[นิยายแปล] ผ่าสวรรค์ราชันอมตะ - ตอนที่ 165 ต่อไปเป็นครอบครัวเดียวกัน
ในตอนนี้เด็กหนุ่มตระกูลเซวียนหยวนทั้งสองก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นายท่านยังไม่ได้กิน พวกเราจะยังอยู่ทำไมล่ะ จากนั้นพวกเขาก็รีบหันหลังเผ่นไป เซวียนหยวนเผิงเองก็จนปัญญา เขากัดเนื้อแห้งไปคำใหญ่ จากนั้นก็โยนไปให้เซวียนหยวนซยงเฟิงแล้ววิ่งหนีไปราวกับหนีอะไรบางอย่าง
“ก็แค่เนื้อแห้งก้อนเดียว คิดว่าของดีอะไรเสียอีก หลายปีมานี้ฉันไม่เคยให้แกกินเนื้อหรือยังไง” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดพึมพำพลางใช้นิ้วมือหยาบกร้านบี้ไปที่เนื้อแห้ง เมื่อเห็นเนื้อแห้งเซวียนหยวนเผิงก็น้ำลายไหล เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกัดเนื้อก้อนที่สะอาดๆ ไปคำหนึ่ง
“เจ้าสาม ตอนแรกก็ว่าจะยกโทษให้แก ตอนนี้ฉันว่าให้แกออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกสักสองสามปีดีกว่า ของอร่อยแบบนี้ยังจะแอบเอาไว้อีก ไม่ได้การ พรุ่งนี้ฉันต้องไปเอาจากพ่อหนุ่มกัวไฮว่หน่อยแล้ว เด็กนี่ไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริงๆ” เซวียนหยวนซยงเฟิงเดินถือเนื้อแห้งกลับไปยังห้องใต้หลังคาอย่างเบิกบานใจ
ตอนกลางคืนกัวไฮว่นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม หมู่บ้านอวิ๋นหัวแห่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว เขาทำให้ห้องนอนของเขาเป็นค่ายรวมวิญญาณ ในตอนกลางคือเขาจึงนอนหลับอย่างสบายเพราะเหล่าวิญญาณ เขาจ้องมองไปยังกระถางต้นไม้ที่ห้อยอยู่ในห้อง ทำให้ช่วงเวลาในตอนกลางคืนยาวขึ้นถึงหนึ่งเท่า ทำเอากัวไฮว่อารมณ์ดีเลยทีเดียว
“น้องไฮว่ เมื่อคือนอนหลับดีใช่ไหม ปู่ให้ฉันมาเรียกนายไปกินข้าวน่ะ” เซวียนหยวนเถิงเฟยมาที่บ้านของหูเม่ยเอ๋อร์ตั้งแต่เช้า เขาไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนกัวไฮว่นอนหลับดีหรือเปล่า เพราะยังไงเมื่อคืนเขาก็นอนไม่เต็มอิ่ม หลังจากที่คุณปู่สั่งสอนเขากับพ่อของเขาไปฉาดใหญ่ พ่อเขาก็สั่งสอนเขาไปอีกฉาดใหญ่กัน เมื่อผ่านคืนนั้นไป เด็กๆ ทั้งสองคนก็มาวุ่นวายอยู่อีกหลายชั่วโมง เมื่อเช้าได้นอนเพียงแค่สองชั่วโมง นายท่านก็ให้ตนไปเรียกกัวไฮว่มากินข้าวอีก
“ที่นี่ไม่เลวเลย ผมพักผ่อนเต็มอิ่มมาก แต่ดูเหมือนว่าพี่เถิงเฟยจะไม่ได้พักผ่อนดีนะครับ กินนี่สิ น่าจะทำให้พี่สบายตัวได้” กัวไฮว่พูดพลางยื่นยาเม็ดสีเขียวขนาดประมาณถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งไปให้เซวียนหยวนเถิงเฟย
เซวียนหยวนเถิงเฟยถือยาสีเขียวเม็ดเล็กเอาไว้ เหมือนอาหารปลายที่เมื่อก่อนหมู่บ้านอวิ๋นหัวเคยซื้อไว้เลย ทว่าเถิงเฟยก็ยังคงยัดเม็ดยาสีเขียวเข้าไปในปาก
“พี่เฟย ขอบตาดำนิดๆ นะ เมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนให้ดีเหรอ” หูเม่ยเอ๋อร์ตื่นตั้งแต่เช้า เขารู้จักปู่ของตนเองดี ในเมื่อเขาเอ็นดูกัวไฮว่ ก็น่าจะมาเรียกให้ไปกินข้าวตั้งแต่เช้า สุดท้ายก็ได้พบกับเซวียนหยวนเถิงเฟยเข้าจริงๆ
“น้องไฮว่ นายให้ฉันอะไรน่ะ ยังมีอีกหรือเปล่า สบาย สบายจริงๆ เลย” เซวียนหยวนเถิงเฟยพูดด้วยความพออกพอใจ
“กินมากไปไม่ดีกับร่างกายนะ ไว้มีเวลาผมค่อยทำอย่างอื่นให้พี่อีก ฮ่าๆ” กัวไฮว่พูดเสร็จ ทั้งสี่คนก็เดินมุ่งหน้าไปยังโถงรับแขก
“น้องไฮว่ พักผ่อนดีใช่ไหม” เซวียนหยวนเผิงพูดยิ้มๆ เขาเจอพวกกัวไฮว่ทั้งสี่คนที่ตรงทางแยก
“อาสาม อาเรียกแบบนี้จะตีสนิทเด็กเหรอ เรียกผมเสี่ยวไฮว่ก็ได้ ผมพักผ่อนดีเลย แต่ผมเห็นว่าเมื่อคืนอาไม่ได้พักผ่อนให้ดี หรือว่าเป็นเพราะกินเนื้อไป” กัวไฮว่ถามด้วยความยิ้มแย้ม
“เสี่ยวไฮว่ อย่าเพิ่งพูดเรื่องเนื้อเลย รีบไปกินข้าวเถอะ!” เซวียนหยวนเผิงพูดพลางส่ายศีรษะ เมื่อเขาเห็นเสี่ยวเหว่ยกับหู่จื่อทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูโถงรับแขกที่อยู่ไม่ไกล ในใจก็พลันวิตก เกรงว่ามื้อเช้านี่จะไม่สงบเสียแล้ว
“น้องไฮว่ ฉันมาถึงหน้าประตูหมู่บ้านอวิ๋นหัวแล้ว แต่ว่าเข้าไปไม่ได้ ออกมากินข้าวด้วยกันหน่อยสิ” กัวไฮว่ได้รับสายจากหลิ่วเยียน ทำเอากัวไฮว่ซาบซึ้งใจขึ้นมา ดูทรงแล้วผู้หญิงคนนี้จะทำแผนการอยู่ทั้งคืน จากนั้นก็รีบนั่งเที่ยวบินที่ไวที่สุดมา
“อย่าเพิ่งวางโทรศัพท์นะ ขอฉันบอกกับพวกเขาก่อน เธอเข้ามากินข้าวด้วยกันเถอะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “อาสาม ผู้หญิงของผมอยู่นอกหมู่บ้านอวิ๋นหัว อาให้คนไปรับเธอมากินข้าวเช้าด้วยกันหน่อยสิ”
“เสี่ยวไฮว่ นับวันอาสามยิ่งเคารพเธอขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ” เซวียนหยวนเผิงพูดยิ้มๆ “เด็กเวรสองคนนี่ มานี่เลย เมียพี่ไฮว่แกอยู่หน้าประตูบ้าน พวกเธอรีบไปรับมากินข้าวที่โถงรับแขกเลย” เซวียนหยวนเผิงพูดกับเซวียนหยวนเวยกับเซวียนหยวนหู่ด้วยเสียงดัง จากนั้นเด็กๆ ทั้งสองก็รีบวิ่งไปหน้าประตูใหญ่หมู่บ้านอวิ๋นหัวด้วยความรวดเร็วราวกับบินไป
“พ่อ ผมผิดไปแล้ว เด็กอยู่ที่นี่ตั้งหลายคน พ่ออย่าชักสีหน้าใส่ผมสิ” เซวียนหยวนเผิงพากัวไฮว่เดินเข้าไปในโถงรับแขก เซวียนหยวนซยงเฟิงมองเซวียนหยวนเผิงด้วยสีหน้ามืดทมึน เซวียนหยวนเผิงเลยพูดด้วยเสียงเบา
“กินข้าวเสร็จก่อนค่อยพูดเรื่องแก เสี่ยวไฮว่ มานี่ มานั่งทางนี้” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดยิ้มๆ
“นายท่าน เมียผมอยู่ข้างนอก อาสามให้เสี่ยวเหว่ยกับหู่จื่อไปรับครับ” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“งั้นเราก็รอดูสิ เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกัน แต่ว่าผู้ชายแบบเสี่ยวไฮว่น่ะ มีเมียหลายคนก็ไม่เป็นปัญหาหรอก เธอว่าเม่ยเอ๋อร์ของเราก็ดีใช้ได้เลยใช่ไหม ก็รับไว้สักคนสิ ไม่งั้นก็ให้เชี่ยนเชี่ยนเธอไปด้วยกัน” คำพูดของเซวียนหยวนซยงเฟิงทำเอาเด็กหญิงทั้งสองหน้าแดงก่ำ และทำให้เซวียนหยวนเผิงและคนอื่นๆ เบิกตาโพล่ง เป็นเมื่อก่อนหากใครอยากรับเมียน้อย เมียของตนก็ต้องตกลงก่อน ทว่าคำพูดของนายท่านกลับมาพูดปฏิเสธ วันนี้นายท่านจะมาไม้ไหนเนี่ย
“เฮอะๆ งั้นผมก็ขอบคุณนายท่านมากนะครับ แต่เรื่องหาเมียเนี่ย ผมต้องกลับไปตามเมียหลวงที่อู่เฉิงก่อนว่าตกลงหรือเปล่า ถ้าตกลงแล้วผมจะรับพวกเธอกลับอู่เฉิง” กัวไฮว่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“แค่กๆ เสี่ยวไฮว่ คนที่มานี่ไม่ใช่เมียหลวงเธอเหรอ เธอมีผู้หญิงกี่คนกันเนี่ย” เซวียนหยวนเผิงถามเบาๆ
“ไม่กี่คนหรอก รวมพวกเขาก็ยังไม่ถึงสิบคนเลย” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ ถึงตอนนี้หลิ่วเยียนก็เดินเข้ามาแล้ว เธอใส่ชุดสุภาพ ทำเอาเซวียนหยวนเผิงและคนอื่นๆ ต่างก็เบิกตาโพล่ง สวย…เมียของเด็กนี่หน้าตาไม่เลวเลย
“นั่งเถอะ คราวนี้เธอได้รับเกียรติมากเลยนะ ขนาดนายท่านตระกูลเซวียนหยวนยังรอเธอกินข้าวเลย สุดยอดนะ” กัวไฮว่พูดหยอกล้อทำเอาหลิ่วเยียนหน้าแดงก่ำขึ้นมา ตระกูลเซวียนหยวน เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองหลวง และเธอเองก็ดันมานั่งทานอาหารอยู่ที่นี่
“รบกวนนายท่านด้วยนะคะ” หลิ่วเยียนพูดเบาๆ
“ฮ่าๆ กินข้าวๆ” ในขณะเซวียนหยวนซยงเฟิงพูด คนรับใช้สองสามคนก็เสิร์ฟอาหารบนโต๊ะ
“คุณปู่ อยากกินอะไรเหรอครับ” เซวียนหยวนเถิงเฟยพูดเบาๆ
“พวกแกกินไปเถอะ ฉันจะคุยกับเสี่ยวไฮว่หน่อย” เซวียนหยวนซยงเฟิงพูดยิ้มๆ “เสี่ยวไฮว่ เมื่อวานเจ้าสามให้ให้ฉันกินเนื้อมาหน่อยนึง เหมือนว่าเธอจะเป็นคนให้เขาไปนะ รสชาติไม่เลวเลย ยังมีอีกหรือเปล่า ให้ฉันหน่อยสิ”
“ผมก็นึกว่าเรื่องใหญ่อะไร ห้องครัวอยู่ไหน เดี๋ยวผมจะไปทำมาให้ทุกคน ยังไงก็กินอยู่ฟรีอยู่ที่บ้านตระกูลเซวียนหยวนไม่ได้อยู่แล้ว” พูดเสร็จ กัวไฮว่ก็เดินตามคนรับใช้คนหนึ่งไป
“พี่หลิ่วเยียน ฉันเห็นว่าพี่แก่กว่าพวกเราอีก พี่เป็นเมียคนที่เท่าไหร่ของกัวไฮว่เหรอ” เซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนเห็นว่ากัวไฮว่เดินออกไปก็ถามหลิ่วเยียนขึ้นเบาๆ
“อะแฮ่มๆๆ ใครบอกว่าฉันเป็นเมียเขา ฉะ…ฉันเป็นแค่…” หลิ่วเยียนหน้าแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม ทว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เธอบินจากอู่เฉิงมาเมืองหลวงตั้งแต่เช้า ถ้าไม่ใช่เมียเขา เธอจะรีบมาขนาดนี้ทำไมกัน
“เอาเถอะพี่หลิ่วเยียน เป็นเมียน้อยก็ไม่ใช่เรื่องหน้าอายอะไรสักหน่อย ปู่ฉันบอกแล้วล่ะว่าจะให้ฉันกับพี่เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับกัวไฮว่ด้วยเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” เซวียนหยวนเชี่ยนเชี่ยนพูดอย่างไม่อ้อมค้อม ทำให้หลิ่วเยียนรู้สึกนับถือ เด็กสาวตระกูลเซวียนหยวนคนนี้นี่ก๋ากั่นเหลือเกิน