“หลิงโม่ มากินข้าวเหรอ” เมื่อถังซีกับซูเยี่ยมาถึงร้านอาหาร ก็เห็นหนานกงหลิงโม่กำลังสั่งอาหารอยู่เลยถามขึ้นยิ้มๆ
“ใช่ พี่เสี่ยวซี เดี๋ยวพี่เวยเวยก็จะมาแล้ว ฉันสั่งข้าวรอก่อนน่ะ” หนานกงหลิงโม่พูดยิ้มๆ
“พี่ไฮว่บอกให้พวกเรารออยู่ที่นี่ พวกเราก็อยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ พี่ไฮว่อยู่กับเวยเวย ถึงตอนนั้นก็น่าต้องกินข้าวด้วยกัน” ถังซีพูดยิ้มๆ
“อืม น่าจะต้องกินข้าวด้วยกัน รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันไปบอกให้ปู่หกเปลี่ยนเป็นโต๊ะใหญ่” หนานกงหลิงโม่วิ่งไปด้านในให้เริ่นเสวียนเช่อเปลี่ยนเป็นโต๊ะใหญ่
“สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อฉางเสี่ยวอวี้ เป็นนักเรียนใหม่ฟู่จง” ในช่วงเวลาที่ถังซี ซูเยี่ย และโหยวโยวโยวปรากฏตัวอยู่ในห้องอาหารส่วนตัว ทุกคนก็เห็นเด็กสาวสวยปานนางฟ้านั่งอยู่ที่นั่งประธาน ลุกขึ้นมาทักทายทุกคนด้วยความสุภาพเรียบร้อย
“เสี่ยวซี หมอนั่นมาหรือยัง” ซุนหลิงหลิงไม่เห็นเขาก็ถามขึ้นเสียงดังกับคนในห้อง “พวกเธอมากันไวจัง มากันหมดแล้วเหรอ ฉางเสี่ยวอวี้? นางฟ้าฟู่จง?” ซุนหลิงหลิงเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัว สายตาก็ตกไปอยู่บนร่างของอวี้เอ๋อร์ เธอสวมชุดสีขาวทั้งตัว งามดั่งดอกไม้ผลิบานในวสันตฤดูเดือนห้าเมืองอู่เฉิง ไม่ว่าอวี้เอ๋อร์จะอยู่ที่ไหน ก็จะหลอมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมที่นั่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ไม่ว่าใครมองก็รู้สึกสบาย
“พี่หลิงหลิง ถึงฉันจะมาที่โรงเรียนได้แค่สองวัน แต่ฉันเคยได้ยินชื่อของพี่แล้ว ที่พี่บอกว่านางฟ้าฟู่จง พี่หมายถึงฉันเหรอ หรือว่าหมายถึงตัวเอง หรือว่าหมายถึงสาวๆ ที่นั่งกันอยู่นะ” อวี้เอ๋อร์ลุกขึ้นมาพูดยิ้มๆ
“เธอก็รู้จักกัวไฮว่เหรอ” ซุนหลิงหลิงนั่งลงข้างๆ อวี้เอ่อร์ ถามขึ้นเบาๆ
“ยิ่งกว่ารู้จักอีก พี่อวี้เอ๋อร์เป็นศิษย์น้องของตาบ้านั่น เป็นศิษย์น้องที่รู้จักมักใคร่มาตั้งแต่เด็ก” หนานกงหลิงโม่พูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“ใครเป็นศิษย์น้องของฉันกันล่ะ เสี่ยวหลิงโม่” เมื่อหนานกงหลิงโม่พูดจบนั่นเอง กัวไฮว่ก็จูงมือมู่หรงเวยเวยด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็ถือน้ำเต้าเหล้าเดินเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัว สายตาของเขาตกไปอยู่บนร่างของหนานกงหลิงโม่ จากนั้นก็มองไปยังอวี้เอ๋อร์อย่างไม่เกร็ง
“เพล้ง!” น้ำเต้าในมือตกลงพื้น ในสมองของกัวไฮว่ถึงกับหยุดนิ่งไป
“ศิษย์พี่ เป็นอะไรไป ออกจาสำนักมาได้ไม่กี่วันก็จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ” อวี้เอ๋อร์มองกัวไฮว่พลางถามขึ้นยิ้มๆ
“ธะ…เธอมาได้ยังไง” กัวไฮว่เบิกตาโพล่งถามขึ้น ไม่แปลกเลยที่ตอนที่เห็นเอกสารของอวี้เอ๋อร์เป็นครั้งแรก ก็มีความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกมาระลอกหนึ่ง นี่ไม่ใช่ท่านนั้นในสรวงสวรรค์ ไม่ใช่กระต่ายในน้อยในวังแห่งจันทราที่เกือบจะได้เป็นชู้กับตนไม่ใช่หรือ
“ดูศิษย์พี่พูดเข้า พี่มาได้แล้วฉันจะมาไม่ได้เหรอ” อวี้เอ๋อร์พูดยิ้มๆ “นั่งด้านนี้สิ ฉันมีหลายเรื่องจะถามพี่เลย”
กัวไฮว่ค่อยๆ เดินไปนั่งข้างกายอวี้เอ๋อร์ เมื่อเห็นคนทั้งโต๊ะกำลังมองพวกเขาสองอยู่ ตนเองก็อดไม่ได้ที่จะใช่วิชาอ่านจิตกับอวี้เอ๋อร์ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่ายายเด็กนี้คิดจะทำอะไร
“เทพแห่งจิต มายังแดนมนุษย์แล้ว ยังจะเล่นไม้นี้อีกหรือ ท่านไม่กลัวเง็กเซียนฮ่องเต้จัดการท่านหรือไง” เสียงเสียงหนึ่งลอยเข้าไปในหูของกัวไฮว่ ผู้ที่พูดหากไม่ใช่อวี้เอ๋อร์แล้วจะเป็นใครได้อีก
“เธอไม่ได้พูดอะไรมั่วซั่วใช่ไหม” กัวไฮว่มองอวี้เอ๋อร์แล้วพูดออกไป
“พูดมั่วซั่วอะไร ดูพี่พูดเข้า ตอนนี้ฉันชื่อฉางเสี่ยวอวี้ พี่คือกัวไฮว่ ตอนนี้เราสองคนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ส่วนที่เหลือพี่จะพูดยังไงกับเหล่าเมียๆ ก็อยู่ที่พี่แล้วล่ะ มีอีกนิดที่พี่ต้องชัดเจนนะ เมื่อฉันมาโลกมนุษย์ ไม่ว่าพี่จะหลายใจยังไง ฉันต้องเป็นใหญ่” อวี้เอ๋อร์ถลึงตาพลางพูดขึ้น
“เป็นใหญ่?” เมื่อกัวไฮว่ได้ยินสองคำสุดท้ายของอวี้เอ๋อร์ ก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมา ข้าจีบเซียนบนสวรรค์ก็ถูกรายงานเป็นประจำ ตอนนี้ดีแล้ว เซียนมาหาข้าเอง
“พี่อวี้เอ๋อร์ ตาบ้า มีอะไรก็พูดต่อหน้าทุกคนไม่ได้เหรอ ถึงแม้ฉันจะฟังที่พวกพี่พูดไม่เข้าใจ แต่ยังดีที่ฉันมีพลังวิเศษ พวกพี่ทำแบบนี้มันส่งผลต่อร่างกายฉันมากนะ” หนานกงหลิงโม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ อวี้เอ๋อร์พูดขึ้นเสียงดัง
“อะแฮ่มๆๆ ยายหนู ฉันพูดอะไรกับเธอล่ะ ฉันไปดูก่อนนะว่ากับข้าวทำไปถึงไหนแล้ว” กัวไฮว่พูดเสร็จ ก็รีบกระโดดตัวหนีวิ่งออกไปทางประตู
“พ่อหนุ่ม เมียเยอะนะเนี่ย ฮาเร็มเธอนี่ใหญ่เข้าเรื่อยๆแล้วนะ” ไม่กี่นาที กัวไฮว่กับเริ่นเสวียนเช่อก็เดินเข้ามาด้วยกัน
“ดูปู่หกพูดเข้า ฮาเร็มใหญ่เข้าเรื่อยๆ อะไรกัน ช่วงนี้เดี๋ยวผมเอาโสมให้ปู่หน่อยดีกว่า ตอนที่ทำกับข้าวให้พวกเราปู่ก็ใส่ไปให้หน่อยนะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “เมื่อกี้ผมเห็นแครอทที่สั่งมาใหม่อวบอิ่มดี ปู่ให้ในครัวล้างมาสักจานนะ ล้างให้สะอาดๆหน่อยล่ะ”
“ไม่ต้องล่ะ ฉันมีแครอทอยู่” เมื่ออวี้เอ๋อร์พูดเสร็จ ก็มีแครอทสีแดงอยู่ในมือ จากนั้นก็กัดลงไปหนึ่งคำ กรอบเสียจริง
“อะแฮ่มๆ ศิษย์น้อง เธอยังชอบกินสิ่งนี้อีกเหรอ” กัวไฮว่มองแครอทในมืออวี้เอ๋อร์ด้วยหน้าถอดสี
“ปีศาจ ปีศาจของแท้ เธอดูหน้าเขาสิ เธอดูรูปร่างเขาสิ เธอดูท่าทางเขาสิ ปีศาจแน่ๆ เสี่ยวซี เธอรักษาตำแหน่งเมียหลวงไว้ไม่ได้แล้วล่ะ” ซูเยี่ยกระซิบเบาๆ ข้างหูถังซี
“เธอพูดอะไรน่ะ” ถังซีพูดขึ้นด้วยหน้าสีแดงก่ำ ทั้งสองคนพูดอยู่ในห้องนอนก็ว่าไป แต่ตอนนี้คนเยอะขนาดนี้ ถึงเสียงซูเยี่ยจะไม่ดัง แต่อวี้เอ๋อร์ก็เดินมาทางตนเองแล้ว
“กินเหล้ากินเหล้า วันนี้กินให้หนำใจเลย” กัวไฮว่เองก็ได้ยินที่ซูเยี่ยพูด เลยพูดขึ้นด้วยความเกร็งๆ อวี้เอ๋อร์มาแล้ว ตำแหน่งเมียหลวงย่อมต้องเป็นของนางแน่นอน แต่แล้วจะอย่างไร ที่นี่คือแดนมนุษย์ อวี้เอ๋อร์คงไม่ทำอะไรเมียคนอื่นๆ ของตนเองหรอกกระมัง
ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข ครั้งนี้กัวไฮว่เองก็ไม่ได้งก ให้ทุกคนดื่มเหล้าคนละหนึ่งจินกว่า ไม่มีใครเมาเหล้า ทุกคนต่างพูดจาเฮฮา ถามเรื่องสำนักวิชาของกัวไฮว่และอวี้เอ๋อร์กัน กัวไฮว่เองก็ไม่ได้หลอกลวง พูดโม้น้ำไหลไฟดับ ทุกคนฟังกันจนเมา
“ตาบ้า ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่อวี้เอ๋อร์ต้องชอบนายด้วย ในสำนักพวกเธอน่าจะมีคนหล่อๆ ไม่น้อย แต่กลับออกจากสำนักมาเพื่อนาย เฮ้อ พี่อวี้เอ๋อร์ พี่จะต้องเสียใจแน่” หนานกงหลิงโม่มองทั้งสองแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“ยายหนู รอเธอโตก่อนเถอะ เธอก็จะชอบหนุ่มแบบฉันแน่” กัวไฮว่พูดขึ้นอย่างหน้าไม่อาย
“กัวไฮว่ ครั้งก่อนเธอบอกว่ารอเธอกลับมาแล้วจะมาดูอาการให้ครู แล้วเมื่อไหร่จะมาดูให้ครูล่ะ” หลินซวงมองนักเรียนของตนแล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ไม่รู้เป็นเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเป็นเพราะตนเองเขินอายกันแน่
“รอผมมีเวลาก่อน ช่วงนี้ผมยุ่งเรื่องเตรียมแข่งขันวิชาการน่ะ การแข่งขันจบลงแล้วเดี๋ยวผมจะไปหาครูนะ” กัวไฮว่พูดด้วยใบหน้ายิ้มร้าย เมื่อซุนหลิงหลิงได้ยินคำพูดของกัวไฮว่ ใบหน้าของตนเองก็แดงระเรื่อขึ้นมา
“เจ้าบ้า ลงมาแดนมนุษย์ได้ไม่กี่วัน ก็มีความสัมพันธ์กับสตรีในแดนมนุษย์เสียแล้ว” อวี้เอ๋อร์เห็นซุนหลิงหลิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่แรก เขาใช้วิชารักษาร่างเก้าหยินก็ทำเอาตนตกใจแล้ว แต่เมื่อดูจากท่าทีของนางเมื่อสักครู่ อวี้เอ๋อร์ก็คาดเดาได้ว่าผู้ที่บังอาจใช้วิชารักษาร่างเก้าหยิน ก็มีแต่เจ้าบ้ากาม เจ้าปีศาจร้ายเทพแห่งจิตกัวไฮว่ผู้นี้
MANGA DISCUSSION