[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 32 หนานกงหลิงโม่
“ฮัดเช้ย!”เพิ่งส่งพวกหลี่เย่าสามคนไปได้ไม่นานกัวไฮว่ก็จามทีหนึ่ง“ใครคิดถึงข้าอีกแล้วเนี่ย ไม่สนแล้วศึกษาน้ำเต้าอันนี้ก่อนดีกว่า”
“แค่กๆๆ มารดามันเถอะพลังเวทก็เหลือน้อยนิดคลายค่ายกลง่ายๆแค่นี้ก็ไม่ได้”กัวไฮว่กระแอมไอเสียงดังแล้ววางน้ำเต้าไว้บนโต๊ะ ข่มตนเองเอาไว้ไม่ให้กระอักเลือดออกมา
“ใคร มีคนใช้พลังเวทเทพแห่งจิตอยู่ที่เมืองอู่เฉิงจริงๆด้วย เหมือนกับที่ท่านพี่บอกไว้เลยเขาไม่ได้ไปกำเนิดใหม่ฮึ ไม่นานข้าก็ต้องหาเจ้าเจอ”พลังเวทสั่นสะเทือนจนทำให้อวี้เอ๋อร์ที่เพิ่งหลับตาอยู่บนยอดตึกที่สูงที่สุดในเมืองอู่เฉิงลุกพรวดขึ้นมา
“น้ำเต้านี่ตาแก่นั่นได้มาจากสระแห่งฟ้า ดูท่าต้องหาเวลาไปที่สระแห่งฟ้านี่บ้างเสียแล้วไม่รู้ว่ามีของดีอะไรอีกหรือไม่”กัวไฮว่พูดพึมพำกับตัวเอง“พลังเวทงั้นหรือ พลังปราณบางเบาเช่นนี้ข้าจะฟื้นฟูพลังเวทได้อย่างไร”กัวไฮว่พูดพลางดื่มเหล้าอึกหนึ่งตามด้วยยาลูกกลอนอีกหนึ่งเม็ด
มู่หรงเวยเวยกลับไปยังห้องแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็เอากระดาษเซวียนจื่อมาสองสามแผ่น เธอหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วหยิบพู่กันมาเขียนบนกระดาษเซวียนจื่อ
“เฮ้อ ไม่เขียนแล้ววันนี้ ช่วงนี้จิตใจไม่สงบเลยเขียนไปแบบนี้ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาไรหรือเปล่า”มู่หรงเวยเวยมองอักษรแถวแรกที่ตนเขียนจากนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ
“พี่เวยเวยยังไม่พักผ่อนอีกเหรอ”เด็กสาวหน้าตาน่ารักผู้เป็นรูมเมตของมู่หรงเวยเวยถามขึ้นยิ้มๆ ดูจากอายุของเด็กผู้หญิงคนนี้อย่าว่าแต่มัธยมปลายเลย เรียนแค่มัธยมต้นก็น่าจะพอ ทว่าเธอเป็นนักเรียนมอสี่ของฟู่จงจริงๆ เธอคือหนานกงหลิงโม่ นักเรียนของฟู่จงที่โดยปกติแล้วจะไม่ค่อยเข้าเรียนเท่าไหร่
“ทำไมเหรอหลิงโม่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”มู่หรงเวยเวยถามยิ้มๆ มู่หรงเวยเวยชอบเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก
“วันนี้เห็นพี่ในเว็บบอร์ดด้วย นักเรียนชายที่อยู่ข้างพี่คนนั้นใช่แฟนคนปัจจุบันของพี่หรือเปล่า เขาหลายใจมากนะวันก่อนเขาจูบถังซีกับโหยวโยวโยวที่โรงอาหารด้วย”หนานกงหลิงโม่พูดเบาๆ
“ฉันรู้แล้ว ยัยหนูเธอเริ่มขี้เม้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”มู่หรงเวยเวยยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กสาวแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ
“ปีหน้าฉันจะออกจากฟู่จงแล้วไม่รู้ว่าจะได้เจอพี่อีกหรือเปล่า”หนานกงหลิงโม่พูดเบาๆ“ฉันเพิ่งจะสิบเอ็ดปีเองทำไมฉันต้องเป็นตัวแทนครอบครัวไปร่วมงานศิลปะการต่อสู้ปีหน้าด้วยก็ไม่รู้”
“ยัยหนูเพราะเธอเก่งมากไง อย่าคิดมากไปเลย นอนให้เต็มอิ่มพรุ่งนี้ฉันจะไปในเมือง ตอนกลับมาฉันจะเอาของอร่อยๆมาให้เธอนะ”มู่หรงเวยเวยพูดยิ้มๆ
“ไม่ได้ ไปกับตาบ้าหลายใจนี่ ก่อนไปฉันต้องสั่งสอนเขาหน่อยซะแล้ว”หนานกงหลิงโม่เอนตัวบนเตียงแล้ว จู่ๆก็ลุกขึ้นนั่งเธอกำมือแน่นจากนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ
มีเสียง“ปึง!”ดังขึ้นไม่รู้ว่าก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลห้องนักเรียนหญิงกว่าร้อยเมตรถูกแรงอะไรเข้าจึงแตกออกเป็นสองท่อน หนานกงหลิงโม่เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปด้านนอก เธอแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยแล้วรีบเอนตัวลงไป
“วันใหม่แดนมนุษย์ข้ารักเจ้า”กัวไฮว่นอนไม่หลับ ดีที่แสงจันทร์ดีกว่าแสงแดดหน่อยนึง สูบเข้าแล้วสบายกว่าเดิม เป็นเพราะกัวไฮว่พยายามเปิดน้ำเต้าจึงถูกพลังสะท้อนกลับทำให้บาดเจ็บภายใน เมื่อผ่านการรักษามาทั้งคืนเขาก็ฟื้นฟูได้เกือบสมบูรณ์แล้ว
“เธอหามของ ฉันจูงม้า…”ใครจะไปคิดว่าเจ้าสี่สี่ตัวอันตรายเมืองอู่เฉิงจะเลือกเพลงแบบนี้เป็นเสียงสายเข้า
“ฮัลโหลเวยเวย เดี๋ยวฉันจะไปรอเธอใต้ตึกนะ โอเคเดี๋ยวเราไปกินข้าวเช้าด้วยกันเถอะ”เวลาเจ็ดโมงกว่ามู่หรงเวยเวยโทรหากัวไฮว่วันนี้พวกเขาจะไปหาปรมาจารย์อวี้เฟิงด้วยกัน
“พี่อรุณสวัสดิ์วันนี้จะไปหาปรมาจารย์เหรอ”หนานกงหลิงโม่ขยี้ตาถามขึ้นยิ้มๆ
“อืม นมอยู่ในตู้เย็นนะ ขนมปังก็ปิ้งแล้ว เดี๋ยวก็เอามากินด้วยกันล่ะ ตอนเย็นตอนฉันกลับมาจะเอาของอร่อยๆมาให้เธอนะบ๊ายบาย”มู่หรงเวยเวยพูดแล้วผลักประตูออกไป
“ฮึ ฉันจะไปดูตรงดาดฟ้าหน่อยสิว่าตาบ้านี่เป็นคนแบบไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้พี่ฉันให้ใจแบบนี้”หนานกงหลิงโม่ยู่ปากพูด“ถ้าสู้ข่งเสวียนนั่นไม่ได้ฉันไม่ให้พี่คบกับเขาแน่”
“เวยเวยไปไปกินข้าวเช้ากัน”กัวไฮว่เห็นมู่หรงเวยเวยออกมาจากตึกหอพักก็พูดยิ้มๆ
“ไปกันฉันรู้จักที่ที่มีอาหารเช้าอร่อยที่หนึ่ง”ทั้งสองคนเดินออกจากโรงเรียนไป
“ฮึ ตาคนหลายใจนายได้เจอดีแน่”ขนมปังในมือหนานกงหลิงโม่ที่เธอเพิ่งกัดเมื่อสักครู่ลอยปลิวออกไป
“เป่ยโต้วหนานโต้วหรือว่าพวกเขาก็ถูกเนรเทศมาแดนมนุษย์หรือเหตุใดจึงมีพลังแห่งหมู่ดาวระลอกหนึ่งได้เล่า”ในขณะที่ขนมปังปลิวออกไปนั่นเองกัวไฮว่ก็ชะงักไปครู่หนึ่งพลังเวทภายในร่างก็พลันถูกปล่อยออกมาล้อมรอบเขากับมู่หรงเวยเวยเอาไว้
“อ๊ะ!!!”หนานกงหลิงโม่ที่อยู่บนชั้นสิบสามตะโกนเสียงดังในขณะที่กำลังมองขนมปังซัดกัวไฮว่นั่นเอง จู่ๆก็ปรากฏความแปลกประหลาดขึ้นกับขนมปังหนานกงหลิงโม่สัมผัสได้ถึงไอความน่ากลัวมุ่งมาทางตนเองจึงรีบรวบรวมพลังความคิดของตนกลับมาสุดท้ายขนมปังที่ทาเนยเต็มแผ่นก็บินวกซัดเข้าที่หัวของตนเอง
“ฮึตาบ้าคอยดูนายคอยดูเถอะ ฉันจะต้องแก้แค้นให้ได้”หนานกงหลิงโม่พูดเสียงดัง
“เด็กเมื่อกี้เธอรู้จักเหรอ”ขณะที่เดินออกมาจากประตูโรงเรียนกัวไฮว่ก็นึกเรื่องเมื่อสักครู่ขึ้นได้จึงถามขึ้นขำๆ
“อืมเธอเป็นรูมเมตฉันน่ะ”มู่หรงเวยเวยพูดยิ้มๆ“อย่าคิดว่าเธออายุน้อย เธอมีพลังพิเศษนะ”มู่หรงเวยเวยพูดพลางแลบลิ้นเล็กๆ
“พลังพิเศษ? น่าสนใจนี่ไปกันเถอะเราไปกินข้าวกันก่อนแล้วก็ไปไหว้ปรมาจารย์เดี๋ยวฉันหาโอกาสไปคุยกับรูมเมตเธอแน่”กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เวยเวยเวลาเช้าที่นี่ไม่เลวเลย อย่าขยับขอฉันดูแผลเป็นบนหน้าผากหน่อย”กัวไฮว่พูดยิ้มๆ“อืมไม่เลวเลยแบบนี้ก็ดีแล้วเพอร์เฟ็ค”
“พี่ไฮว่พี่บอกว่าแผลเป็นหายไปแล้วเหรอ”มู่หรงเวยเวยถามขึ้นด้วยความตกใจ“นะ…นี่เป็นไปได้ยังไงกัน ก่อนหน้านี้หมอบอกแล้วว่าการที่จะกลับมาเป็นแบบเมื่อก่อนได้เนี่ยคือขีดสุดที่จะรักษาได้แล้ว”
“เธอดูเองแล้วจะรู้เหอะๆขีดสุดที่จะรักษาได้แล้วงั้นเหรอนั่นน่าจะเป็นที่สุดของการแพทย์แล้วมั้ง”กัวไฮว่พูดยิ้มๆมู่หรงเวยเวยไม่ฟังคำพูดในใจของกัวไฮว่อย่างแน่นอน“นี่แค่ขีดเริ่มต้นของแดนเซียนเอง…”
มู่หรงเวยเวยหยิบกระจกอันเล็กมาจากตัว รอยแผลเป็นเล็กๆนั่นหายไปแล้วจริงๆ ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าตรงนั้นเคยบาดเจ็บมาก่อน
“ขอบคุณนะพี่ไฮว่”มู่หรงเวยเวยพูดเสียงเบาเด็กสาวคนไหนไม่รักความสวยงามบ้างล่ะแม้ก่อนหน้านี้มู่หรงเวยเวยจะไม่ได้ใส่ใจแผลเป็นนั่นมากนักแต่พอหายไปแล้วเธอก็ดีใจถึงขั้นที่ว่าในก้นบึ้งลึกของหัวใจมู่หรงเวยเวยยอมรับในกัวไฮว่คนๆนี้มากขึ้น
“เราไปซื้อของให้ปรมาจารย์หน่อยดีกว่า”มู่หรงเวยเวยนำกัวไฮว่ไปยังร้านเครื่องเขียนที่ตกแต่งสไตล์เรียบง่ายแห่งหนึ่ง
“ยายหนูมาอีกแล้วเหรอคราวนี้จะซื้ออะไรล่ะ”ชายชราอายุหกสิบกว่าปีสวมชุดฉางเผาผู้หนึ่งถามขึ้นยิ้มๆ
“คุณปู่มู่ช่วงนี้มีสินค้าใหม่อะไรไหมคะถ้าเป็นแท่นหมึกจะดีมากเลย”มู่หรงเวยเวยพูดขึ้นยิ้มๆ
“เธอมาพอดีเลยช่วงเดือนนี้ได้แท่นหมึกโบราณมาสี่แท่นเดี๋ยวฉันเอามาให้เธอดูนะ”ชายชราพูดแล้วเดินเข้าไปในห้องไม่นานแท่นหมึกสี่แท่นก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
“พี่ไฮว่พี่เขียนพู่กันได้ดีขนาดนั้นพี่มาดูหน่อยสิว่าแท่นหมึกแท่นไหนดี”มู่หรงเวยเวยพูดยิ้มๆ
“คุณปู่เก็บแท่นหมึกไปเถอะ ได้ยินเพื่อนผมบอกว่าคุณมีพู่กันดีๆด้ามหนึ่งเอาออกมาให้ดูหน่อยได้ไหมครับ”กัวไฮว่หรี่ตาพูดขึ้น
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ^^
https://www.kawebook.com/story/6815