[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 96 ประลองความรู้ (2)
“เหล่าหลิน ใครมาท้าประลองเหรอ สั่งสอนพวกคนเกาหลีกับคนญี่ปุ่นไปยังไม่พออีกหรือไง” ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ชายชราท่าทางแข็งแกร่งดุดันผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงดัง
“เจ้าสี่ แกมีโอกาสชนะเยอะนะ ตาแก่นี่ดูไม่เหมือนหมอเลยสักนิด” หวังเซิงพูดขึ้นเบาๆ
“เธอบอกว่าใครไม่เหมือนหมอ เธอมันตาบอด ปลายนิ้วนิ้วนางข้างขวาเธอมีด่างขาว ถ้าชีวิตที่ผ่านมาไม่ปล่อยปละละเลยขนาดนี้ ก็จะเป็นอันตรายต่อเธอแล้วก็ต่อผู้หญิงได้นะ จะให้ฉันสั่งยาจีนรักษาอาการให้หน่อยไหมล่ะ” ชายชราพูดด้วยเสียงดัง
“พวกยอดฝีมือในประเทศเนี่ยเรียนไปมั่วซั่ว เรียนกระทั่งฝ่ามือแปดทิศ[1]กับไทเก๊ก แต่น่าจะเพิ่งเริ่มเรียนวิชาแพทย์เมื่อสามสิบปีมานี้เองสินะ ใช้กำลังภายในควบคู่กับการฝังเข็มงั้นเหรอ ได้ผลไม่เลวเลยนี่” กัวไฮว่มองชายชราพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“ธะ…เธอรู้ได้ยังไง เหล่าหลิน แกเป็นคนบอกเขาเหรอ” กรรมการสมาคมท่านนี้มีชื่อว่าอู๋ซู่ซาน ตอนแรกเขาได้เป็นศิษย์อาจารย์สำนักฝ่ามือแปดทิศ ต่อมาก็ได้ลักลอบเรียนไทเก๊ก สามสิบปีก่อนเขาได้บังเอิญพบกับหลินฉางเทียน หลังจากที่ทั้งสองได้พูดคุยกัน อู๋ซู่ซานก็เกิดความสนใจในวิชาแพทย์ ยี่สิบปีก่อนจึงได้ใช้กำลังภายในและการฝังเข็มในการก่อตั้งวงการป่าดอกซิ่ง[2]
“เหล่าอู๋ เหล่าหลินบอกว่าอะไรเหรอ” ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่ ชายชราใส่ชุดฉางเผาคนที่สามก็เดินเข้ามาในห้อง
“พ่อหนุ่ม ฉันขอแนะนำให้เธอรู้จักหน่อยนะ นี่คือหมอผีจางเทียนเจิง หมอยุทธอู๋ซู่ซาน หมอแร่ฉินหลง หมอไฟซุนเซิง เป็นกรรมการทั้งสี่ท่านของสมาคม พ่อหนุ่มคนนี้จะมาท้าทายสมาคม พวกเธอคิดเอาเถอะว่าจะทำยังไง” หลินฉางเทียนพูดยิ้มๆ
“เหล่าหลิน ถ้าไม่มีเรื่องรีบร้อนอะไรฉันกลับก่อนล่ะ ตระกูลกู่ส่งหมอยุทธที่ถูกพิษเข้าเส้นเลือดมาให้รักษาคนนึง จะชักช้าไม่ได้” จางเทียนเจิงมองกัวไฮว่แวบหนึ่งก่อนจะพูดยิ้มๆ
“ฉันมียาอยู่หม้อหนึ่ง เตรียมจะออกจากหม้อแล้วล่ะ เหล่าหลิน ถ้าพ่อหนุ่มคนนี้มาท้าจริงๆ งั้นหมอแผนโบราณมือเทพอย่างแกก็มาจัดการสักหน่อยสิ” พูดเสร็จ ฉินหลงก็หมุนตัวออกไป
“ผมไปแล้วนะ พอดีบำบัดแบบร้อนให้คนคนนึงอยู่ ลืมเรื่องนี้ไปเลย” ซุนเซิงรีบพูด
“ขอเวลาพวกคุณไม่นานหรอกครับ ทั้งสี่คนแข่งด้วยกันเถอะ ถ้าผมแพ้ให้คนใดคนหนึ่ง ผมจะจากไป” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “หมอแร่ฉินหลง ผมมียาลูกกลอนอยู่เม็ดนึงเพิ่งทำมาไม่นานมานี้เอง ที่นี่ก็มีสมุนไพรหมด ถ้าคุณทำยาออกมาได้เหมือนกันผมก็จะยอมแพ้” กัวไฮว่ส่งกล่องไม้จันทน์ใบนั้นให้ฉินหลง จากนั้นก็หยิบถุงผ้าใบหนึ่งออกมา ทำให้มีกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว
“เหล่าฉิน แกจัดการเขาไปเถอะ พวกเราไปแล้วนะ” จางเทียนเจิงกับซุนเซิงพูดยิ้มๆ
“อย่าเพิ่งไปกัน ถ้าพวกแกไปจะต้องเสียใจแน่” ในตอนที่ฉินหลงเปิดกล่องไม้จันทน์นั่นเอง ฉินหลงก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “พ่อหนุ่ม ฉันชื่อฉินหลง ร่ำเรียนมาจากสำนักบู๊ตึ๊ง ไม่ทราบว่าอาจารย์ของพ่อหนุ่มเป็นใครกันเหรอ ยาลูกกลอนนี่พ่อหนุ่มเป็นคนทำเองจริงๆ เหรอ” ฉินหลงพูดพลางประสานมือคารวะ
“สำนักโรยราไปแล้ว ไม่อาจบอกคนนอกได้” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“พ่อหนุ่ม ยานี่ฉันทำไม่ได้จริงๆ ฉันแพ้แล้วล่ะ” ฉินหลงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “แต่ว่าที่พ่อหนุ่มบอกว่าเป็นคนทำยานี่เองฉันไม่เชื่อหรอกนะ”
“รอให้ผมชนะพวกสามคนที่เหลือก่อนเดี๋ยวผมจะทำยาอีกเม็ดให้คุณดูเอง ในเมื่อคุณยอมแพ้แล้วงั้นก็ไปยืนด้านข้างเถอะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ อย่างไม่ไว้หน้าฉินหลงแม้แต่น้อย
“เหล่าฉิน เด็กนี่คงไม่ใช่ญาติแกหรอกนะ ไม่เห็นจะต้องมาหลอกกันแบบนี้นี่” จางเทียนเจิงพูดยิ้มๆ
“หมอผีจางเทียนเจิง จากนิ้วมือของคุณ คุณน่าจะเป็นยอดฝีมือในการใช้ยาหรือจะพูดอีกอย่างก็คือน่าจะเป็นยอดฝีมือในการใช้พิษ ผมพูดถูกไหมครับ” กัวไฮว่หรี่ดวงตาพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“รู้ว่าฉันชื่อจางเทียนเจิงแล้วยังจะรู้ว่าฉันเป็นหมอผีที่ใช้พิษในการรักษาอีก ใช้พิษดับพิษ เธอจะประลองยังไงเหรอ อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” จางเทียนเจิงพูดด้วยเสียงดัง
“คุณอู๋ไม่พูดไม่จาเลยนะครับ ดูท่าทางน่าจะเตรียมประลองอยู่” กัวไฮว่มองอู๋ซู่ซานพร้อมกับพูดยิ้มๆ โดยไม่ได้แยแสจางเทียนเจิงเลยแม้แต่น้อย
“หมอไฟซุนเซิง คุณกับหมอยุทธ คนหนึ่งไฟคนหนึ่งยุทธ แต่ใช้เข็มเหมือนกัน งั้นก็มาประลองพร้อมกันเลยเถอะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“พ่อหนุ่ม ใครๆ ก็พูดอวดดีได้ ถ้าเธอชนะฉันได้ ฉันจะเลิกใช้เข็มไปตลอดเลย” ซุนเซิงพูดเสียงดัง
“วิชาแพทย์หัวซย่ามีเนื้อหากว้างขวางลึกซึ้ง ทั้งยังทำให้สมาคมแพทย์สะดวกสบายอีก พวกเราแค่มาแลกเปลี่ยนความรู้กันเฉยๆ ไม่ต้องเลิกใช้เข็มก็ได้ครับ งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ จะได้ไม่เสียเวลาพวกคุณ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“พ่อหนุ่ม ที่นี่คือสมาคมแพทย์แผนจีน เธอจะประลองยังไงพวกเราก็จะทำตามนั้น ออกไปจะได้ไม่ว่าเราเอาเปรียบ” จางเทียนเจิงพูดด้วยเสียงดัง
“คุณเชี่ยวชาญในการใช้พิษ งั้นคุณก็เลือกมาสักคนหนึ่งให้เขากินพิษ เดี๋ยวผมจะถอนพิษเอง” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“พ่อหนุ่มพูดซะเพลินเลย หนทางแห่งพิษน่ะคือจุดกำเนิดในการทำร้ายคน ถึงเธอจะถอนพิษได้แต่มันก็ส่งผลต่อร่างกายคนมหาศาลอยู่ดี แล้วถ้าเธอถอนพิษไม่ได้ เสียเวลาอันมีค่าในการถอนพิษ ถึงฉันจะออกหน้าก็ไม่ได้จะช่วยชีวิตคนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ จะใช้วิธีประลองแบบนี้ไม่ได้หรอก” จางเทียนเจิงพูดเสียงดัง
“งั้นคุณให้พิษกับผม เรื่องทั้งหมดเดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “คุณถามคุณฉินดูก็ได้ว่าถ้าพิษทำร้ายไปถึงต้นตอ ยาผมช่วยฟื้นฟูได้หรือเปล่า”
“เจ้าสี่ แกอย่ามาวุ่นวายเลย ฉันว่าวิธีของแกไม่ได้เรื่อง แกคิดดูนะ ถ้าแกกินพิษไป ไม่ว่าแกจะถอนพิษได้หรือไม่ได้มันก็จะส่งผลกระทบต่อการประลองถัดไปของแกอยู่ดี” หวังเซิงพูดเบาๆ อยู่ด้านข้าง
“ทั้งสามท่านพูดถูกแล้วล่ะครับ ไม่งั้นเอาแบบนี้ดีไหม ให้คุณจางให้พิษกับพี่ แล้วเดี๋ยวผมช่วยพี่ถอนพิษเอง” กัวไฮว่หรี่ตามองหวังเซิงพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“ให้ตาย งั้นแกทำเองเถอะ ฉันยังไม่มีลูกมีเมีย วันเวลาดีๆ ของฉันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเอง” หวังเซิงพูดพลางก้าวถอยไปข้างหลัง
“เหล่าจาง ฉันว่าที่พ่อหนุ่มพูดก็ใช้ได้อยู่นะ แกให้พิษกับฉันแล้วให้พ่อหนุ่มถอนพิษให้” ฉินหลงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“เหล่าฉิน แกจะบ้าเหรอ” จางเทียนเจิงพูดพร้อมกับเบิกตาโพล่ง
“พ่อหนุ่ม ไม่ทราบว่าเธอเห็นด้วยหรือเปล่า” ฉินหลงมองกัวไฮว่พร้อมกับถามขึ้นโดยไม่ได้สนใจสีหน้าตกตะลึงของจางเทียนเจิง
“คุณฉินอุตส่าห์เอาตัวเองมาลองพิษ ผมจะช่วยสุดฝีมือเลยนะครับ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ยาเม็ดนั้นก็จะเป็นของคุณฉิน” กัวไฮว่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตาแก่นี่คิดอะไรอยู่ ยาลูกกลอนเม็ดเมื่อสักครู่ ไม่เพียงแต่จะสามารถถอนพิษได้ สำหรับนักยุทธแล้วการได้ระดับพลังกายก็เป็นสิ่งที่ไม่เลวเลย
“สรุปจะประลองไหม รีบบอกมาเร็วๆ ถ้าหากไม่กล้าผมก็จะไม่รบกวนพวกคุณแล้วนะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“ได้ ในเมื่อเหล่าฉินจะเข้าร่วม งั้นก็ทำตามแบบที่เธอบอก” จางเทียนเจิงพยักหน้า จากฝีมือด้านยาพิษของตนและยาลูกกลอนของเหล่าฉินแล้ว คงจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าฉิน
“พ่อหนุ่ม ไม่ทราบว่าที่เธอบอกว่าให้พวกเราสามคนมาประลองด้วยกัน เธอจะให้เราสองคนประลองยังไงเหรอ” อู๋ซู่ซานถามยิ้มๆ
“งั้นก็ให้พิษที่คุณจางทำขึ้นเข้าไปลึกอีกหน่อย ร่างคุณจางใหญ่ออกขนาดนั้น เดี๋ยวผมจัดการฝังเข็มกับใช้ความร้อนบำบัดเอง พอถ้ารักษาคุณฉินหายดีแล้วผมก็จะกินพิษ แล้วพวกคุณค่อยมารักษาผมก็ได้” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
[1] เป็นหนึ่งในสามของศิลปะป้องกันตัวแขนงหลักของบู๊ตึ๊ง
[2] เป็นคำเรียกยุคแห่งการแพทย์แผนโบราณ