[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 48 การคัดเลือกแข่งวิชาการ (6)
“ใครโง่ฉันก็ว่าคนนั้นแหละ” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่เกรงฉินอวี้หลง“ไอ้ฉิน ไม่งั้นเรามาพนันกันสักตั้งไหมล่ะ ถ้ากัวไฮว่ผ่านเข้าแข่งขัน นายเดินเปลือยกายออกไปจากหอประชุม กล้าไหมล่ะ”
“ตกลง ทำไมจะไม่กล้าพนันล่ะ ฉันกล้าพนันในเว็บบอร์ดมากขนาดนั้น พนันแค่นี้ทำไมฉันจะไม่กล้ารับคำท้า ถ้ากัวไฮว่ชนะในการแข่งเขียนพู่กันรอบที่สาม ฉัน ฉินอวี้หลง จะเปลื้องผ้าเดินออกไปจากหอประชุม ถ้าไม่ทำ ขอให้ฟ้าผ่า” ฉินอวี้หลงพูดเสียงดัง “แล้วถ้านายแพ้ล่ะ”
“แพ้ก็แพ้ไป ถ้าแพ้ฉันจะเลี้ยงจาจังมยอนนายที่โรงอาหาร” เด็กหนุ่มพูดเสียงดังอย่างหยาบกระด้าง
“นาย…ดี…ดีมาก ถ้านายแพ้ฉันจะให้นายเลี้ยงจาจังมยอนฉัน ฉันจะกินให้แกจนไปเลย” ฉินอวี้หลงพูดเสียงดัง
“หลี่กู่เสร็จแล้วค่ะ” ซุนหลิงหลิงพูดยิ้มๆ จากนั้นก็ให้นักเรียนสองคนนำกลอนสองวรรคที่หลี่กู่เขียนไว้ว่า ‘ขี่ลมทะลวงคลื่นอาจมีบางครา ดิ่งทะยานเมฆล่องมหาสมุทร’ ส่งไปยังเบื้องหน้าของผู้ตัดสิน
“อายุแค่สิบห้าสิบหก เขียนได้ระดับนี้ วิจิตรขนาดนี้ ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” เฉาสิงหลงพูดยิ้มๆ อันที่จริงเขาก็ลำเอียง หลี่กู่ได้ที่เก้าในการแข่งรอบที่สอง ถ้านักเรียนแบบนี้ได้เข้าแข่งขัน ดีกว่าให้กัวไฮว่เข้ารอบแข่งจริงเยอะเลย”
“ซูเยี่ยเสร็จแล้วค่ะ” ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที ซุนหลิงหลิงพูดขึ้นยิ้มๆ
“บนภูเขามีต้นไม้ บนต้นไม้มีกิ่ง บนใจข้ามีท่าน ไยท่านไม่รู้” ในขณะที่พิธีกรอ่านกลอน ใบหน้าของซูเยี่ยก็พลันแดงระเรื่อขึ้นมา
“ยายหนู ฝันกลางวันเหรอ” ในขณะนี้ ถังซีก็เขียนอักษรเสร็จแล้วเช่นกัน
“เพียงเพราะท่านหันกลับมาแค่คราเดียว ก็ทำให้ข้าคิดถึงท่านทุกเช้าเย็น” ในขณะที่พิธีกรพูด ก็มีนักเรียนนำอักษรที่ทั้งสองคนเขียนวางไว้เบื้องหน้าของผู้ตัดสิน เมื่อเทียบกับหลี่กู่แล้ว อักษรที่ซูเยี่ยกับถังซีเขียนขาดความสมดุลไปหน่อย
“ถ้าเจ้าทำตามใจ ทั้งชีวิตข้าจะนำเหล้าไปเป็นเพื่อน” โหยวโยวโยวมองอักษรที่ตนเองเขียน ก็ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก เป็นนัยให้ซุนหลิงหลิงรู้ว่าเขียนเสร็จแล้ว
“คุ่นหลงรับศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมไม่เห็นบอกกันบ้างเลย ฮ่าๆ” เมื่ออักษรที่โหยวโยวโยวเขียนวางไปยังเบื้องหน้าของผู้ตัดสิน ก็มีคนดูลายเส้นว่าเขียนไม่เลว และเมื่อเทียบกับหลี่กูก็ถือว่าเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
“สี่ตัวอันตราย ตัวอสรพิษ” ในขณะที่หนานกงหลิงโม่เขียนเสร็จ ทั้งหอประชุมก็พลันหัวเราะลั่นออกมา เด็กหญิงก็เขียนอักษรแปดตัว เขียนเสร็จก็ไม่ลืมที่จะมองกัวไฮว่
“ศิษย์บ้า ฮ่าๆ เขียนได้บ้ามากเลย คนก็บ้าเหมือนกัน” ฝูงชนพูดพลางขำ ใช่แล้ว อันที่จริงตาบ้าเซวียนพักอยู่ที่บ้านตระกูงหนานกงได้สักระยะหนึ่งแล้ว และได้สอนสิ่งพวกนี้ให้แก่หนานกงหลิงโม่
“เงินเยอะเยอะเยอะเยอะ ดีเยอะเยอะขึ้นไป” เฉียนตัวตัวก็เขียนเสร็จแล้ว อักษรหกตัวทำเอาคนทั้งหอประชุมหัวเราะลั่น ในขณะที่อักษรถูกวางไปยังเบื้องหน้าของผู้ตัดสิน ผู้ตัดสินต่างก็มองหน้ากันแล้วตระหนกตกใจ อักษรหกตัวดูเหมือนจะเหมือนกัน แต่กลับมีความวิจิตรถึงหกแบบ
“ปรมาจารย์อวี้เฟิง ท่านช่วยมาดูหน่อยได้ไหมครับ” หลี่สวินอวี้พูดเสียงเบากับปรมาจารย์อวี้เฟิง
“เสี่ยวอวี้ คุ่นหลง ไป ไปดูกันเร็ว” ปรมาจารย์อวี้เฟิงตะโกนเรียกหลินอวี้กับเจิ้งคุ่นหลงไปด้วยกัน
“อักษรหกตัว ความวิจิตรหกแบบ เด็กนี่ไม่เลวเลย” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ “คุ่นหลง เด็กนี่เรียนเขียนกับใครเหรอ แกรู้หรือเปล่า”
“ถ้าดูไม่ผิดก็เป็นหกปรมาจารย์แห่งอวิ๋นซานครับ น่าจะเรียนมาจากหกปรมาจารย์แห่งอวิ๋นซาน เมื่อสิบสามปีก่อนปรมาจารย์หกคน มีสี่คนเสียชีวิตไปแล้ว อักษรคำว่า’เยอะ’สองตัวแรกนี่เขียนดูมีพื้นฐานที่ดี อาจารย์สองท่านที่เหลือเป็นคนสอนมา ที่หนึ่งของเมืองอู่เฉิงก็สมแล้วจะเป็นที่หนึ่ง” เจิ้งคุ่นหลงพูดยิ้มๆ
“หนังแพะนับพัน มิสู้ขาหมาป่าเพียงหนึ่ง” เจ้าหมิ่นเองก็เขียนเสร็จแล้ว
“ไม่บินกลับสิ้นสุด เมื่อบินทะลุฟ้า ไม่ร้องกลับสิ้นสุด เมื่อร้องสะท้านคน” เมื่อฉินเซวียนเขียนเสร็จ ก็ผงกศีรษะเล็กน้อย อักษรที่เขาเขียนทำเอาผู้ตัดสินตกใจอีกครั้ง ทั้งแผ่นดินไม่มีใครคิดว่าจะมียอดฝีมือแบบฉินมู่เหรินอีกแล้ว และฉินเซวียนผู้นี้คือหลานของหลานของเขานั่นเอง
“กัวไฮว่ พวกเขียนเสร็จหมดแล้ว เธอยังเขียนไม่เสร็จอีกเหรอ” ซุนหลิงหลิงมองไปยังกัวไฮว่ที่เอาแต่ฝนหมึก จากนั้นก็ถามขึ้นยิ้มๆ
“หมึกยังฝนไม่เสร็จ จะเขียนได้ยังไง” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“พ่อหนุ่ม อย่ามาทำให้ยุ่งยากดีกว่าน่า ทำให้คนอื่นเสียเวลามันไม่ดีนะ” เฉาสิงหลงพูดเสียงดัง
“อยากให้ผมทำเร็วๆ งั้นก็มาช่วยผมฝนหมึกสิ แบบนี้จะได้เร็วหน่อย” กัวไฮว่มองเฉาสิงหลงที่เดินมาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“ได้ได้ได้ วันนี้ฉันช่วยเธอฝนหมึกเอง ฉันอยากจะดูนักว่าเธอจะเขียนเป็นยังไง” เฉาสิงหลงพูดพลางยกแขนขึ้นมาเริ่มฝนหมึก “ฝนหมึกเสร็จแล้ว ลงมือเถอะ”
“ข้านั้นได้รู้จักคนบ้า สมญานามว่าเซียนมาจุติ” กลอนสองวรรคของตู้ฝู่กับหลี่ไป๋ถูกกัวไฮว่นำมาเขียนบนกระดาษ สมญานามผู้จุติ ตอนนั้นหลี่ไป๋ไม่ได้เป็นเซียนจุติอะไรหรอก แต่ก็ค้นพบว่าตอนนี้ตนเองเนี่ยแหละเป็นเซียนมาจุติ
“ก็คิดว่าจะเขียนดี ก็งั้นๆ แหละ” เฉาสิงหลงอ่านแวบหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ
“กัวไฮว่ เธอเขียนเสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันให้คนเอาไปให้กรรมการดู” ซุนหลิงหลิงพูดยิ้มๆ
“ถ้าอยากดูอักษร ให้พวกเขามาดูเถอะ” กัวไฮว่พูดพลางลุกขึ้นมา “เสี่ยวซี โยวโยว เวยเวย เยี่ยจื่อ ฉันไปก่อนแล้วนะ ถ้าคิดได้แล้วว่าจะกินข้าวที่ไหนก็ส่งข้อความไปหาฉันนะ ฮ่าๆ” พูดจบ กัวไฮว่ก็ดิ่งลงจากเวที ออกจากหอประชุมไป
“เขายอมแพ้แล้วเหรอ ทำไมเขาไปแล้วล่ะ ฮ่าๆ เขายอมแพ้แล้ว เขาจะไม่เข้าแข่งขันวิชาการแล้ว ฮ่าๆ” ฉินอวี้หลงพูดพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น
“ไอ้โง่!” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างฉินอวี้หลงพูดอย่างดูแคลน
“ไอ้หมอนี้ ฉันคิดไว้แล้ว เดี๋ยวพอการคัดเลือกจบลง ฉันจะไปกินจาจังมยอนเซ็ตพรีเมี่ยม ถึงเวลานั้นจานนึงก็ราคาหมื่นกว่าๆ ฉันจะกินให้ตายไปเลย” ฉินอวี้หลงพูดอย่างเหี้ยมโหด
“เจ้าโง่ ฉันก็คิดไว้แล้ว เดี๋ยวพอออกจากหอประชุม ฉันจะดูแกแก้ผ้า แล้วก็ไลฟ์สดลงเว็บบอร์ด แกเตรียมตัวดังในเมืองอู่เฉิงได้เลย” เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านมาดูอักษรรูปนี้สิ” สวี่อู๋อี้ ผอ.โรงเรียนหยางกวงดูไม่ถึงหนึ่งนาที ก็ดูจุดเริ่มกับจุดจบในการลากเส้นออก พูดขึ้นเบาๆ กับปรมาจารย์อวี้เฟิง
“เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้ยังไง เขาอายุเท่าไหร่เอง หลี่เหวินโต้ว…ในพิพิธภัณฑ์อู่เฉิงมีร่องรอยของหวังซีจืออยู่ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าอักษรภาพนี้มีกลิ่นอายของหวังซีจืออยู่ล่ะ” เจี่ยอวิ๋นเทา ผอ.โรงเรียนอี้จงพูดเบาๆ
“ให้ท่านอาจารย์มาดูเถอะ ฉันก็ดูไม่ออก รูปอยู่นี่เหนือความเข้าใจของฉันนัก” หลี่เหวินโต้วส่ายศีรษะ แล้วเดินลงเวทีไป “นักเรียนทุกคน คุณครูทุกท่าน ผมไม่เป็นกรรมการแล้ว ขงจื่อเคยกล่าวไว้ว่าแต่ละคนมีด้านเก่งไม่เหมือนกัน อักษรที่กัวไฮว่เขียนเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจได้ ฉันตัดสินอักษรแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“เขาคือหลี่เหวินโต้ว เป็นหัวหน้าพิพิธภัณฑ์อู่เฉิง ทั้งยังเป็นรองหัวหน้าสมาคมเขียนพู่กันอีกด้วย” ฝูงชนจำหลี่เหวินโต้วได้ จึงพูดกันด้วยเสียงเบาๆ
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^
https://www.kawebook.com/story/6815