“ซย่าโหวเทียน ทางนั้นคือผู้เข้าแข่งขันจากฟู่จง” สมาพันธ์เจ็ดโรงเรียนกับโรงเรียนฟู่จงพบหน้ากันตรงทางเดินผู้เข้าแข่งขัน
“ที่อยู่หน้าสุดนั่นใช่กัวไฮว่หรือเปล่า” ซย่าโหวเทียนถามยิ้มๆ “ยังคิดว่าเป็นตัวเสนียดอะไรซะอีก ก็แค่นี้เองเหรอ”
“พี่ไฮว่ สมาพันธ์เจ็ดโรงเรียนเปลี่ยนคน พวกเราไม่รู้จักคนที่อยู่หน้าสุด เขาไม่ใช่คนที่อยู่ในรายชื่อที่ทางการประกาศ”
“ใครมาก็เหมือนกันหมดแหละ พี่ไฮว่ออกโรง ถ้าที่หนึ่งยังจะถูกคนอื่นแย่งไปอีกก็ขายหน้าแล้ว” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“กัวไฮว่ ฉันชื่อซย่าโหวเทียน เจอในสนามนะ” ตอนที่ทั้งสองทีมเดินมาอยู่ด้วยกัน ซย่าโหวเทียนก็มองกัวไฮว่แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“หวังว่านายจะทำให้การแข่งขันน่าติดตามนะ” เมื่อกัวไฮว่พูดจบ ก็พาทั้งหกคนที่อยู่ด้านหลังเดินไปยังฝั่งของโรงเรียนฟู่จง
“พี่กัวไฮว่ เขามีพลังวิเศษ ฉันไม่สบายใจเลย แต่ฉันไม่รู้ว่าเขามีพลังอะไร เราต้องระวังหน่อยนะ” เดินไปได้ไม่นาน หนานกงหลิงโม่ก็พูดขึ้นเบาๆ
“วางใจเถอะ ยายหนู ไม่มีอะไรหรอกน่า” กัวไฮว่ลูบศีรษะหนานกงหลิงโม่พลางพูดยิ้มๆ
“กัวไฮว่นั่นไม่เห็นน่ากลัวอะไร แต่ยายเด็กที่อยู่ด้านหลังเขาน่ะสุดยอดไปเลย อย่าบอกนะว่าพวกเธอไม่รู้ว่ายายเด็กนั่นเป็นสมาชิกของผู้มีพลังวิเศษหัวซย่าน่ะ” ซย่าโหวเทียนพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง
“ซย่าโหวเทียน นายอ่านนิยายมากเกินไปรึเปล่า มีผู้มีพลังวิเศษอะไรกัน ถ้ามีนะ เธอจะมาเรียนทำไมล่ะ” นักเรียนโรงเรียนจิ่วฉือเอ้อร์จงที่อยู่ด้านหลังคนหนึ่งพูดยิ้มๆ
“แค่กๆๆ บังอาจ ปล่อยฉันลงนะ” นักเรียนโรงเรียนจิ่วฉือเอ้อร์ยังไม่ทันพูดจบ ซย่าโหวเทียนมองเพียงแวบเดียว เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตะโกนร้องเสียงดังลั่นออกมาอีกครั้ง
“ไม่เข้าใจก็อย่าพูดมั่วซั่ว” ซย่าโหวเทียนมองเด็กหนุ่มโรงเรียนจิ่วฉือเอ้อร์ด้วยท่าทางดูแคลนแล้วก็เดินไปยังที่นั่งผู้เข้าแข่งขันต่อ
“ฉื่อหย่ง เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น” เฉียวมู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉื่อหย่งถามขึ้นเบาๆ
“พลังวิเศษ…ซย่าโหวเทียนมีพลังวิเศษ เมื่อกี้เขามองฉันแค่แวบเดียว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนมีคนมาบีบคอ หายใจไม่ออก น่ากลัวมากเลย” ฉื่อหย่งบ่นพึมพำกับตนเอง
“ไม่น่าล่ะผอ.เฉาถึงได้แนะนำเขาให้แข่งขันวิชาการจังเลย คราวนี้แผนการของฟู่จงได้ล้มไม่เป็นท่าแน่ ฮ่าๆ ขอแค่ฟู่จงไม่ได้ที่หนึ่ง จะยังไงก็ได้ทั้งนั้น” เฉียวมู่พูดยิ้มๆ
ศูนย์นิทรรศการเมืองอู่เฉิง หรือก็คือหอประชุมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอู่เฉิง บรรจุคนได้เกือบสามหมื่นคน อาทิตย์ก่อนได้เปิดขายตั๋ว รายได้จากการขายตั๋วทั้งหมดจะมอบให้แก่สภากาชาด ในเวลาเพียงวันเดียว ตั๋วสามหมื่นใบก็ขายเกลี้ยง และตั้งแต่ตีสี่ก็เริ่มมีผู้คนทยอยกันเข้าหอประชุม ในเวลาแปดโมงห้าสิบห้านาที ผู้เข้าแข่งขันก็ประจำที่ จากนั้นก็มีเสียงปรบมือดังสนั่นจากล่างเวที
“เหล่าหวัง นายมาได้ยังไง นายไม่ได้ตั๋วไม่ใช่เหรอ” แน่นอนว่าชายวัยกลางคนสองคนล่างเวทีเป็นคนรู้จักกัน ทั้งสองคนยิ้มโบกมือทักทายให้แก่กัน
“แกไม่เห็นเหรอว่าฉันเป็นใคร ก็แค่ตั๋วใบเดียวเอง จะมาขวางฉันได้เหรอ ตลกสิ้นดี” เหล่าหวังพูดยิ้มๆ
“เหล่าหวัง นายนี่ก็จ่ายลงนะ ตั๋วราคาสี่สิบหยวนแต่จ่ายไปสี่พัน สุดยอด สุดยอด” เหล่าหวังเพิ่งพูดจบ ชายวัยกลางคนอีกรายก็เดินเข้ามาร่วมวง
“ฮ่าๆ เหล่าหวัง จ่ายเงินซื้อตั๋วไปในราคาสูง ฮ่าๆ” หลายคนหัวเราะลั่นขึ้นมา
“ก็แค่สี่พันหยวนเอง ขอแค่ฟู่จงได้ที่หนึ่ง เงินหมื่นหนึ่งของฉันก็จะกลายเป็นสิบล้าน ฮ่าๆ สี่พันหยวนจิ๊บจ๊อยน่า” เหล่าหวังพูดอย่างพออกพอใจ สองสามคนที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างก็พนันบนเว็บบอร์ด แต่ดันพนันว่ากัวไฮว่จะไม่ผ่านรอบแรก มีเพียงเหล่าหวังที่พนันตรงกันข้าม
“เหล่าหวัง แกอย่าได้ใจไป ถ้าฟู่จงไม่ได้ที่หนึ่ง เงินหมื่นของแกก็จะหายไปกับสายน้ำ ถึงตอนนี้ฉันจะคอยดูว่าแกจะจัดการกับแม่เสือสาวบ้านแกยังไง” ชายที่อยู่ข้างๆ พูดยิ้มๆ
“งั้นเราก็รอดูเถอะ” เหล่าหวังพูดเหม่อๆ
“วิชาไร้ที่หนึ่ง การต่อสู้ไร้ที่สิง สวัสดีครับผู้ชมทุกท่าน ผมคือพิธีกรการแข่งขันวิชาการในครั้งนี้ เหอเถี่ยจุ่ย ส่วนนี่คือคู่หูของผม มา ทักทายทุกคนหน่อยสิ” เหอเถี่ยจุ่ยชี้ไปยังสาวสวยสวมกระโปรงสั้นที่อยู่ด้านข้างแล้วพูดยิ้มๆ
“สวัสดีค่ะ ฉันคือหานเฟยเฟย ดีใจมากๆ เลยค่ะที่ได้มาเข้าร่วมแล้วได้มาเป็นพิธีกรการแข่งวิชาการครั้งนี้ แล้วก็ดีใจมากๆ ค่ะ ที่ได้ร่วมงานกับยอดฝีมือในวงการพิธีกรอย่างรุ่นพี่เถี่ยจุ่ย ฉันจะทำหน้าที่พิธีกรไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทุกคนช่วยปรบมือให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ” หานเฟยเฟยมองไปยังล่างเวทีแล้วโค้งตัวลง จากนั้นก็มีเสียงปรบมือดังสนั่น
“พี่ไฮว่ ระวังหน่อย ตาพี่จะหลุดออกจากเบ้าแล้ว” หนานกงหลิงโม่พูดเบาๆ ตั้งแต่ตอนที่หานเฟยเฟยปรากฏตัว สายตาของกัวไฮว่ก็ไม่ออกห่างหานเฟยเฟยเลย
“แค่กๆ เธอป่วย ต้องรักษาน่ะ” กัวไฮว่กระแอมไอสองครั้งก่อนจะพูดขึ้น
“ตาบ้า ไอ้ตาบ้า” หนานกงหลิงโม่ถลึงตาพูด
“เมื่อสักครู่รุ่นพี่เถี่ยจุ่ยได้บอกว่าวิชาการไร้ที่หนึ่ง ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่าการแข่งขันวิชาการในวันนี้พวกเราจะแบ่งแพ้ชนะกันยังไง” หานเฟยเฟยมองเหอเถี่ยจุ่ยถามยิ้มๆ
“เสี่ยวหาน เธอโยนบทมาให้ฉันนี่” เหอเถี่ยจุ่ยพูดยิ้มๆ “การแข่งขันวิขาการครั้งนี้ไม่เหมือนกับปีก่อน แบ่งเป็นสองส่วนครับ ส่วนแรกจะใช้ koF ในการแข่งเก็บคะแนน ตอบคำถามคนเดียว ตอบถูกหนึ่งข้อได้หนึ่งคะแนน จนถึงรอบสุดท้ายจะเหลือแค่คนเดียว คนสุดท้ายจะต้องตอบร้อยข้อให้หมด” เหอเถี่ยจุ่ยพูดยิ้มๆ
“รอบที่สองเป็นข้อแย่งตอบ ถึงตอนนั้นผมจะบอกกฎการแข่งขันทุกคนนะครับ” เหอเถี่ยจุ่ยพูดยิ้มๆ “ต่อไปผมจะแนะนำกรรมการที่อยู่ล่างเวทีในวันนี้นะครับ ผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ทั้งสองด้านสามารถใช้เวลานี้จัดลำดับแข่งได้เลยครับ”
นักเรียนฟู่จงสองสามคนมองไปทางกัวไฮว่ จากนั้นกัวไฮว่ก็จัดลำดับแข่งให้
“ถังซี โหยวโยวโยว เจ้าเซวียน เฉียนตัวตัว มู่หรงเวยเวย หนานกงหลิงโม่ พวกเธอเรียงตามนี้เถอะ ฉันเป็นคนสุดท้าย ไม่มีใครแย้งใช่ไหม” กัวไฮว่พูดเสร็จ ทุกคนก็พยักหน้าพร้อมกัน
“ฉันเป็นคนสุดท้าย เซี่ยวเซี่ยวลำดับหก ที่เหลือพวกเธอเรียงตามใจเลย” ซย่าโหวเทียนพูดยิ้มๆ
“ตอนนี้เรามาปรบมือต้อนรับกรรมการที่มาในวันนี้ดีกว่าครับ” เหอเถี่ยจุ่ยถือโอกาสตอนที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองด้านจัดลำดับแข่งขันในการแนะนำกรรมการในวันนี้
“อธิการบดีมหาวิทยาลัยอู่เฉิง คุณหลี่จงหัว” เมื่อเหอเถี่ยจุ่ยพูดเสร็จ ชายชราอายุหกสิบกว่าปีที่นั่งอยู่บนที่นั่งกรรมการคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาโบกมือให้ผู้ชมที่อยู่ล่างเวที “การทดสอบในวันนี้ได้ใช้ระบบแข่ง koF หนึ่งคำถามหนึ่งคำตอบ ทุกคนต่างก็มีจุดบอดในความรู้ ถ้าพวกเราผิดพลาด ผู้ชมในที่นี้โปรดชี้แนะด้วยนะครับ” หลี่จงหัวพูดอย่างน้อมนอม
“คุณหลินอวี้” เหอเถี่ยจุ่ยพูดต่อ หลินอวี้ลุกขึ้นมาพยักหน้าให้กับผู้ชม จากนั้นสายตาของเธอก็ตกไปอยู่บนร่างของกัวไฮว่อีกครั้ง
“ผู้อำนวยการศูนย์อักษรศาสตร์หัวซย่า คุณเจี่ยงเหวยหมิน”
“คุณเจิ้งอวี้จากสถาบันวิจัยประวัติศาสตร์หัวซย่า”
“ทุกคนช่วยปรบมือต้อนรับบอร์ดจัดการแข่งขันวิชาการครั้งที่เจ็ดด้วยครับ” เมื่อเหอเถี่ยจุ่ยพูดจบ ก็มีคนหนุ่มสาวเจ็ดรายลุกขึ้นมาโบกมือให้ผู้เข้าชม
MANGA DISCUSSION