[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 63 หนานกงเชี่ยนมาแล้ว
“ไอ้น้อง นายช่วยชีวิตฉันไว้ ชีวิตฉันเป็นของนายแล้วล่ะ” มู่หรงหลงมองกัวไฮว่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่แล้วพูดขึ้นเบาๆ
เป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกัวไฮว่ก็ลืมตาขึ้น เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา แล้วลอบคิดในใจว่า การหนีลิขิตฟ้าชิงชีวิตแบบนี้ทำน้อยๆ หน่อยก็น่าจะเป็นการดี
“พี่ไฮว่ ยังมีอีกไหม ให้ผมอีกเม็ดเถอะ มีพี่ยาลูกกลอนกี่เม็ดกันแน่ ตอนนี้อีกก้าวเดียวผมก็จะถึงเขตแดนเซียนเทียน[1]แล้วเนี่ย”
“เบาเสียงหน่อย พวกยอดฝีมือที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีน่ะ ต้นไม้ใหญ่ในป่ามักถูกลมแรงพัดล้ม[2]” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ จากนั้นก็หันศีรษะไปมองมู่หรงหลง “พี่เขย ออกแรงหน่อยสิ ดูหน่อยว่าร่างกายฟื้นฟูสมบูรณ์แล้วหรือยัง”
“พี่เขย? ฮ่าๆ เวยเวยตาแหลมดีนี่ ขอบคุณนะ” มู่หรงหลงพูดยิ้มๆ
“ไปเถอะ จัดการเรื่องพี่เรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องที่พี่โดนยาพิษน่ะยังจัดการไม่เสร็จเลย เราไปกินข้าวกันดีกว่า” พูดเสร็จ กัวไฮว่ก็เดินออกจากห้องไป ภายในห้องมีคนหลายคน ข้างกายมู่หรงกูมีผู้อาวุโสสองสามรายยืนอยู่ข้างๆ สายตาพวกเขาสุกสกาว เห็นได้ชัดว่าอยู่ห่างจากเขตแดนเซียนเทียนอีกไม่ไกลแล้ว
“อาจารย์” มู่หรงเฟยพูดขึ้นยิ้มๆ กับชายชราคนหนึ่งในนั้น
“เสี่ยวเฟย ดี ดีมาก” ช่วงขณะที่สายตาของชายชราตกไปอยู่บนร่างของมู่หรงเฟย เขาก็พูดขึ้นเสียงดังด้วยความดีใจ ศิษย์ของเขาอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญทางเซียนใกล้เคียงกับตน
“มาทั้งผู้สืบทอดมวยแปดสุดยอด ผู้สืบทอดมวยตั๊กแตนเจ็ดดาว ผู้สืบทอดหมัดเจ็ดพิการ คุณพ่อตาเล่นใหญ่เลยนะเนี่ย” กัวไฮว่มองมู่หรงกูแล้วพูดยิ้มๆ เขาตรงดิ่งไปนั่งข้างมู่หรงเวยเวยโดยไม่แยแสคนอื่น คำว่า ‘คุณพ่อตา’ มู่หรงกูยังไม่ทันเรียกสติกลับมา แต่กลับทำให้มู่หรงเวยเวยหน้าแดงก่ำไปเรียบร้อยแล้ว
“ฮ่าๆ วันนี้ดีใจมากเลย นั่งลงกันก่อนเถอะ” มู่หรงกูมองฝูงชนด้วยความเกร็งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นยิ้มๆ
“เสี่ยวไฮว่ วันนี้เราสองพ่อลูกได้นั่งร่วมโต๊ะกัน ขอบคุณมากนะ” มู่หรงกูพูดเปิดอกเสียงดัง “มู่หรงหลง กัวไฮว่เป็นคนช่วยชีวิตแกเอาไว้ แกต้องขอบคุณเขานะ”
“ผมรู้ครับพ่อ” มู่หรงหลงเองก็ไม่เท่าไหร่ พยักหน้าขึ้นเบาๆ มู่หรงเวยเวยมองพี่ชายของตนเองแล้วยิ้มขึ้น ในใจเธอรู้สึกสุขอย่างไม่มีใครอาจอธิบายได้ ตั้งแต่เล็กจนโต ความรู้สึกแบบนี้ไม่อาจอธิบายออกมาได้
“คนมากันครบแล้วก็เสิร์ฟอาหารเถอะ” กัวไฮว่มองเมิ่งจวงแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
เมิ่งจวงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่นาน บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ
“เกี๊ยวหมูไคหยวน ต้นกระจับหยินหยาง ไก่ฉีกแตงกวา ถั่วลิสงต้มเก้าหยิน เมนูสามแพะ เต้าหู้สองสี เนื้อกระต่ายพันถ้ำ ขึ้นฉ่ายเหล่ากุ่ย ปลาต้มเค็มสูตรลับ ผักกาดม้าดี ตับห่านทอดไส้เดือน ไข่น้ำเฟิ่งอู่” กัวไฮว่มองอาหารบนโต๊ะแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “เมิ่งจวง อาหารที่จัดมานี่ไม่ถูกนะ” พูดเสร็จ กัวไฮว่ก็ยื่นมือไปเปลี่ยนตำแหน่งอาหารบนโต๊ะ
“นี่สิ อาหารที่ผมชอบกินที่สุด ขอบคุณลุงเมิ่งมากครับ” มู่หรงหลงมองอาหารรสเลิศที่อยู่เต็มโต๊ะ ในใจก็พลันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา ตัวเขาเองสลบไปตั้งหกปี พ่อครัวในบ้านยังจำรสนิยมของตนเองได้อีก
“พวกท่านเป็นผู้อาวุโสในยุทธภพกันทั้งนั้น กินเถอะ” กัวไฮว่พูดขึ้นยิ้มๆ อย่างไม่มากความ
“นายท่าน ผมผิดไปแล้ว” ในขณะที่ทุกคนกำลังจะคีบอาหารนั่นเอง เมิ่งจวงก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง “พ่อหนุ่มนี่ตาแหลมนัก ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องผมแล้ว ผมผิดไปแล้ว”
“ว่ามา!” มู่หรงกูหรี่ตามองเมิ่งจวงแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง
“อาหารทั้งสิบสองอย่างบนโต๊ะทำออกมาโดยอิงจากชั่วยามหยินหยาง น่าจะเป็นการปรับสภาพหยินหยางน่ะครับ ชั่วยามโจมตีกัน แต่อาหารของนายน้อยในครั้งนั้น กลับตรงกันข้าม” เมิ่งจวงก้มหน้าพูดขึ้นเบาๆ
“ใคร” มู่หรงกูถามต่อ
“คือ…” เมิ่งจวงยังไม่ทันไม่ได้พูดอะไร มู่หรงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือขึ้นมาจับศีรษะของเมิ่งจวง ตอนที่เขาจะออกแรงนั่นเอง กัวไฮว่ก็ยื่นมือมาจับข้อมือของมู่หรงเหยียน เขาจึงไม่สามารถออกแรงได้
“ปู่เหยียน คิดจะฆ่าคนปิดปากเหรอ” กัวไฮว่หรี่ดวงตามองชายชราที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“ฉันเข้าใจแล้ว เสี่ยวไฮว่ ปล่อยเขาเถอะ” มู่หรงกูมองมู่หรงเหยียน ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงชั่วขณะราวกับแก่ขึ้นสองสามปี
“ท่านผู้นำ ผมผิดไปแล้ว” มู่หรงเหยียนคุกเข่าอยู่ข้างๆ เมิ่งจวง เสียงแก่ๆ ของเขาเล็ดลอดออกมา
“หนานกงเชี่ยน ใช่ไหม” มู่หรงกูพูดด้วยความจนใจ “ลุกขึ้นมาเถอะ วันนี้เสี่ยวหลงดีขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่ดี วันนี้ไม่อยากฆ่าคน”
เมิ่งจวงลุกขึ้นมา จากนั้นก็เรียงลำดับอาหารใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็เอาอาหารอีกสิบสองอย่างมาวางไว้บนโต๊ะ ทว่าเขากลับไม่กล้ามองหน้ามู่หรงหลง
“หลานชายตัวดีของผมติดหนี้อยู่ร้อยกว่าล้านอยู่ที่เมืองนอก ผมไม่กล้าบอกท่านผู้นำ เมิ่งจวงเป็นคนที่ผมพามาที่บ้านตระกูลมู่หรงเอง ตอนนั้นมู่หรงอวี่บอกแค่ว่าให้พาเพื่อนมาคนหนึ่งเข้าบ้านมู่หรง แล้วเงินของหลานชายผมเขาจะเป็นคนจ่ายให้เอง แต่ผมไม่คิดเลยว่าจะกลับทำร้ายเสี่ยวหลงได้” มู่หรงเหยียนพูดเบาๆ
“กินข้าว” มู่หรงกูพูดยิ้มๆ “ขายหน้าพวกท่านทั้งสามคนแล้วล่ะ”
“ฮ่าๆ อากู เสี่ยวหลงฟื้นฟูร่างกายแล้ว น่ายินดีมากๆ แต่จากนี้ไม่ต้องให้พวกเราสามคนมาปกป้องเขาแล้วล่ะ พ่อหนุ่มข้างๆ เขาเป็นยอดฝีมือ” เซียวอวิ๋นเทียน ผู้สืบทอดมวยแปดสุดยอดลำดับที่ร้อยสามสิบแปดพูดขึ้นยิ้มๆ
“ใช่ไหมล่ะ ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มดูพวกเราออกได้ยังไงกัน” หวังเทียนลั่ว ผู้สืบทอดมวยตั๊กแตนเจ็ดดาวถามขึ้น “ไม่ทราบว่าอาจารย์ของพ่อหนุ่มเป็นใครเหรอ”
“เรื่องบางอย่างไม่สะดวกจะบอกพวกท่าน ในเมื่อพวกท่านเป็นแขกของคุณพ่อตา ผมก็จะคิดหาวิธีรักษาโรคแฝงให้พวกท่านเอง กินข้าวกินข้าว ในเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเรามากินข้าวกันก่อน” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ หลังจากที่เขาคีบอาหารให้มู่หรงเวยเวยโดยไม่ได้สนใจคนอื่น และตัวเขาเองก็เริ่มกินข้าว
“ฮ่าๆ พ่อหนุ่มช่างมีน้ำใจ เราสามคนขอขอบคุณล่วงหน้า” ทั้งสามพูดขึ้นยิ้มๆ ผู้ฝึกยุทธมีใครบ้างไม่มีอาการแฝง โดยเฉพาะเซี่ยอวี่ขุยผู้ฝึกหมัดเจ็ดพิการ หมัดเจ็ดพิการใครฝึกเป็นต้องได้รับบาดเจ็บ ภายในร่างกายของคนเรามีพลังหยินพลังหยางและธาตุเหล็กไม้น้ำไฟดินทั้งห้า จึงเรียกรวมกันว่า ‘เจ็ดพิการ’ ซึ่งมักจะทำร้ายตัวเจ้าของเองก่อนจะไปทำร้ายผู้อื่น ตัวเขาเองทรมานจากอาการแฝงทุกวัน จู่ๆ วันนี้ก็ได้เห็นความหวังที่รักษา เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไรกัน
ในขณะที่ทุกคนกินข้าวกันอย่างคึกครื้นอยู่นั้นเอง ก็มีเงาดำมายังข้างกายของมู่หรงกู พูดขึ้นข้างหูเขาสองสามประโยค ไม่นานมู่หรงกูก็หน้าถอดสี
“อากู เป็นอะไรไป มีคนมาหาเรื่องเหรอ” หวังเทียนลั่วมองมู่หรงกูแล้วถามขึ้นยิ้มๆ
“มู่หรงเชี่ยนมาแล้ว” มู่หรงกูพูดอย่างไม่ปิดบัง “พวกเธอกินกันไปเถอะ ฉันจะไปดูหน่อยว่าวันนี้เธอจะทำอะไร”
“กินอิ่มไปหกส่วนแล้ว พวกเราไปดูด้วยกันเถอะครับ” กัวไฮว่ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาอยากจะดูนักว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงผู้นี้เป็นบุคคลแบบไหนกันแน่
“ทำไม ฉันมาหามู่หรงกูยังต้องรอให้พวกแกไปรายงานด้วยเหรอ ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไป” หญิงสาวที่ดูอายุสามสิบกว่าปีพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในบ้านตระกูลมู่หรง
[1] เป็นลำดับสองของระดับผู้บำเพ็ญเพียรอาวุโส อันประกอบไปด้วย ปรมาจารย์วิญญาณ เขตแดนเซียนทียนและเขตแดนหนิงตัน
[2] อุปมาว่าผู้ที่โดดเด่นมีความสามารถมักจะมีอันตรายได้ง่าย มักมีผู้อิจฉาริษยา