[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 69 ลงสัญญาเป็นตายกับเซียน
“พี่อวี้เอ๋อร์ ถ้าพวกพี่ออกจากสำนักแล้ว ฉันแนะนำให้พี่ไปลงทะเบียนผู้มีความสามารถพิเศษที่เมืองหลวงสักหน่อย หลังจากนี้จะได้วุ่นวายน้อยลง” หนานกงหลิงโม่พูดขึ้นเบาๆ กับอวี้เอ๋อร์ วันนี้เธอทานอาหารไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“พวกเราแค่อยากใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาบ้าง ไม่ใช้พลังวิเศษมั่วซั่วหรอก กลุ่มผู้มีพลังวิเศษไม่ทำอะไรเราหรอกน่า” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ ตลกสิ้นดี แม้ตนจะมีพลังเซียนเหลืออยู่ไม่เยอะ แต่ดูเหมือนว่าพลังเซียนของกัวไฮว่หมอนั่นจะเหลือพอถึงได้ทำยาลูกกลอนในแดนมนุษย์ได้ จะไปกลัวกลุ่มผู้พลังวิเศษไปทำไมอีก
“พี่ งานต่อสู้ปีหน้า พี่ไปกับฉันได้นะ ตอนนี้พี่ยังไม่ต้องรับปากฉันก็ได้ เพราะถ้าปีนี้ไม่ว่าฉันได้ไปหรือว่าจะกลับมา ฉันก็ต้องไปเองอยู่ดี” หนานกงหลิงโม่มองไปยังที่ไกลๆ แล้วคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“งานต่อสู้ที่เธอว่าน่ะ ปีหน้าฉันไปกับเธอแน่ ไม่ว่าเธอจะได้ไปหรือเปล่า” อวี้เอ๋อร์ไม่ได้ตอบคำถาม ส่วนกัวไฮว่พูดขึ้นยิ้มๆ โดยไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างๆ พวกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่
“ตาบ้า นายพูดจริงเหรอ ไม่ได้หลอกฉันเล่นใช่ไหม” หนานกงหลิงโม่พูดขึ้นเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น
กัวไฮว่ผงกศีรษะเล็กน้อย หลายวันมานี้เขาได้ทำความเข้าใจกับโครงสร้างส่วนใหญ่ของแดนมนุษย์นี้จนกระจ่างแล้ว และจุดบอดเพียงหนึ่งเดียวก็คือกลุ่มผู้มีพลังวิเศษ และการสืบค้นในสิ่งที่ไม่รู้ก็เป็นกฎหนึ่งที่สำคัญอย่างมากของกฎสวรรค์อีกด้วย
ทุกคนจากไปหมดแล้ว เมื่อเด็กสาวคนอื่นๆ มองไปยังอวี้เอ๋อร์และกัวไฮว่ที่ยืนอยู่ด้วยกัน จู่ๆ ก็พลันรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนเหมาะสมกันอย่างมาก ไม่มีใครรบกวนพวกเขา แม้แต่เสี่ยวเยี่ยจื่อที่โหวกเหวกโวยวายอยู่ตลอดเวลาก็มองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วจากไปพร้อมกับถังซี
“เหตุใดจึงมาหาข้า ท่านผู้เบื้องบนเห็นด้วยหรือไม่” กัวไฮว่กับอวี้เอ๋อร์พูดคุยกันเบาๆ บนถนนสายเล็กๆ ในโรงเรียน
“หากไม่มาหาเจ้าอีก จะรอให้เจ้ามีเมียเป็นฝูงอยู่ด้านล่างนี่หรือ” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ “ท่านพี่ให้ข้าลงมาหาเจ้า เบื้องบนไม่รู้”
“ท่านเทพธิดาเป็นคนแบบใดกันแน่ ตอนที่ข้าดื่มสุรากับท่านเทพแห่งดาวศุกร์เคยได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับท่านเทพธิดา เขาบอกว่าถึงจะทำผิดต่อท่านเซียน แต่อย่าทำผิดต่อท่านเทพธิดา เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไม” กัวไฮว่ถามขึ้นเบาๆ
“ไม่ได้!” อวี้เอ๋อร์พูดเบาๆ “ทว่าลงมาแดนมาแดนมนุษย์ร้อยปีนี้ เจ้าเที่ยวสนุกได้”
“ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรม ทำสิ่งใดย่อมต้องได้รับผล จะมาเที่ยวสนุกได้อย่างไร” กัวไฮว่พูดพลางส่ายศีรษะ “หากได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง หรือได้ดื่มน้ำลืมรักแล้วเป็นมนุษย์ธรรมดาก็แล้วไป แต่เมื่อมายังแดนมนุษย์ ข้ายังพอมีพลังเซียน แต่จะให้เที่ยวเล่นได้อย่างไร ที่ข้าถูกเนรเทศมาแดนมนุษย์ต้องเพราะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่ ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในนั้น”
“ในเมื่อเจ้าทายได้มากขนาดนี้แล้ว จะมัวคิดสิ่งใดอยู่ ร้อยปีในแดนมนุษย์ พริบตาเดียวก็จบลงแล้ว ในเมื่อเจ้าถูกเนรเทศมาแดนมนุษย์ จะไปสนใจว่าบนสวรรค์เกิดเรื่องอะไรทำไมเล่า ท่านพี่ฝากข้ามาบอกเจ้าว่าให้ทำตามใจปรารถนา ฟ้าถล่มลงมาเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ
“ใช่แล้ว ข้าถูกเนรเทศมา…” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าครานั้นข้าเห็นอะไรเข้า ครานั้นข้าเห็นท่านเทพธิดาอาบน้ำจริงๆ ฮ่าๆ”
“โรคจิต บ้ากาม สมน้ำหน้าที่เจ้าถูกเนรเทศมาแดนมนุษย์” อวี้เอ๋อร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าแดงก่ำ แน่นอนนางย่อมรู้ว่าผู้ที่ใช้วิชาแสงสะท้อนกับตน หากไม่ใช่เทพแห่งจิตที่ดื่มไปเยอะจะเป็นผู้ใดได้อีก
“ฮ่าๆ ครานั้นไม่ได้มองให้แจ่มชัด ศิษย์น้องอวี้เอ๋อร์ เมียอวี้เอ๋อร์ เมื่อไหร่เจ้าจะให้ข้าได้ดูดีๆ เล่า” กัวไฮว่พูดพลางหรี่ดวงตาเจ้าเล่ห์จ้องไปยังอวี้เอ๋อร์อย่างไม่กระพริบตา
“ได้ หากเจ้าอยากดู เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไปหาเจ้า” อวี้เอ๋อร์พูดพลางปรายตามองกัวไฮว่
“ยายปีศาจ ไม่นานข้าจะจัดการเจ้าให้เรียบ” พูดจบ กัวไฮว่ก็รีบวิ่งแจ้นไปราวกับหลบหนีบางอย่าง ตอนบำเพ็ญเพียรท่านเทพซุนเคยบอกกับตนไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนมีหนทาง ตอนที่ยังไม่สุกงอมไม่อาจเด็ดมาได้ตามใจชอบ ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อการบำเพ็ญ
“ฮ่าๆๆ ครานี้วิ่งเร็วเชียวนะ” อวี้เอ๋อร์พูดพลางหัวเราะเสียงดังลั่น ทำเอาคนจำนวนไม่น้อยต้องหยุดดู
วันเวลาในแดนมนุษย์ราบรื่นกว่าบนสวรรค์ไม่น้อย อวี้เอ๋อร์สอนความรู้พลังวิเศษให้หลิงโม่ทุกวัน อยากไปเข้าเรียนก็ไปเข้าเรียน และแน่นอนว่าเวลาส่วนใหญ่ก็จะพูดคุยกับกัวไฮว่ในคาบ หรือไม่ก็ดูกัวไฮว่จีบมู่หรงเวยเวย
“กัวไฮว่ เธอช่วยขึ้นมาทำการทดลองนี้หน่อยสิ” คุณครูวิชาชีวะวิทยาเรียกกัวไฮว่ขึ้นมาบนเวทีหน้าชั้นเรียน กัวไฮว่ทำการทดลองง่ายๆ อย่างการรีเฟล็กซ์เข่า แต่สุดท้ายกลับทำให้ครูวิชาชีวะถูกหามเข้าโรงพยาบาล
“แย่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นที่แผนกการต่อสู้โรงเรียนฟู่จงแล้วล่ะ เห็นว่ามีนักเรียนต่างโรงเรียนมาขอท้าที่แผนกการต่อสู้ ตอนนี้โรงเรียนฟู่จงแพ้สามยกติดกันแล้ว” ตอนพักระหว่างคาบ ก็มีคนตะโกนขึ้นเสียงดังลั่นที่ทางเดิน
“พี่ไฮว่ พี่ชอบดูความวุ่นวายไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปดูล่ะ” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ ตอนนี้นางไม่ได้เรียกเขาว่าศิษย์พี่แล้ว แต่เรียกเขาว่าพี่ไฮว่อย่างที่พวกมู่หรงเวยเวยเรียกกัน
“วันนี้ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแปลกๆ เรื่องแบบนี้ไม่ไปร่วมด้วยจะดีกว่า ไม่แน่ว่าคนพวกนี้จะมีจุดประสงค์อื่น อยากจะให้ฉันออกมา” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“ให้พี่ออกมาก็ไม่ใช่เรียกร้องความสนใจพี่หรอกเหรอ” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ “ไปกัน เวยเวย เราไปดูด้วยกัน” อวี้เอ๋อร์พูดพลางลากกัวไฮว่กับมู่หรงเวยเวยเดินไปยังแผนกการต่อสู้
“นึกว่าใช้มีดจริงปืนจริง ที่แท้ก็เด็กทะเลาะกัน” อวี้เอ๋อร์มองไปยังทั้งสองคนที่ต่อยกันอยู่บนเวทีมวยประมาณหนึ่งนาที แล้วพูดพลางยู่ปาก “ถ้าจะดูคนต่อสู้กันก็ต้องดูอู๋กังกับหยางเจี่ยนสิ รอให้กลับไปแล้วค่อยแหย่อู๋กังให้ไปหาเรื่องหยางเจี่ยนดีกว่า”
“โรงเรียนฟู่จงของพวกเธอได้รับขนานนามว่าเป็นที่หนึ่งด้านต่อสู่ไม่ใช่เหรอ พอข่งเสวียนตายไป ก็ไม่มีใครแล้วเหรอ แล้วมู่หรงเวยเวยผู้หญิงของข่งเสวียนล่ะ ในเมื่อข่งเสวียนตายไปแล้ว ไปโรงเรียนซานฉือชีของพวกเราไม่ดีกว่าเหรอ ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มบนเวทีมวยที่เพิ่งได้รับชัยชนะผู้หนึ่งพูดพลางหัวเราะดังลั่น
“พี่ไฮว่ ผมจะไปจัดการหมอนั่น” เซวียนต้าจู้พูดพลางเตรียมจะขึ้นเวทีมวย
“ต้าจู้ ในเมื่อมันหาเรื่องเวยเวย ฉันไปเองดีกว่า ชำระแค้นสิบปียังไม่สายบ้าบออะไรกัน ข้าไม่เคยเชื่ออยู่แล้ว หากมีบุญคุณความแค้น ก็ต้องชำระในตอนนั้น” กัวไฮว่พูดเสร็จก็เดินดิ่งขึ้นเวทีมวยไป
“พี่หู่ นี่คือเด็กที่นายน้อยฉินพูดถึง แล้วก็เป็นคนที่สมาพันธ์เจ็ดโรงเรียนเตรียมจะจัดการด้วย” เด็กหนุ่มคนหนึ่งกระซิบเบาๆ ข้างหูเด็กหนุ่มที่อยู่บนเวทีมวย
“เหอะๆ หมายความว่าถ้าฉันต่อยมันจนพิการ ไม่เพียงจะได้เงินสิบล้านจากนายน้อยฉิน แต่สมาพันธ์เจ็ดโรงเรียนยังติดค้างฉันไม่น้อยด้วย งั้นฉัน สวี่หู่ ก็ต้องต่อยมันหน่อยแล้ว” เด็กหนุ่มลอบพูดกับตนเองในใจ
“ด่าฉันก็ว่าไป แต่กล้าด่าแม้แต่ผู้หญิงของฉัน อยากตายหรือไง” กัวไฮว่เดินขึ้นเวทีมวยพลางพูดเบาๆ
“ฉันรู้ว่านายเป็นใคร นี่ไม่ใช่กัวไฮว่ นายน้อยกัว สี่ตัวอันตราย ตัวอสรพิษหรอกเหรอ” สวี่หู่พูดขึ้นด้วยเสียงดัง “เรามาทำสัญญาเป็นตายกันเถอะ ตอนที่ฉันชกนายแล้วนายอย่าไปหาราชาทหารหลี่เย่าให้มาแก้แค้นฉันล่ะ”
“จัดการคนแบบนายยังต้องให้พี่เย่ายื่นมือมาอีก นายนี่สำคัญตัวเองนักนะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “ถ้านายอยากตาย งั้นก็ทำสัญญาเป็นตายเถอะ”
“แดนมนุษย์นี่สนุกเสียจริง มีคนอยากทำสัญญาเป็นตายกับเทพเซียนด้วย” แม้จะอยู่ไกล ทว่าอวี้เอ๋อร์ยังได้ยินบทสนทนาของพวกเขาบนเวที จึงช่วยไม่ได้ที่จะพูดขึ้นยิ้มๆ