย ฉันว่าเธอน่าจะยินดีมาช่วยพวกเราเลยนะ”
โทริโกะพูดขึ้นมา ในระหว่างที่พวกเรากำลังลำบากลำบนลากอิฐคอนกรีตที่เราเอามาก่อเป็นส่วนด้านหน้าของเกทกันอยู่
“ไม่”
”กะแล้วว่าเธอต้องว่ายังงั้น”
“อย่าเอาใครคนอื่นมา นี่เป็นเรื่องของแค่ฉันกับเธอ แล้วก็อย่าไปบอกใครด้วย”
“โอเคๆ อย่าโมโหสิ”
“ไม่ได้โมโหซักหน่อย”
พวกเรายกแผ่นเหล็กหนักๆ เข้ามาในโรงรถ ทำงานประกอบกันเองจนเหงื่อท่วมตัว แต่สุดท้าย พวกเราก็จัดการประกอบเพิงกันจนเสร็จได้ล่ะนะ ถึงจะพอรู้อยู่แล้วก็เถอะ แต่มาทำงานแบบนี้เองนี่มันอันตรายเลยล่ะ ตลอดตอนที่ทำงาน ฉันต้องเสียเวลามาพะวงว่าจะทำพวกเราเองบาดเจ็บ หรือไปทำผ้าใบโรงรถขาดเข้า
พวกเราเดินเหงื่อโชกออกมาจากโรงรถ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับผืนหญ้า ฉันเหม่อมองท้องฟ้า รู้สึกถึงลมเย็นๆ ที่พัดมาตีแก้มของตัวเองได้ด้วย
“พวกเราน่าจะไปสร้างเพิงไว้ซักที่นึงที่กว้างกว่านี้ แล้วค่อยสร้างโรงรถนะ…”
“รู้แล้วน่า… อย่าพูดอะไรไปมากกว่านี้เลย…”
จนถึงตอนนี้ พวกอุปกรณ์ที่เราใช้สร้างโรงรถก็ยังวางเกลื่อนพื้นอยู่เลย พวกเราก็เลยรวบๆ มันไปใส่ไว้ในเพิง ก่อนจะกลับออกมาที่โลกเบื้องหน้ากันแบบหมดสภาพ
“เฮ้อ! เหงื่อโชกไปหมดเลย! ต้องอาบน้ำแล้วเนี่ย!”
“โทริโกะ เธอไปก่อนได้เลยนะ”
“ทำไมไม่เข้ามาอาบด้วยกันล่ะ?”
“ม่าย เธอก่อนเลย“
“ไหงงั้นล่ะ?”
ฉันทำเป็นเมินสายตาเจ็บปวดของโทริโกะที่มองมาทางฉัน ตั้งแต่ตอนที่พวกเราไปแช่ออนเซ็นกันมา โทริโกะก็ดูจะพูดเรื่องอะไรแบบนี้อยู่บ่อยๆ เลย ชักสงสัยแล้วสิว่านี่เธอคิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเธอก็ยังอิดออดที่จะไปลงแช่น้ำด้วยกันอยู่เลยนะ จะไปอาบน้ำกับเธอเนี่ย ฉันก็ไม่ได้ติดอะไรหรอก แต่วิธีที่เธอชวนฉันนั่นแหละที่มันทำให้ฉันรู้สึกว่ามันกำกวมยังไงชอบกลอยู่ตลอดเลย ถ้าฉันถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเธอ มั่นใจเลยว่าเธอต้องเริ่มจ้องฉันแหงๆ แล้วฉันก็ไม่อยากโดนแบบนั้นด้วย
ในการเดินทางเข้าเกทไปกลับเพื่อทำงานจนถึงจุดๆ นึง มันก็กลายเป็นธรรมเนียมปกติของพวกเราแล้วที่จะยืมอาบน้ำที่บ้านคุณโคซากุระไปซะแล้ว ตอนแรก คุณโคซากุระก็ดูจะไม่ได้พอใจหรอก แต่พอพวกเราดึงความสนใจเธอมาด้วยการเอาของขวัญมาให้เธออยู่ตอลดๆ ท่าทีของเธอก็ดูอ่อนโยนขึ้นมานิดนึง แล้วเธอก็บอกว่าพวกเรายืมใช้ห้องอาบน้ำตอนไหนก็ได้เลย
“ฉันไม่ได้โดนของฝากล่อลวงหรอกนะ ได้ยินมั้ย? ฉันก็แค่โล่งอกที่เห็นเธอ 2 คนพอจะได้มีมารยาททางสังคมเข้ามาบ้างแล้วเท่านั้นเองล่ะนะ”
นั่นแหละที่คุณโคซากุระพูดตอนที่เธอรับเค้กที่เราซื้อมาจากร้านขายอาหารชั้นใต้ดินร้านนึงในอิเคบุคุโระ ค่อนข้างจะเป็นของดีเลยด้วยล่ะ
“ถ้างั้น ก็ไม่ต้องเอาของมาฝากแล้วสินะ?”
โทริโกะดันพูดมากเกินความจำเป็นเข้าซะได้ ก็เหมือนอย่างทุกทีนั่นแหละ แล้วก็โดนสวดกลับมาว่า อยากมีปัญหาสินะ ทั้งที่เลี่ยงคำพูดนั้นได้แท้ๆ
ตอนนี้ หลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จ การทานมื้อเย็นกับคุณโคซากุระเป็นเรื่องที่พวกเราทำกันบ่อยขึ้นด้วยเหมือนกัน แน่นอน ไม่ใช่ว่าพวกเราคนไหนเป็นคนทำอาหารหรอก พวกเราสั่งไม่พิซซ่าก็อาหารจีน หรือไม่ก็อาหารอื่นเทือกๆ นั้นล่ะนะ ในตู้เย็นก็มีพวกกระป๋องเบียร์กับชูไฮที่พวกเราซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อระหว่างทางมาเก็บเอาไว้อยู่เยอะเลยเหมือนกัน พวกเราก็เลยดื่มด้วยกันอยู่บ่อยๆ ไปด้วย แต่ฉันกับโทริโกะก็ต้องกลับไปให้ทันรถไฟขบวนสุดท้ายกันอยู่ดี เพราะงั้นพวกเราก็เลยไม่ได้ดื่มอะไรกันมากมายขนาดนั้น
ฉันรู้สึกว่าภาพจำของห้องครัวควบห้องอาหารบ้านคุณโคซากุระที่เคยเป็นที่เงียบเหงาเย็นเฉียบอันนั้นมันค่อยๆ จะหายไปแล้วสิ ตอนนี้มันดูมีชีวิตชีวาขึ้น จะเรียกยังงั้นก็ได้มั้ง… ถึง มันอาจจะแค่เพราะของมันระเกะระกะเท่านั้นเอง
ตอนไหนที่คุณโคซากุระเริ่มเมา เธอก็จะพูดถึงเรื่องออนเซ็นตลอดเลย
“ตอนนั้นน่ะ เป็นทริปที่ยอดไปเลยนะรู้มั้ย? อาหารก็อร่อย นานๆ ทีได้ไปผ่อนคลายแช่น้ำแบบนั้นก็อาจจะโอเคก็ได้นะเนี่ย”
“อ้อ ค่ะ…”
ฉันตอบเห็นด้วยเธอไปแบบคลุมเครือ
“ฉันไม่สนใจเรื่องโรงแรมออนเซ็นเลยซักนิด แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้ล่ะก็ จะไปอีกฉันก็ไม่เกี่ยงเลยล่ะ จะไปที่เดิมอีกรอบหรือไปลองที่ใหม่กันก็ได้นะ”
“อ-… อื้อ”
โทริโกะตอบกลับไปแบบนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณโคซากุระหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาคุย ฉันกับโทริโกะก็จะหยุดไม่พูดอะไรกันเยอะเท่าไหร่กันทั้งคู่เลย
คุณโคซากุระยังไม่รู้เรื่องหุ่นโชว์เสื้อแปลกๆ ที่พวกเราไปเจอระหว่างทางกลับห้องจากเมื่อตอนที่ไปแช่น้ำตอนดึกเลย เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่พวกเราเมื่อคืนแรกจากการค้าง 2 คืน จากนั้น ฉันกับโทริโกะก็เลยใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดไปกับการระแวดระวังอยู่ตลอด โชคดีที่จากนั้นมันก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรอีก คุณโคซากุระก็เลยได้สนุกกับทริปนี้แบบเต็มที่สมใจ ถึงคนอื่นๆ จะทำแบบเดียวกันนั่นไม่ได้เลยก็เถอะ ทริปนี้ก็ไม่ได้เป็นไอเดียที่แย่อะไรนะ แล้วที่คุณโคซากุระไม่โดนหางเลขไปเจออะไรแบบที่เราเจอมา ฉันก็ดีใจนะ แต่ตอนที่ฉันคิดว่ารอบต่อไป อะไรมันจะเกิดขึ้นได้แล้วมันก็…
อีกเหตุผลนึงก็คือบรรยากาศระหว่างฉันกับโทริโกะที่มันเปลี่ยนไปอย่างรู้สึกได้เลยนี่แหละ เมื่อตอนนั้น ในบ่อน้ำร้อน ตอนที่เรานั่งกันไหล่ชนไหล่… อือ ฉันว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ระหว่างพวกเราอยู่หน่อยๆ จริงๆ นั่นแหละ
ไม่สิ ไม่ใช่ โทริโกะต่างหากทำตัวแปลกๆ ไม่ใช่ฉันซักหน่อย พูดเรื่องนี้ให้ชัดๆ ก่อนเลย
“รักเธอนะ โซราโอะ”
ขอบใจ ดีใจนะที่ได้ยินเธอว่าแบบนั้น
“หน้าอกเธอน่ารักดีนะ”
เดี๋ยวก่อนเลย
สายตาที่เธอมาลวนลามหน้าอกฉันกับเรื่องที่เธอพูดนั้นน่ะมันทำให้ฉันประหลาดใจมากเลย ในทางที่แย่ด้วย ไม่คิดเลยว่าโทริโกะจะเป็นพวกลามกขนาดนั้น
ไม่สิ ที่จริง ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะเป็นคนสมบูรณ์แบบ—แบบเมื่อตอนครั้งแรกที่เจอเธอ—อีกแล้วล่ะ ถึงเธอจะเป็นคนสวย ดูจะไร้ที่ติเลย แต่เธอก็เป็นคนเรื่อยเฉื่อยขนานแท้ เวลาที่เขินขึ้นมาก็จะหัวเราะแฮะๆ แบบบื้อๆ ตอนที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเฉิ่มสุดๆ ก็จะตัวแข็งทื่อไป
แต่ถึงยังงั้น ไม่ใช่ว่านี่มันก็ดูเข้ากับสถานการณ์ดีอยู่แล้วหรอกเหรอ?
ฉันพยายามเต็มที่ที่จะไม่ไปจ้องที่ร่างเปลือยเปล่าของโทริโกะมากเกินไป มันแค่สวยเกินไปจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า แค่ดูเธอใช้ชีวิต ขยับนู่นนี่ แค่นั้นก็ทำให้ฉันแทบบ้าได้แล้ว แต่โทริโกะก็ทำตัวลวนลามใส่ฉันแบบไม่มีความลังเลเลย…
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าธรรมเนียมการแช่บ่อรวมของญี่ปุ่นนี่มันสุดๆ ไปเลยจริงๆ นั่นแหละ ทำไมทุกคนถึงไม่มีปัญหากับการแก้ผ้ากันนะ? นั่นมันบ้าชะมัดเลยนี่นา? ถ้าทุกคนเป็นผู้หญิงเหมือนกันหรือผู้ชายเหมือนกันก็ไม่มีปัญหางั้นเหรอ? นั่นมันเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลแล้ว? ตรรกะนี่มัน… วิบัติไปแล้วมั้ยเนี่ย?
พอฉันย้อนคิดถึงตอนที่ฉันกับโทริโกะนั่งแก้ผ้ากันทั้งคู่พร้อมกับคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่ในบ่อออนเซ็นขึ้นมาแล้วนี่ ในหัวมันก็โล่งไปหมดเลย นี่ฉันทำอะไรแบบนั้นลงไปได้ยังไงกันเนี่ย?
ที่น่าหงุดหงิดคือ ฉันดูจะคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นยิ่งโทริโกะซะอีกเนี่ยสิ ถ้าเธอจะคิดอะไรล่ะก็ เธอดูจะเปลี่ยนมาถูกใจเรื่องนี้มาก แล้วก็อยากจะแช่น้ำด้วยกันเนี่ยสิ ขนาดฉันปฏิเสธเธอไปตั้งหลายต่อหลายครั้ง มันก็ไม่ได้ทำให้เธอเปลี่ยนใจเลยซักนิด หน้าด้านหน้าทนสุดๆ ไปเลย ยังกับว่าเธอคิดเองเออเองว่าฉันอนุญาตให้เธอเข้ามาตีสนิทกับฉันได้ตามใจชอบยังไงยังงั้นแหละ
เออ ไม่… ฉันเริ่มจะหวั่นใจแล้วสิ ไม่แน่ ฉันอาจจะอนุญาตเธอไปแล้วก็ได้ ฉันเคยให้สัญญาณอะไรซักอย่างเป็นการบอกเธอไปแบบที่ฉันไม่ทันรู้ตัวหรือเปล่า? เพราะแบบนั้นหรือเปล่าเนี่ยจู่ๆ ท่าทีของโทริโกะถึงได้แปลกๆ ไปน่ะ?
แต่ก็นั่นแหละ โทริโกะทำตัวแปลกๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ตอนที่ตาเธอลอกแลกไปทั่วห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สิ มันเริ่มมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นอีก ตอนที่พวกเราตัดสินใจกันว่าจะไปเที่ยวออนเซ็นกัน หรือไม่ ก็อาจจะก่อนหน้านั้นอีกก็ได้ นึกย้อนไปอีก… จริงด้วย ทำไมเมื่อคืนนั้นที่นาฉะ ยัยนั่นถึงนอนแก้ผ้าล่ะนั่น? เพราะเมา? แค่นั้นน่ะเหรอ?
ความคิดของฉันไหลหลั่งพรั่งพรูออกมา จากภาพร่างเปลือยเปล่าของโทริโกะที่นึกย้อนออกมาจากความทรงจำ ไล่ย้อนกลับไปตามความทรงจำที่ผ่านมา
ในโอกินาว่า เธอก็ยังอุตส่าห์ชมชุดว่ายน้ำที่ดูธรรมดาๆ ของฉันด้วย… แต่พอฉันชมเธอบ้าง เธอกลับเขินหนักมากซะงั้น… เขินจนฉันเองยังเขินตามไปด้วยเลย
เธอมีคุณแม่กับหม่าม๊า…
โตมาในบ้านที่มีแค่แม่ 2 คนแต่งงานกัน…
โดนอุรุมะ ซัทสึกิล่อลวงไป…
จนมาอยู่ตัวคนเดียวอีกรอบนึง…
…
การที่ฉันจะก้าวไปต่อจากวังวนความคิดนี้ มันต้องใช้ความกล้าอย่างมากตลอดเลย
บางที โทริโกะอาจจะอยากเข้าใกล้ฉันมากกว่าที่ฉันคิดซะอีกก็ได้…?
รักเธอนะ โซราโอะ
รักเธอเหมือนกัน
นั่นคือที่ฉันพูด… แบบไม่ได้คิดอะไรเลย…
ต้องเป็นเพราะนั่นใช่มั้ย…? หลังจากนั้น โทริโกะก็เริ่มทำตัวแปลกๆ
ภาพของโทริโกะที่กุมมือฉันแน่นจนเจ็บ กับดวงตาของเธอที่เหมือนจะจับจ้องอยู่ที่ฉันมันฝังติดแน่นอยู่ในหัวเลย
หุ่นโชว์เสื้อโผล่มาขัดเอาไว้ แต่ถ้ามันไม่เข้าขัดล่ะก็ หลังจากนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรากันนะ?
เมื่อไหร่ที่ฉันคิดไปคิดมาถึงตรงนี้ ความคิดของฉันมันก็จะมาหยุดที่ตรงนี้ตลอดเลย
มันจะเริ่มหายใจลำบาก รู้สึกมวนๆ ในท้อง หัวใจเต้นรัว… เป็นปฏิกิริยาร่างกายที่ตอบสนองแบบที่ฉันชินแล้ว ซึ่งที่มันมาเกิดตอนนี้นี่แหละที่ทำให้ฉันกลัวความรู้สึกของตัวเอง
ฉันกลัว
กลัวโทริโกะเหรอ?
ไม่… ไม่ใช่หรอก
ฉันไม่กลัวโทริโกะซักหน่อย ต่อให้เธอจะทำตัวเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง แต่โทริโกะก็ยังเป็นโทริโกะอยู่ดี เป็นคู่หูแสนล้ำค่าที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ของฉันน่ะ
ที่ฉันกลัว คือฉันไม่รู้ว่าจะตอบสนองกลับโทริโกะยังไงนี่แหละ ตอนที่ยัยนี่ตามฉันไปที้ไหน ไม่ว่าจะอันตรายขนาดไหน ใครล่ะที่อยู่กับฉันเสมอ ใครล่ะที่ฉันจะไว้ใจให้พยายามเข้ามมาใกล้ตัวฉันได้ แล้วฉันควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี? ไม่มีคำตอบให้คำถามพวกนี้เลย
ฉันไม่มีความรู้ ประสบการณ์ก็ไม่มี
รู้สึกกลับไปเป็นเด็กน้อยอีกรอบเลยแฮะ
อ่า ยังงี้เอง
ฉันมองดูโทริโกะกับรอยยิ้มไร้ที่ติของเธอที่อยู่ข้างๆ แล้วก็รู้สึกเหงาขึ้นมา แต่มันก็ทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้อย่างนึง
ฉันเป็นเด็กสินะ…
TN: โซราโอะผู้ไม่เข้าใจตัวเองเลย…
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r